"น้ำท่วม 2565" ไม่เท่าฝันร้ายน้ำท่วม 54 แต่วิกฤติ - ยืดเยื้อ จากพายุจรที่ยังไม่หมด

"น้ำท่วม 2565" ไม่เท่าฝันร้ายน้ำท่วม 54 แต่วิกฤติ - ยืดเยื้อ จากพายุจรที่ยังไม่หมด

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ชี้ "น้ำท่วม 2565" อาจไม่กลับมา เหมือนฝันร้ายน้ำท่วมปี 54 แต่วิกฤติ - ยืดเยื้อ จากพายุจรที่ยังไม่หมด และปริมาณน้ำ ที่ระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยา

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เกี่ยวกับวิกฤติน้ำท่วม ระบุว่า

จากข้อมูลที่เคยให้ไว้ ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝนปีนี้ จะมีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปลายปี มีบางท่านกลับต่อว่าจะเกิดขึ้นได้ไง อาจารย์เอาอะไรมาพูด แล้วขณะนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร?

วิกฤติเกิดขึ้นหรือยัง?

ผมปฏิเสธข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ผมไม่เคยเห็นเหตุการณ์เขื่อนขนาดใหญ่ กลาง เล็ก มีปริมาณน้ำมากขนาดนี้ ชุมชนหลายแห่งประสบความเสียหายหนักกว่าปี 2554 ถ้าผมไม่ออกมาให้ข้อมูลจะเสียหายมากกว่านี้ เพราะถ้าเราเริ่มจากความพร้อมของชุมชน ผลกระทบย่อมลดลงอย่างแน่นอน

ปริมาณน้ำที่ระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ได้แตะระดับปี 2564 ส่งนัยความเสียหายเข้าขั้นวิกฤติ (แต่ไม่ถึงปี 54 เนื่องจากปริมาณน้ำเหนือปัจจุบันมีน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ยกเว้นบางพื้นที่ระดับน้ำสูงกว่าปี 54 แล้ว เช่น ที่บางบาล เป็นต้น) และจะยืดเยื้อไปอีกหลายสัปดาห์ จากปริมาณน้ำเหนือผ่านนครสวรรค์ ยังคงเพิ่มขึ้น และหลายเขื่อนมีน้ำล้น หลายชุมชนในลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูลได้รับผลกระทบแบบโดมิโน จากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ในขณะที่การคาดการณ์แนวโน้มปริมาณฝนจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางจนถึงปลายเดือนตุลาคมนี้ จากอิทธิพลของพายุจรที่ยังไม่หมด (ลูกแรกน่าจะส่งผลกระทบช่วงกลางเดือนนี้ และจะมีหย่อม Low เกิดขึ้นในอ่าวไทย อิทธิพลของความกดอากาศสูงจากแผ่นดินใหญ่ทำให้ลดความรุนแรงลง จึงต้องติดตามเป็นรายสัปดาห์)

ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะวิกฤติสุด 2 ช่วง (ช่วงแรกกลางเดือน และช่วงที่สองปลายเดือน) บริเวณชุมชนริมน้ำ ลำคลอง จากปริมาณฝนที่ยังคงมีต่อไปในเดือนนี้ น้ำเหนือจะเดินทางมาถึงช่วงแรกกลางเดือน และช่วงที่สองปลายเดือน (จากพายุจรหลังกลางเดือนนี้) จังหวะเวลาเดียวกันกับอิทธิพลน้ำหนุนกลางเดือน และปลายเดือนสูงสุด จึงต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
 

ช่วงเฝ้าระวังสูงสุด (จากนี้จนถึงปลายเดือนตุลาคม) ผมจึงได้ออกสำรวจรอบๆ บริเวณคลองด่านหน้า กทม. ฝั่งตะวันออก (คลองรังสิต) ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์น้ำล้นคลองมาแล้ว (ต้นเดือนกันยายน) และเพิ่งจะล้นครั้งที่ 2 (เมื่อวันที่ 2-3 ตุลาคม) มีน้ำท่วมถนนเรียบคลองข้างเมืองเอก ระดับน้ำในคลองรังสิตอยู่สูงกว่าระดับถนนในหมู่บ้านประมาณ 1.0-1.4 m  (แต่ยังต่ำกว่าระดับคันกั้นน้ำประมาณ 0.80-1.0 m)  และต่ำกว่าระดับถนนซ่อมสร้าง 0.30 m เทศบาลหลักหกได้นำกระสอบทราย และกรมชลประทานเร่งสูบน้ำ (ปัจจุบันความสามารถเครื่องสูบน้ำทั้ง 2 ประตู คือ ประตูน้ำจุฬาฯ และประตูน้ำปลายคลองมีประมาณ 120 cms) ซึ่งทำหน้าที่แบ่งน้ำลงเจ้าพระยาตั้งแต่คลอง 1-13 และแบ่งน้ำลงแม่น้ำนครนายกตั้งแต่คลอง 13 เป็นต้นไป

ในขณะเดียวกัน ระดับน้ำในคลองเปรมประชากร ยังคงต่ำกว่าถนนเรียบคลองประมาณ 0.30-0.50 m (มีการสูบน้ำย้อนกลับจากคลองเปรมใต้สู่คลองรังสิต) การประเมินเบื้องต้นปริมาณน้ำหลากจากพื้นที่เหนือคลองรังสิตกว่า 200,000 ไร่ มีปริมาณ 200 cms ต่อปริมาณฝนตก 100 mm ดังนั้นความสามารถเครื่องสูบน้ำจึงยังคงไม่เพียงพอ แต่ก็สามารถบรรเทาได้ขึ้นกับปริมาณฝนตก โดยในการปฏิบัติงานจริงต้องมีการสำรองเครื่องไว้จำนวนหนึ่ง จึงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป