ยกเครื่อง 'เตือนภัยพิบัติ' ไทยไม่พร้อมรับมือภัยฉุกเฉิน

ยกเครื่อง 'เตือนภัยพิบัติ' ไทยไม่พร้อมรับมือภัยฉุกเฉิน

“แผนดินไหว” สะเทือนแผนรับมือภัยพิบัติประเทศ ระบบแจ้งเตือนมีปัญหา ประชาชนขาดข้อมูล "ทีดีอาร์ไอ" ประเมินไทยไม่พร้อมรับมือภัยปัจจุบันทันด่วน

KEY

POINTS

  • “แผนดินไหว” สะเทือนแผนรับมือภัยพิบัติประเทศ
  • ระบบแจ้งเตือนมีปัญหา ประชาชนขาดข้อมูล
  • “ทีดีอาร์ไอ” ประเมินไทยไม่พร้อมรับมือภัยปัจจุบันทันด่วน ชี้บทเรียนสื่อสารประชาชนไม่ทันเหตุการณ์ เสี่ยงรับข่าวปลอม
  • เขต กทม.จัดการคมนาคมหลังเหตุการณ์ล้มเหลว หวั่นภัยพิบัติรุนแรงกว่านี้สร้างหายนะเมืองหลวง
  • ส.อ.ท.กระตุ้นรัฐบาลรื้อระบบเตือนภัย เร่ง Cell Broadcast

ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่มีศูนย์กลางบริเวณเมืองมัณฑะเลย์ในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับแรงสั่นสะเทือนใน 57 จังหวัดทั่วประเทศ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับผลกระทบหนักเมื่ออาคารก่อสร้างสูง 30 ชั้น ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม โดยข้อมูลวันที่ 30 มีนาคม 2568 มีผู้เสียชีวิต 18 ราย บาดเจ็บ 33 ราย สูญหาย 78 ราย ซึ่งยังประกาศเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติใน กทม.และจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่สถานการณ์ล่าสุดในพื้นที่ตึกถล่มยังคงเร่งค้นหาผู้ติดในอาคาร

ขณะเดียวกันรัฐบาลสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของอาคาร โดยข้อมูลสำนักการวางผังและพัฒนาเมือง กทม.ระบุอาคารใน กทม. ปัจจุบันมี 2.09 ล้านหลัง ในจำนวนนี้เป็นอาคารเดี่ยว 107,100 หลัง หรือ 6.2% โรงแรม 1,100 หลัง หรือ 0.06% อาคารสำนักงาน 8,500 หลัง หรือ 0.49% อาคารที่จดทะเบียน (แฟลต หอพัก อาคารชุด แมนชั่น เกสต์เฮาส์) 13,300 หลัง หรือ 0.77% และอาคารที่ไม่จดทะเบียน 11,300 หลัง หรือ 0.66%

ตัวเลขล่าสุดสำหรับใน กทม.ขณะนี้รับแจ้งปัญหาอาคารจากประชาชนผ่านช่องทาง Traffy Fondue ประมาณ 9,500 เรื่อง และส่งทีมวิศวกรตรวจสอบ โดยให้เจ้าของอาคารรายงานภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนโครงสร้างพื้นฐานอื่นมีผลตรวจสอบสะพานข้ามแม่น้ำ และสะพานข้ามแยกในพื้นที่ กทม.ทั้งหมด 81 แห่งปลอดภัย

ถึงแม้ไทยจะไม่ได้เป็นพื้นที่เสี่ยงสูงต่อแผ่นดินไหว แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การสั่นสะเทือนที่มีจุดศูนย์กลางในประเทศเพื่อนบ้าน หรือรอยเลื่อนในประเทศที่มีพลังอาจส่งผลกระทบต่อเราได้กรณีล่าสุดที่เกิดขึ้น มีทั้งความสูญเสียต่อชีวิตทรัพย์สินประชาชน โครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจของประเทศ

แม้เหตุการณ์รุนแรงสุดครั้งนี้ คือ การถล่มของตึก สตง.เพียง แต่ด้านอื่นโดยเฉพาะการบริหารจัดการเมืองภาวะวิกฤติ การป้องกัน การแก้ปัญหาภัยพิบัติของภาครัฐถูกตั้งคำถามเช่นกัน แม้ไทยมีประสบการณ์จากสึนามิในภาคใต้ และน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัดนานนับเดือน

จุดอ่อนระบบรับมือภัยพิบัติ

สำหรับสถานการณ์แผ่นดินไหวและตึกถล่มครั้งนี้หลายภาคส่วน ได้มองถึงบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยวิเคราะห์ข้อบกพร่อง และเสนอแนวทางการแก้ไข เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

เมื่อเกิดแผ่นดินไหวอาคารสูงและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือนเกิดความเสียหาย หรือถล่มแสดงให้เห็นหลายประเด็นที่รัฐบาลและหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณา ได้แก่ การออกแบบอาคารให้ทนแผ่นดินไหว 

รวมถึงการปรับปรุงมาตรฐานการก่อสร้างให้เข้มงวด โดยเฉพาะอาคารสูงและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญตรวจสอบและบังคับใช้จริงจังสำหรับอาคารเก่า ซึ่งความเปราะบางของอาคารและโครงสร้างพื้นฐานซึ่งอาคารที่ถูกสร้างขึ้นก่อนที่จะมีมาตรฐานต้านแผ่นดินไหว อาจรองรับแรงสั่นสะเทือนไม่ได้

ยกเครื่อง 'เตือนภัยพิบัติ' ไทยไม่พร้อมรับมือภัยฉุกเฉิน

หน่วยงานรัฐประสานงานซับซ้อน

ประเด็นการบริหารจัดการสถานการณ์ของภาครัฐถูกตั้งคำถามการแจ้งเตือนการอพยพ ซึ่งพบว่าระบบแจ้งเตือนภัยของรัฐทำงานไม่ได้ทันท่วงที จากปัญหาการประสานงานของหน่วยงานรัฐที่ซับซ้อน จึงมีข้อเสนอหลายด้านถึงการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ที่ต้องมีมาตรการเข้มงวดเพื่อลดความสูญเสียจากแผ่นดินไหว

โดยเฉพาะระบบการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ SMS และแอปพลิเคชันที่ถูกตั้งคำถาม ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงกับลงไปไล่บี้ด้วยตัวเอง 

สำหรับประเด็นนี้ต้องลดระบบราชการที่ซับซ้อนหรือไม่ โดยคาดหวังหลังจากนี้รัฐควรมีระบบแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ เช่น  แอปพลิเคชันและ SMS แจ้งเตือนภัยทันสถานการณ์ หรือติดตั้งระบบเสียงแจ้งเตือนในเขตเมือง สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน

ยึด 'ซิงเกิลคอมมานด์' รับมือภัยพิบัติ

ประเด็นมาตรการดูแลประชาชน ถึงเวลาหรือไม่ที่ต้องซ้อมแผนรับมือแผ่นดินไหวเพิ่มเติมนอกเหนือจากซ้อมหนีไฟ ในลักษณะฝึกซ้อมอพยพในอาคารสูงสม่ำเสมอ จากกรณีที่เกิดขึ้นมีประชาชนไม่น้อยระบุถึงปัญหาความเสี่ยงเกิดเหตุสูญเสียซ้ำซ้อนระหว่างหนีเอาตัวรอด โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ซึ่งบางประเทศมีหลักสูตรภัยพิบัติศึกษาตั้งแต่อนุบาล

ประเด็นระดับนโยบายการรวมศูนย์บัญชาการภัยพิบัติในรูปแบบศูนย์แห่งชาติ เพื่อประสานงานทุกหน่วยงานให้ทำงานเป็นเอกภาพโดยมีแผนฉุกเฉิน แนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีการเยียวยา เช่น จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว และแจกจ่ายสิ่งของจำเป็นและฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ เช่น มาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้สูญเสียทรัพย์สิน

ประเด็นเทคโนโลยี โดยหากมีศูนย์ข้อมูลแผ่นดินไหวทันสมัย อาจมีความชัดเจนเรื่องการสำรวจและเฝ้าระวังรอยเลื่อนที่มีพลัง หรือการพัฒนาแผนที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหว ซึ่งใช้เทคโนโลยีพยากรณ์แผ่นดินไหว หรือพัฒนาหุ่นยนต์และโดรนสำหรับภารกิจกู้ภัย

วิกฤติแผ่นดินไหวครั้งนี้หากภาครัฐนำบทเรียนปรับปรุงการบริหารจัดการ การกำหนดนโยบายจะรับมือสถานการณ์ได้มีประสิทธิภาพขึ้น เพราะภัยพิบัติแต่ละครั้ง ไม่เฉพาะความสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินประชาชนแต่หมายรวมถึงเศรษฐกิจของประเทศเช่นกัน

'ไทย' ไม่พร้อมรับมือภัยฉุกเฉิน

สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยแพร่บทความหัวข้อระบบขนส่งสาธารณะในวันแผ่นดินไหวไทยพร้อมไหมกับการรับมือภัยพิบัติ? เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2568 โดยระบุว่าไทยบริหารจัดการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550

ทั้งนี้ได้กำหนดแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยแห่งชาติ โดยพัฒนาต่อเนื่องผ่านการถอดบทเรียนสาธารณภัยที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยคุ้นชินการรับมือภัยพิบัติที่มีเวลามากพอให้เตรียมการจัดสรรและจัดตั้งศูนย์การควบคุมภัยระยะยาว

ขณะเดียวกันขาดแนวทางรับมือภัยที่ปัจจุบันทันด่วน ซึ่งประชาชนคาดหวังการตอบสนองรวดเร็วเช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ แม้จะตั้งกองอำนวยการและป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายหลังแผ่นดินไหวไม่นาน แต่การสื่อสารกับประชาชนไม่มีประสิทธิภาพ โดยประกาศทางการของกรมอุตุนิยมวิทยาใช้เวลามากกว่า 30 นาทีหลังเกิดเหตุการณ์ในการแจ้งเหตุ

รวมทั้งไม่มีหลักการรับมือเบื้องต้นระบุไว้ ซึ่งทำให้ผู้ประชาชนต้องรับข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งผลพวงที่ตามมา คือ การเผยแพร่ข่าวปลอม ข่าวที่เกินความจริงจำนวนมาก จนประชาชนตื่นตระหนกมากขึ้น

ส่วนช่องทางที่สื่อสารได้ง่ายและน่าเชื่อถืออย่าง SMS จากรัฐบาลมีความล่าช้ามาก ใช้เวลามากกว่า 5 ชั่วโมงกว่าประชาชนจะได้รับข้อความในมือถือ (ประมาณ 20.00 น.ของวันที่ 28 มีนาคม 2568) หรือบางคนอาจยังไม่ได้รับข้อความ

ทีอีอาร์ไอแนะปรับระบบแจ้งเตือน

สำหรับความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นส่งผลให้ประชาชนต้องการรีบเดินทางออกจากพื้นที่เร่งด่วน ในห้วงที่ระบบการคมนาคมและขนส่งสาธารณะล่มสลาย ซึ่งทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ หยุดชะงักสิ้นเชิง และถ้าแผ่นดินไหวรุนแรงกว่านี้จะนำไปสู่หายนะรุนแรงสำหรับประชาชนเมืองหลวง ดังนั้นภาครัฐควรมีแนวทางรับมือกับสาธารณภัยในลักษณะนี้ ดังนี้

1. กำหนดแนวทางสื่อสารชัดเจน โดยกระทรวงคมนาคมดำเนินการร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสื่อสารประชาชนถึงแนวทางการเลือกรูปแบบการเดินทางที่เหมาะสม

2. ช่วงเกิดภัยพิบัติควรจัดให้ระบบขนส่งสาธารณะพร้อมรองรับประชากรทันทีหลังส่งข้อความ แต่ต้องไม่เป็นเหตุให้การสื่อสารล่าช้าจากการเตรียมการ

3. แผนการจัดการทางด้านการขนส่งอย่างเป็นระบบ ผ่านการประเมินความต้องการในการใช้บริการ และความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของช่องทางการขนส่งสำรองในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือภัยพิบัติ

4. กำหนดคู่มือ แนวทาง และวิธีปฏิบัติที่ใช้ดุลยพินิจน้อยที่สุด ในการเลือกปิดหรืองดให้บริการระบบขนส่งรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ให้สอดคล้องกับระดับความรุนแรงของสาธารณภัยที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการรับมือภัยพิบัติของไทยแม้มีแผนการรับมือชัดเจน แต่ขาดการปรับตัวเพื่อรับมือสาธารณภัยรูปแบบใหม่ โดยแม้แบ่งหน้าที่แต่ละหน่วยงาน แต่หน่วยงานที่มีหน้าที่สำคัญในการสื่อสารขาดความรวดเร็วในการดำเนินงานทำให้เกิดความล่าช้ามาก 

อีกทั้งการรับมือบางจุดมีลักษณะเกินกว่าเหตุก่อให้เกิดความไม่สบายใจให้ประชาชนยิ่งทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มแย่ลง ดังนั้นการออกแบบเมืองรวมถึงระบบขนส่งและการรับมือภัยพิบัติ ไม่ควรจำกัดมุมมองอดีตที่ผูกกับประสบการณ์เดิม แต่ควรเป็นมุมมองถึงอนาคต

ส.อ.ท.เร่งรัฐวางระบบ Cell Broadcast

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แผ่นดินไหวเป็นสัญญาณเตือนว่าไทยมีความเสี่ยงเรื่องนี้ดังนั้นต้องปรับปรุงระบบเตือนภัยให้ประชาชนรู้เหตุการณ์ เพราะส่วนใหญ่รับข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย และสิ่งสำคัญทางจิตวิทยาเกิดความระแวง คนไม่กล้ากลับขึ้นคอนโดฯ

ทั้งนี้ ระบบเตือนภัยต้องเตรียมพร้อม และอย่าคิดว่าจะไม่เกิด การดำเนินการอาจต้องใส่ในแผนบริหารความเสี่ยง เพราะประเมินไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อใดอีก โดยระบบการแจ้งเตือนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมรับผิดชอบ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีมีทันสมัยสามารถส่ง SMS พร้อมกันได้ หรือระบบแจ้งเตือนภัยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) ควรเร่งพัฒนาให้ใช้งานได้จริง

“นักวิชาการ” แนะเร่งตรวจสอบอาคารสูง

รศ.ดร.ฉัตรพันธ์ จินตนาภักดี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แนวทางระยะสั้นหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวมีสิ่งที่ควรดำเนินการกับอาคารสูง คือ

1. การประเมินความปลอดภัยของอาคาร ซึ่งผู้พักอาศัยกังวลความปลอดภัยอาคาร ดังนั้นเจ้าของอาคารควรตรวจสอบละเอียด โดยแยกความเสียหายระหว่างรอยแตกร้าวในวัสดุตกแต่งหรือผนังเบา กับความเสียหายโครงสร้างหลัก เช่น เสา คานหรือพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กที่แตกร้าวรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานจนกว่าจะตรวจสอบและซ่อมแซมโดยผู้เชี่ยวชาญ

2. การตรวจสอบโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ควรเรียกวิศวกรโครงสร้างที่มีความรู้และประสบการณ์มาประเมินเพื่อให้ได้คำแนะนำถูกต้อง โดยเฉพาะกรณีความเสียหายโครงสร้างหลัก และการให้วิศวกรที่เคยออกแบบหรือควบคุมงานเป็นผู้ตรวจสอบจะช่วยให้ประเมินแม่นยำขึ้น

3. การสนับสนุนจากหน่วยงานอาสาและภาครัฐในกรณีติดต่อวิศวกรเดิมไม่ได้ เช่น วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ซึ่งระดมวิศวกรอาสาช่วยตรวจสอบอาคาร

4. การสร้างระบบแจ้งความเสียหาย โดยเจ้าของอาคารควรรายงานความเสียหายไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อประสานงานตรวจสอบและซ่อมแซม