คกก.สอบตึก สตง.ถล่มขอยืดเวลา 90 วัน 'กรมโยธาฯ' ระงับใช้งาน 63 อาคาร

คกก.สอบตึก สตง.ถล่มขอยืดเวลา 90 วัน 'กรมโยธาฯ' ระงับใช้งาน 63 อาคาร

คกก.สอบปมตึก สตง.ถล่มต่อเวลา 90 วัน "กรมโยธาฯ" สรุปยอดตรวจสอบอาคาร.รับผลกระทบแผ่นดินไหว 14 วัน ระงับการใช้งาน 63 อาคาร

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ศูนย์รับแจ้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ศรต.ยผ.) กรมโยธาธิการและผังเมือง ถ.พระรามที่ 6 ได้ร่วมกับสภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และวิศวกรอาสาภาคเอกชน ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่มีการแจ้งว่าได้รับความเสียหาย โดยมีการแบ่งอาคารในการตรวจสอบออกเป็น 3 กลุ่ม และขอรายงานผลการดำเนินงานตามการแบ่งกลุ่มอาคาร ดังนี้

อาคารกลุ่มที่ 1 ได้แก่ อาคารสาธารณะ อาคารชุมนุมคน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน อาคารราชการ ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบร่วมกับ สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และวิศวกรอาสาภาคเอกชน ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่ได้รับการร้องขอ สรุป ดำเนินการตรวจสอบอาคารภาครัฐสะสมตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. – 10 เม.ย.จำนวน 234 หน่วยงาน 649 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 589 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 58 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 2 อาคาร

อาคารกลุ่มที่ 2 ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ โรงแรม คอนโดมิเนียม หอพัก ห้างสรรพสินค้าที่เป็นของภาคเอกชน อาคารเหล่านี้ เป็นอาคารที่ต้องมีการตรวจสอบอาคารตามกฎหมายควบคุมอาคารทุกปีอยู่แล้ว ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองมีผู้ตรวจสอบอาคารที่ขึ้นทะเบียน จำนวนมากกว่า 2,600 ราย สามารถค้นหาผู้ตรวจสอบอาคารได้ผ่านเว็บไซต์กรมโยธาธิการและผังเมือง โดยกรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ แจ้งเจ้าของอาคารให้ดำเนินการตรวจสอบอาคาร ตามหนังสือสั่งการเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ซึ่งได้สั่งการให้กรุงเทพมหานคร ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ตามมาตรา 32 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน โรงมหรสพ โรงแรมตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป โรงงานที่มีความสูงมากกว่า 1 ชั้น และพื้นที่ตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป สถานบริการที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป อาคารชุดหรืออาคารอยู่อาศัย รวมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป และป้าย ให้ดำเนินการตรวจสอบสภาพอาคาร โครงสร้างของตัวอาคารและอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ของตัวอาคารโดยด่วน 

และรายงานผลการตรวจสอบให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น (กรุงเทพมหานคร) ทราบ พร้อมมาตรการควบคุมกรณีพบว่าอาคารมีความชำรุดในระดับต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้พักอาศัยและผู้ใช้อาคาร หากเจ้าของอาคารไม่ดำเนินการจะมีโทษตามกฎหมาย ซึ่งกรุงเทพมหานครได้แจ้งเจ้าของอาคารภาคเอกชนที่ต้องทำการตรวจสอบตามกฎหมายแล้ว จำนวนประมาณ 11,000 แห่ง เพื่อดำเนินการตรวจสอบอาคารและรายงานให้กรุงเทพมหานครทราบ ซึ่งมีการแจ้งว่าได้มีการตรวจสอบแล้วจำนวน 3,518 แห่ง

อาคารกลุ่มที่ 3 ได้แก่ อาคารบ้านพักอาศัย ตึกแถว ห้องแถว และอาคารทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพมหานครกรุงเทพมหานครจะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจสอบให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่พี่น้องประชาชนผ่าน Traffyfondue ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 10 เม.ย.ได้รับแจ้งทั้งหมด 19,168 เรื่อง และดำเนินการแล้วเสร็จ 18,306 เรื่อง สำหรับอาคารในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทางกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้สั่งการให้โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด ดำเนินการตรวจสอบอาคาร ร่วมกับวิศวกรขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นและวิศวกรอาสาของเอกชนในพื้นที่ ร่วมกันดำเนินการเช่นเดียวกับส่วนกลางและให้คำปรึกษาแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยสั่งการให้มีการตรวจสอบอาคารสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล หรืออาคารหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการใช้อาคาร ปัจจุบันได้มีผลการตรวจสอบอาคารในส่วนจังหวัด 76 จังหวัด จำนวน 7,880 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 7,445 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 374 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 61 อาคาร 

สรุปผลการตรวจสอบอาคารภาครัฐที่ดำเนินการตรวจสอบอาคารที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. – 10 เม.ย.ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น จำนวน 8,529 อาคาร สามารถใช้งานได้ปกติ สีเขียว จำนวน 8,034 อาคาร / มีความเสียหายปานกลาง สามารถใช้งานได้ สีเหลือง จำนวน 432 อาคาร / โครงสร้างมีความเสียหายอย่างหนักโดยได้สั่งให้ระงับการใช้งานอาคาร สีแดง จำนวน 63 อาคาร นอกจากนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองมีช่องทางให้เจ้าของอาคาร ผู้ตรวจสอบอาคาร หรือพี่น้องประชาชน สามารถรับทราบข้อมูลต่าง ๆ และให้คำปรึกษาผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ของกรมฯ สื่อมวลชน โทรทัศน์ วิทยุหนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ ปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองเปิดสายด่วนสำหรับขอรับคำปรึกษาและแจ้งเหตุที่หมายเลข 1531 / 02 299 4191 และ 02 299 4312 

สำหรับการสืบสวนข้อเท็จจริง สาเหตุการพังถล่มของอาคาร สตง. นายอนุทินได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ กลุ่มที่ 2 ผู้แทนสถาบันการศึกษา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กลุ่มที่ 3 ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลุ่มที่ 4 เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมืองรวมทั้งสิ้น 22 คน โดยมีวิศวกรใหญ่ กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นประธานกรรมการ และนายกสภาวิศวกร เป็นที่ปรึกษา และให้รายงานผลภายใน 7 วัน ทั้งนี้ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงได้สรุปเบื้องต้น พบว่า มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารพังถล่มอยู่หลายปัจจัย ซึ่งคณะกรรมการฯ ต้องตรวจสอบในทุกปัจจัยจากเอกสารจำนวนมาก และเก็บข้อมูล ณ สถานที่เกิดเหตุโดยละเอียด แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถเข้าไปเก็บข้อมูลได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากต้องให้ความสำคัญกับการกู้ชีพเป็นลำดับแรก และต้องนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์หาสาเหตุโดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงาน เพื่อให้ได้ผลสรุปถึงสาเหตุของการพังถล่มอย่างแท้จริง และทำให้เกิดความกระจ่างต่อสังคม โปร่งใส เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการสืบสวนออกไปอีก 90 วัน