กยท.มั่นใจศักยภาพ ส่งผลราคายางไทยปี 68 ขาขึ้นต่อเนื่อง

สมาคมผู้ผลิตยาง คาดการณ์ผลผลิตยางพาราไทยเพิ่ม 1.2% กยท.มั่นใจศักยภาพการบริหารจัดการ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลแนวโน้มราคาปี 68 ขาขึ้นต่อเนื่อง
นายเพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด กยท.) เปิดเผยถึง สถานการณ์ราคายาง ล่าสุดว่า สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (The Association of Natural Rubber Producing Countries: ANRPC) คาดการณ์ว่าการผลิตยางธรรมชาติทั่วโลกปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 0.3% หรือเป็นประมาณ 14.9 ล้านตัน ในขณะที่ความต้องการใช้ยางธรรมชาติคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 1.8% เป็น 15.6 ล้านตัน
ทั้งนี้เนื่องจาก ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ประสบปัญหาผลผลิตยางพาราลดลง เป็นผลมาจากเกษตรกรหันไปปลูกปาล์มน้ำมันซึ่งให้ผลกำไรมากกว่า ANRPC คาดว่าผลผลิตยางพาราของอินโดนีเซียในปี 2568 จะลดลง 9.8% จากปีก่อนหน้า เหลือ 2.04 ล้านตัน เช่นเดียวกับประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 3 ผลผลิตจะลดลง 1.3% เหลือ 1.28 ล้านตัน
ขณะที่สถานการณ์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก คาดการณ์ว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น 1.2% ในปีนี้ เช่นเดียวกับประเทศไอวอรีโคสต์ ผู้ผลิตยางรายใหญ่จากทวีปแอฟริกา จะมีผลผลิตยางเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลผลิตโดยรวมทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ยาง เนื่องจากการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศจีนและอินเดีย ANRPC คาดว่าในปีนี้ ความต้องการยางธรรมชาติจากทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว จะเพิ่มขึ้น 2.5% และ 3.4% ตามลำดับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของความต้องการจาก 2 ประเทศนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดโลก เพราะจะทำให้เกิดความต้องการใช้ยางพารามากขึ้น และส่งผลให้ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้น
ประธานบอร์ด กยท.ระบุว่า สถานการณ์ราคายางในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ผ่านมา ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (FOB กรุงเทพฯ) ในปี 2567 เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 83.87 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนในไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่าราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (FOB กรุงเทพฯ) จะมีราคาเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80 บาทต่อกิโลกรัม และมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
"ตั้งแต่ผมเข้ามาบริหาร เป็นประธานบอร์ด กยท.ราคายางจนถึงปัจจุบัน มีสเถียรภาพมากขึ้น มีการปรับตัวขึ้นบ้างลงบ้าง เป็นไปตามกลไกการตลาด แต่ราคายางไม่เคยต่ำกว่าราคาก่อนที่ผมจะเข้ามาบริหาร คือราคาก้อนถ้วย ไม่เคยต่ำกว่า 18 บาทต่อกิโลกรัม ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ไม่เคยต่ำกว่า 49 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์ยางมากขึ้น"
"โดย กยท.จะบริหารจัดการยางในภาพรวม ใช้กลไกการตลาดในควบคุมราคายาง ที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจ ในปี 2567 ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตยางทั้งหมด 4.7 ล้านตัน สามารถสร้างมูลค่ายางจากราคาที่เพิ่มขึ้นจากเดิมได้กว่า 100,000 ล้านบาท โดยที่ไม่ใช้งบประมาณแผ่นดินเลย" ประธานบอร์ด กยท.กล่าวและว่า
ก่อนหน้านี้ ในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ตลอดจนการสร้างเสถียรภาพให้ราคายาง จะต้องนำงบประมาณแผ่นดินมาดำเนินโครงการต่างๆ เช่น โครงการแทรกแซงราคายาง โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการชดเชยรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนยาง เป็นต้น
แต่นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนี้ จะไม่นำงบประมาณแผ่นดินมาใช้ จะใช้กลไกตลาดในการควบคุมราคา ดังนั้น หากเป็นไปตาม ANRPC คาดการณ์สถานการณ์ยาง ว่าปีนี้ความต้องการใช้ยางมากกว่าปริมาณการผลิตยางแล้ว หากเป็นไปตามกลไกทางการตลาด จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ยางจะมีราคาลดลง
นายเพิก กล่าวอีกว่า ขณะนี้ กยท.มีศักยภาพในการบริหารจัดการยางให้เป็นไปตามกลไกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างเช่นในปีที่ผ่านมา ได้มีการประกาศสงครามกับยางเถื่อน ปราบปรามอย่างจริงจังต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทำให้ยางเถื่อนลดลง สามารถควบคุมปริมาณยางในประเทศได้อย่างน่าพอใจ
รวมทั้งยังได้ดำเนินการยกระดับสร้างเครือข่ายตลาดประมูลท้องถิ่นของ กยท.กว่า 600 แห่งทั่วประเทศ ให้เป็นในทิศทางและมาตรฐานเดียวกัน ด้วยการนำระบบการซื้อขายประมูลยางพารารูปแบบ Digital Platform “Thai Rubber Trade” (TRT) มาใช้ในการประมูลซื้อขาย พร้อมนำเทคโนโลยี Block Chain เข้ามาใช้รองรับการตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลแหล่งที่มาของผลผลิตยางพารา
นอกจากนี้ กยท.ยังได้ดำเนินโครงการชะลอการขายยาง เพื่อควบคุมปริมาณผลผลิตยางพาราที่เข้าสู่ตลาด ให้เหมาะสมกับการใช้ยาง ลดความผันผวนด้านราคา ทำให้ราคายางพารามีเสถียรภาพ ขณะเดียวกันยังเป็นการช่วยเหลือ และเสริมสภาพคล่องให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางในระหว่างรอการขายผลผลิต ให้สามารถขายผลผลิตยางของตัวเองในช่วงที่ราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสมและพอใจ ไม่จำเป็นต้องรีบจำหน่ายผลผลิต เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพ ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิต สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยางอย่างยั่งยืน
"ถ้าใครมาปิดเบือนตลาด เช่น เอายางเถื่อนเข้ามาเพื่อทุบราคา หรือบริษัทบางบริษัทประกาศลดราคายางลงอย่างไม่มีเหตุผล กยท.จะเข้าไปตรวจสอบทันที จะมาเอาเปรียบเกษตรกรไม่ได้อีกแล้ว เราพร้อมรบกับทุกคนที่ทำไม่ถูกต้อง โดยใช้อำนาจรัฐตามกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง การขึ้นลงของราคายาง ถ้าเป็นไปตามกลไกการตลาดที่จริงก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะมาทุบราคา เราจะดำเนินโต้กลับทันที" ประธานบอร์ด กยท.ยืนยัน
นอกจากนี้ กยท.ยังใช้ราคาซื้อขายจริง (Spot Price) ในการอ้างอิงราคาซื้อขายยางมากขึ้น โดย กยท.ได้มีการสร้างมาตรฐานราคาอ้างอิงยางพาราของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นราคาที่มีมาตรฐาน โปร่งใส ตรวจสอบได้
ขณะนี้มีผู้ค้ารายใหญ่ที่เคยใช้ราคาอ้างอิงจากตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในประเทศสิงคโปร์ (SICOM) ตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในประเทศญี่ปุ่น (TOCOM) และตลาดซื้อขายยางเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน (SHFE) เริ่มหันมาใช้ราคาอ้างอิงของไทยในการซื้อขายยางแล้ว ซึ่ง กยท.จะสร้างคนกลุ่มใหม่ๆ ให้สนใจ และใช้ราคาอ้างอิงของ กยท. ในการซื้อขายยาง เพราะเป็นราคาที่สอดคล้องกับราคาซื้อขายจริง ของตลาดยาง ทั้งในตลาดกลางยางพาราของ กยท.ทั้ง 8 แห่ง และตลาดประมูลยางพาราท้องถิ่น ในเครือข่ายของ กยท.กว่า 600 แห่งทั่วประเทศ
ส่วนการประกาศบังคับใช้กฎระเบียบ EU Deforestation-free Products Regulation(EUDR) ของสหภาพยุโรป(EU) ที่เลื่อนการบังคับจากปี 2567 มาเป็นปลายปีนี้นั้น ยังจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้ราคายางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศไทย
เนื่องจากประเทศไทยเป็นเพียง 1 ใน 2 ประเทศผู้ส่งออกยางรายใหญ่ของโลกที่ปฏิตามกฎระเบียบของ EUDR คือ สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของยางได้ และจะต้องเป็นยางที่มาจากสวนยางที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าที่มีเอกสารสิทธิ์หรือสิทธิ์การครอบครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่อนุรักษ์
รวมทั้งจะต้องการจัดการสวนยางพาราที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม ส่วนอีกประเทศสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้คือ ไอวอรีโคสต์ ซึ่งเป็นประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก แต่ปริมาณก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด EU
ที่ผ่านมา กยท.ได้จัดทำ "โครงการReady for EUDR in Thailand : RAOT พร้อมก้าวสู่มาตรฐานสากล" ขึ้นมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาการจัดการระบบยางอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีการประเมิน และจัดหมวดหมู่อย่างละเอียดตามมาตรฐาน EUDR
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการออกโฉนดต้นยาง ให้เกษตรกรที่เป็นเจ้าของต้นยาง ซึ่งจะทำให้ต้นยางทั่วประเทศมีเอกสารสิทธิ์ที่หน่วยงานของรัฐรับรอง สามารถต่อยอดทำให้ยางของไทย ทั้ง 22 ล้านไร่ ปฏิบัติตามกฎระเบียบ EUDR ได้ 100%
เพราะโฉนดต้นยางทุกต้นสามารถสอบย้อนกลับได้ และยังเป็นหลักฐานที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ ยืนยันว่าเป็นสวนยางที่ปลูกบนที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ หรือมีสิทธิครอบครอง ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม
ทั้งนี้การดำเนินการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ EUDR จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นราคายางที่เป็นไปตามกฎระเบียบ EUDR จะมีราคาสูงกว่าอย่างทั่วไป และเมื่อราคายางEUDR มีราคาสูงขึ้น ก็จะผลักดันให้ราคายางทั่วไปสูงตามขึ้นไปด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อพี่น้องเกษตรกร
การจัดทำสวนยางให้ผ่านกฎระเบียบ EUDR นั้นไม่ใช่ทำกันง่ายๆ ระยะเวลา 1 ปีที่ EU เลื่อนการบังคับนั้น ประเทศผู้ส่งออกยางที่เป็นคู่แข่งของไทยยังไม่สามารถทำได้ยางของไทยจึงมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ส่วน EU จะเลื่อนการบังคับออกไปอีกหรือไม่ ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลื่อนบังคับหรือไม่ก็ตาม ประเทศไทยก็จะดำเนินมาตรการตรวจสอบย้อนกลับอยู่แล้ว เพราะมาตรการนี้จะส่งผลดีต่อการบริการจัดการยางของไทย สามารถตรวจสอบได้ว่า ยางมาจากสวนไหน มีการจัดการสวนอย่างไร ป้องกันการเอายางจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์
อย่างไรก็ตาม นายเพิก ระบุว่า มีตลาด ที่ยังไม่ต้องการใบรับรองการตรวจสอบย้อนกลับ แต่ในอนาคตแนวโน้มทุกประเทศจะนำกฎระเบียบเช่นเดียวกับ EUDR มาบังคับให้แน่นอน เพราะทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากยาง เช่น ยางล้อรถยนต์ ถุงมือยาง เป็นต้น หากจะต้องส่งไปขายในตลาด EU จะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบตามกฎระเบียบ EUDR เช่นเดียวกัน ดังนั้นประเทศคู่ค้าของไทยที่ซื้อยางไปแปรรูป จำเป็นจะต้องซื้อยางพาราที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ถึงจะสามารถส่งผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไปขายใน EU ได้ ยิ่งจะทำให้ยางไทยเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น
สำหรับตลาดส่งออกยางหลักของไทยในปัจจุบันคือ ตลาดประเทศจีน มีมูลค่าประมาณปีละมากกว่า 50,000 ล้านบาท ส่วนตลาด EU มีมูลค่าการส่งออกประมาณปีละกว่า 14,000 ล้านบาท จากการวิเคราะห์ของ ANRPC ผนวกกับการบริหารจัดการยางของ กยท. และการบังคับให้กฎระเบียบ EUDR น่าจะยืนยันได้ว่า ภาพรวมของสถานการณ์ยางในปี 2568 สดใสแน่นอน