กยท.เร่งออกโฉนดต้นยางให้เกษตรกร ตั้งเป้าครบ 22 ล้านไร่ใน 2 ปี

กยท.เร่งออกโฉนดต้นยางให้เกษตรกร ตั้งเป้าครบ 22 ล้านไร่ ตามแผน 2 ปี ส่วนพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิที่ดิน รอ คทช.ไฟเขียว คาดส่งผลดีแปลงทรัพย์สินเป็นทุน ส่งผลคุณภาพ ราคายาง
นายเพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการ การยางแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด กยท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กยท.ได้ Kick Off การมอบโฉนดต้นยางพาราให้เกษตรกรชาวสวนยาง ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตามเป้าจะสามารถออกโฉนดต้นยางพาราให้แก่เกษตรกรในพื้นที่สวนยางที่มีเอกสารสิทธิตามกฎหมาย จำนวน 11.17 ล้านไร่ ตามแผน 2 ปี
ส่วนสวนยางพาราที่ปลูกในพื้นที่ ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ กยท. ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน จากนั้น กยท. ถึงจะนำพิจารณามาออกโฉนดต้นยางได้ ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ทั้งหมด ภายในเวลาไม่เกิน 2 ปีอย่างแน่นอน
สำหรับพื้นที่ปลูกยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกยางที่เกษตรกรครอบครองมายาวนาน แต่รัฐไม่สามารถออกโฉนดที่ดิน หรือเอกสิทธิ์ที่ดินให้ได้ ทั้งที่เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนที่รัฐจะประกาศเป็นเขตป่าสงวน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรืออุทยานแห่งชาติ
ดังนั้นการออกโฉนดต้นยางเพื่อการแยกกรรมสิทธิ์ต้นยางออกจากกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม และเป็นธรรมกับเกษตรกร ซึ่งจะทำให้คนกับป่าอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน และยังเป็นการป้องกันไม่ให้มีการรุกพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากโฉนดต้นยาง จะระบุพิกัดที่ตั้งของต้นยางนั้นๆ ไว้อย่างชัดเจน เปรียบเสมือนเป็น ID ของต้นยาง โดยต้นยางที่จะออกโฉนดจะมีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ยกเว้นต้นยางที่โค่นเพื่อปลูกทดแทน
ทั้งนี้ โฉนดต้นยาง ถือเป็นเอกสารสิทธิในครอบครองต้นยางของเกษตรกร เป็นการพัฒนาศักยภาพต้นยางพาราให้เป็นสินทรัพย์ ที่สามารถใช้เป็นหลักประกันของรับบริการสินเชื่อ หรือเป็นหลักประกันเงินกู้เชื่อมโยงกับสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสถาบันการเงินต่างๆ ยกระดับมูลค่าที่ดินแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุน ช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางมีเงินไปพัฒนาสวนยางพาราของตัวเอง และหนุนเสริมการสร้างรายได้อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น รายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต เป็นต้น
รวมทั้งยังตอบโจทย์แก้ปัญหาในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะต้นยางแต่ละต้นมีเจ้าของเกษตรกรจะต้องดูแลอย่างดี หากปล่อยให้ไฟไหม้สวนยางเกษตรกรก็จะสูญเสียรายได้ และที่สำคัญการปลูกยางพาราก็เปรียบเสมือนการปลูกป่า ช่วยเพิ่มออกซิเจน ลดฝุ่น PM 2.5 ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอีกด้วย
ประธานบอร์ด กยท.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ โฉนดต้นยางยังจะทำให้ยาง และผลิตภัณฑ์ยางของไทยสามารถส่งออกไปจำหน่ายในสภาพยุโรป(EU) กฎระเบียบ EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) ที่จะมีผลบังคับใช้ในปลายปีนี้ได้ด้วย เพราะโฉนดต้นยางทุกต้นสามารถสอบย้อนกลับได้ และยังเป็นหลักฐานที่ออกโดยหน่วยงานรัฐยืนยันว่าเป็นสวนยางที่ปลูกบนที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ หรือมีสิทธิครอบครอง ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม เป็นไปตามกฎระเบียบของ EUDR
“หากสามารถออกโฉนดต้นยางได้ครบทั้ง 22 ล้านไร่ทั่วประเทศแล้ว กยท. มั่นใจว่าจะทำให้บริหารจัดการยางของประเทศมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น สร้างความมั่นคงในอาชีพการทำสวนยาง อันจะนำไปสู่การสร้างเสถียรภาพให้ยางพาราอย่างยั่งยืน ซึ่งโฉนดสวนยางนั้นจะเพิ่มมูลค่าให้กับต้นยางอย่างน้อยเฉลี่ยประมาณไร่ละ 27,000 บาท ดังนั้นถ้าออกโฉนดต้นยางได้ครบ 22 ล้านไร่ จะทำให้ต้นยางมีมูลค่ารวมถึง 500,000-600,000 ล้านบาท" ประธานบอร์ด กยท.ระบุ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







