"นิติพล" ส.ส.ก้าวไกล จี้รัฐจริงจังแก้ฝุ่นพิษ หลังพบผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่ม

"นิติพล" ส.ส.ก้าวไกล จี้รัฐจริงจังแก้ฝุ่นพิษ หลังพบผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่ม

"นิติพล"ส.ส.ก้าวไกล ชี้ถึงเวลารัฐต้องจริงจังออกกฎหมายควบคุมสิ่งแวดล้อม พร้อมโชว์ตัวเลข พบผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น

นายนิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีนายแพทย์อายุ28ปีออกมาเล่าว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายว่า ตนพูดมา3ปีแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เล็ก มลพิษทางอากาศคือมหัตภัยที่คนมักมองข้าม ถึงเวลาจริงจังกับการเรียกร้องให้รัฐบาลใส่ใจปัญหา ‘มลพิษทางอากาศ ตนนำเสนอเรื่องนี้มลพิษทางอากาศมาตั้งแต่ก่อนเป็นส.ส.และเมื่อเป็นส.ส.พูดมาตลอด จนมีกรณีของคุณหมอและมีคนจำมากสนใจ คำถามเราจะรอให้มีผู้ที่สบประสบกับภัยเงียบนี้แล้วค่อยจริงจังไม่ได้

นายนิติพล กล่าวต่อว่า มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนที่มีร่างกายแข็งแรง รักษาสุขภาพตนเองมาตลอด เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของคณะและไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ มีเพียงปัจจัยสันนิษฐานเดียวเท่านั้นคือ หรืออาจเป็นเพราะคุณหมออยู่ที่ ‘เชียงใหม่’ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ย้อนกลับไปเมื่อกลางปี วันที่ 18 มีนาคม 65 แวดวงวิชาการเพิ่งได้สูญเสีย รศ.ดร.ภาณุวรรณ จันทวรรณกูร จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านผู้เชี่ยวชาญด้านผึ้งระดับโลก เพิ่งได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นอายุไม่เกิน 45 ปี และได้จากด้วย ‘โรคมะเร็งปอด’ 

"ทั้งสองท่านเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่า อายุยังน้อย ไม่สูบบุหรี่หรือใกล้ชิดกับกิจกรรมเสี่ยงอื่น แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยร่วมของทั้งคู่ คือ การอาศัยใน ‘เชียงใหม่’ เมืองที่มีแนวโน้มของข้อมูลสถิติประชาชนโดยเฉพาะใน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ บ่งชี้ว่า ป่วยเป็นมะเร็งปอดและเสียชีวิตสูงเป็น อันดับ 1 ของประเทศ สอดคล้องกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 โดยเป็นเมืองที่ติดอันดับอากาศแย่สุดของโลกเป็นประจำทุกปี และหากมองภาคเหนือทั้งภาค ข้อมูลจากโรงพยาบาลมหาราช พบว่า ประชาชนภาคเหนือป่วยเป็นมะเร็งปอดสูงกว่าภาคอื่น 3-4 เท่า"

นายนิติพล กล่าวต่อว่า มีรายงานจาก สถานบันวิจัยมะเร็ง IARC องค์การอนามัยโลก ที่ยืนยันว่า มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งครับ และ PM 2.5 มีสารก่อมะเร็ง กลุ่มที่ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอันตรายมากที่สุด และยังมีงานศึกษาที่ระบุอีกว่า การรับหรือสัมผัสฝุ่น PM 2.5 ที่ระดับ 22 ไมโครกรัมต่อตารางเมตร เท่ากับสูบบุหรี่ 1 มวน นี่จึงเป็นสถานการณ์ ‘มลพิษทางอากาศ’ ที่กำลังคุกคามสุขภาพและชีวิต ห้ามดูเบาและมองข้ามเด็ดขาด

รวมถึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจริงจังกับการเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ใส่ใจต่อปัญหานี้ในทันทีและจากงานวิจัยของกรีนพีซ ประเทศไทย พบว่า 1 ใน 3 ของมลพิษอากาศข้ามพรมแดนมาจากพื้นที่เผาไหม้ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปลูก ‘ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์’ ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ไม่ว่าตอนบนของ สปป.ลาว หรือ รัฐฉานของเมียนมาร์ รวมถึงในภาคเหนือของไทยเอง เป็นผลโดยตรงมาจากการที่รัฐได้นำเกษตรพันธะสัญญาไปใช้ในโครงการยุทธศาสตร์ความรวมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี เจ้าพระยาแม่โขง (ACMECS) ร่วมกับประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย  ที่เปิดโอกาสให้บริษัทเกษตรของไทยสามารถริเริ่มลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญากับเกษตรกรในประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ประมาณปี 2543 และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากปี 2546  ข้อตกลงนี้นำไปสู่การขยายการลงทุนทางเศรษฐกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านครั้งมโหราฬ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับทางสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย พูดง่ายๆก็คือ มีขึ้นเพื่อเอื้อให้กลุ่มทุนเกษตรยักษ์ใหญ่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลการกระทำใดๆต่อสิ่งแวดล้อม แต่สามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรได้เต็มที่จากธุรกิจที่นอกพรมแดนที่รัฐเปิดทางให้

ทั้งนี้ ในแต่ละปีจึงมีการเผาไร่ข้าวโพดจนเกิดเป็นฝุ่นพิษขนาดจิ๋วลอยข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่อากาศค่อนข้างนิ่ง

ขณะที่เชียงใหม่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ฝุ่นควันจึงถูกลมพัดกระจายออกไปได้ช้า กลายเป็นเมืองแห่งหมอกพิษแทนหมอกขาวและลมหนาว อัตราการเกิดมะเร็งที่นี่จึงมากกว่าที่อื่น เป็นภัยคุกคามสุขภาพและชีวิตมากขึ้นๆทุกปีๆ โดยที่รัฐไม่ทำอะไรเลย โดยเฉพาะรัฐบาลนี้ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพมากกว่านี้ พรบ.อากาศสะอาดต้องเกอดขึ้นในประเทศไทย เพื่อควบคุมให้กลุ่มทุนที่ทำธุรกิจก่อมลพิษไม่ว่ารูปแบบใด จะทำธุรกิจในประเทศหรือนอกประเทศก็จะต้องรับผิดชอบในการจัดการไม่ให้เกิดมลพิษด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำได้ครับ เป็นลักษณะเช่นเดียวกับกรณีของการทำประมงผิดกฎหมายที่เราไม่ยอมแก้

จนกระทั่งถูก IUU บีบให้มีระบบตรวจสอบย้อนทวน คือยุโรปจะไม่รับซื้อสินค้าประมงไทยจนกว่าจะมีระบบติดตามว่า ผลผลิตจากการประมงนี้จะต้องไม่มาจากการทำประมงแบบล้างผลาญหรือผิดกฎหมายค้ามนุษย์ โดยไม่เกี่ยวว่าบริษัทจะกระทำการเอง หรือรับซื้อมา ต้องมีระบบตรวจสอบที่ยืนยันได้ว่าสินค้าประมงเหล่านี้ไม่ได้มาจากพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งสุดท้ายเราก็ทำได้สำเร็จทำให้การค้ากับยุโรปกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม

"แม้ว่าในกรณีนี้จะไม่ถูกบีบจากกติกาสากลใดๆ แต่เราเห็นกันชัดๆแล้วว่า มีชีวิตและสุขภาพของประชาชนสังเวยให้กับผลกำไรมหาศาลของกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่มอยู่ตรงหน้า รัฐบาลที่ดีต้องคำนึงประชาชนสำคัญกว่าสิ่งใดครับ การออกกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อบังคับให้กลุ่มทุนเหล่านี้รับผิดชอบต่อมลพิษไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมจึงเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ ประชาชนทนทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นมานานนับสิบปีแล้ว กฎหมายแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นโดยทันที ในความโชคร้ายมีความโชคดีที่ทุกคนตื่นตัวและเริ่มพูดเรื่องเดียวกับผม ขอให้คุณหมอแข็งแรงขึ้นและอย่ามีใครต้องเป็นโรคที่เกิดจากการละเลยขอภาครัฐแบบนี้อีกเลย"นายนิติพล กล่าวทิ้งท้าย