"ทนายตั้ม-ไฮโซสาว"ร้อง"ผบ.ตร." ฟันวินัยร้ายแรงตำรวจออกหมายเรียกมิชอบ

"ทนายตั้ม-ไฮโซสาว"ร้อง"ผบ.ตร." ฟันวินัยร้ายแรงตำรวจออกหมายเรียกมิชอบ

"ทนายตั้ม-ไฮโซสาว"ร้อง"ผบ.ตร." ฟันวินัยร้ายแรง"ตำรวจ" สภ.เมืองนครพนม ออกหมายเรียกมิชอบ มีลักษณะกลั่นแกล้ง

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 3 มี.ค.66 น.ส.ช่อฉัตร โตชูวงศ์ เจ้าของบริษัทรับผลิตจำหน่ายน้ำยางพารารายใหญ่ พร้อมด้วยนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนายธีรฉัตร สิรันทวิเนติ ทนายความ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงตำรวจ สภ.เมืองนครพนม ออกหมายเรียกผู้ต้องหาโดยมิชอบ มีลักษณะกลั่นแกล้ง ในคดีที่นายศุภชัย โพธิ์สุ, น.ส.ศุภพานี โพธิ์สุ ลูกสาว และนายธนบวร สิริคุณากรกุล แจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาท โดยมี พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รองผู้บังคับการกองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ นายตำรวจเวรอำนวยการเป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ

นายษิทรา กล่าวว่า วันนี้มายื่นหนังสือถึงผบ.ตร. ให้ดำเนินการสอบวินัยตำรวจสภ.เมืองนครพนม คดีนี้สืบเนื่องจากตนและน.ส.ช่อฉัตร ได้แถลงข่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แต่ปรากฎว่านายศุภชัย , ลูกสาว และนายธนบวร ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีที่สภ.เมืองนครพนม ในความผิดเรื่องเดียวกันที่ตนได้มีการแถลง โดยมีการแยกแจ้งความทั้งหมด 3 ครั้ง โดยนายธนบวรได้แจ้งความก่อนกับร้อยเวรคนหนึ่ง

จากนั้นนายศุภชัยและลูกสาวก็ได้มาแจ้งความอีกคนละคดี ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นคดีเนื้อหาเดียวกัน เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องนำเรียนให้ผู้บังคับบัญชาทราบอยู่แล้ว ผู้บังคับบัญชาจะต้องรู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันก็ควรจะต้องรวมคดีแต่ปรากฏว่าเขารู้อยู่แล้วว่าตนกับน.ส.ช่อฉัตรอยู่กรุงเทพมหานคร แต่มีการออกหมายเรียกซ้ำซ้อนกันหลายครั้งให้เราเดินทาง ทั้งๆ จริงๆ แล้วเป็นคดีเล็กน้อย 

นายษิทรา กล่าวว่า คดีแรกตนได้มีการขอเลื่อนไปแล้ว แต่ตำรวจเจ้าของคดียศ"ร.ต.อ."ได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ทั้งๆ ที่ตนและน.ส.ช่อฉัตร ได้แจ้งไปแล้วว่าจะไปวันที่ 29 มี.ค.66 แต่ได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 เพื่อเป็นเหตุให้ออกหมายจับได้ กรณีต่อมาตำรวจยศ "พ.ต.ท." ได้นำเรื่องที่ไม่มีมูลมาแจ้งข้อหาตนและน.ส.ช่อฉัตร เพราะการที่นายศุภชัยและลูกสาวมาแจ้งความคนละคดีกัน ในวันนั้นตนไม่ได้พูดเลยว่าผู้แจ้งความเป็นคนไม่ดี ตนไม่ได้ไปพูดแบบนั้นเลย แต่ตนพูดถึงคนที่ทำงานกับเขา แต่ไม่รู้ว่านำขัอมูลตรงไหนไปเกี่ยวข้องไปเดือดร้อนก็ไม่รู้ แล้วจึงมีการไปแจ้งความตนและน.ส.ช่อฉัตร 
           "ผมคิดว่าการที่พ.ต.ท.ได้ออกหมายเรียกทำให้ผมได้รับความเสียหาย เพราะคดีไม่มีมูล เขาไม่ใช่ผู้เสียหายในคดี แต่ได้ออกหมายเรียกให้ผมมีความลำบากเดินทางไกลไปรับทราบข้อกล่าวหาในคดีหมิ่นประมาท"

          นายษิทรา กล่าวต่อว่า นอกจากจะร้องเรียนตำรวจ 2 นายนี้แล้ว จะร้องเรียนผกก.สภ.เมืองนครพนมด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วเขามีหน้าที่ที่จะต้องตรวจคดีสำคัญแต่ปรากฎว่าได้มีการปล่อยปละละเลย จึงมาร้องผบ.ตร. ให้มีการสอบวินัยร้ายแรงและให้มีการดำเนินคดีอาญากับตำรวจทั้งหมดในเรื่องที่ได้ออกหมายเรียก มีลักษณะกลั่นแกล้งให้ได้รับความลำบาก นอกจากตนและน.ส.ช่อฉัตรถูกออกหมายเรียกแล้ว ทนายความอีกคนของน.ส.ช่อฉัตร ก็ถูกออกหมายเรียกในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ได้ขอให้มีการโอนคดี เพราะไม่ไว้ใจการทำงานของตำรวจสภ.เมืองนครพนม เพราะเกี่ยวข้องกับนักการเมืองระดับรองประธานสภาฯ และนายกอบจ. เนื่องจากอาจไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงร้องขอให้ผบ.ตร.โอนคดีมาให้กองปราบปรามทำคดีต่อ