ศาลอุทธรณ์สั่ง “เสริมสิน-ดวงกมล-สุพจน์” ชดใช้เนชั่น 13 ล้าน ฐานตกแต่งบัญชี

ศาลอุทธรณ์สั่ง “เสริมสิน-ดวงกมล-สุพจน์” ชดใช้เนชั่น 13 ล้าน ฐานตกแต่งบัญชี

ศาลอุทธรณ์ พิพากษา “เสริมสิน-ดวงกมล-สุพจน์” ผิดละเมิด สั่งร่วมชดใช้ค่าเสียหาย “เนชั่น” รวมกันกว่า 13 ล้าน ฐานตกแต่งบัญชี

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2565 ศาลแพ่งนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำที่ 1561/2564 และคดีหมายเลขแดงที่ 4114/2565 ซึ่ง บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NMG) เป็นโจทก์ฟ้องนายเสริมสิน สมะลาภา จำเลยที่ 1 นางสาวดวงกมล โชตะนา จำเลยที่ 2 และนายสุพจน์ เพียรศิริ จำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยทั้ง 3 ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ กรณีการร่วมกันลงรายได้ค้างรับที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย

ในคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ดังนั้น จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 36,533,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดเป็นเงิน 17,535,840 บาท และให้จำเลยที่ 3 รับผิดเป็นเงิน 18,997,160 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562) เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จะชำระเสร็จแก่โจทก์ 

นอกจากนี้ให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนนี้ให้ตกเป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ซึ่งจำเลยอุทธรณ์
 


คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปได้ว่า ในปี 2558 ขณะที่จำเลยที่ 1 ดำงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและเป็นกรรมการบริหารได้ร่วมกันมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบัญชีไปดำเนินการให้มีการบันทึกรายได้ของใจทยก์ที่เกิดจากการขายโฆษณาให้สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อให้บัญชีรายรับของโจทก์แสดงผลประกอบการที่มีกำไร สะท้อนถึงอัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจโจทก์ จำเลยที่ 3 ได้ดำเนินการลงบันทึกข้อมูลการขายโฆษณาที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อให้ยอดขายโฆษณาโดยรวม เป็นไปตามเป้าหมายที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กำหนด และยังร่วมกันปรับเปลี่ยนระเบียบของโจทก์

โจทก์ตรวจสอบพบการกระทำดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถออกงบการเงินประจำปี 2560 ได้ การกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นการละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ต้องไปว่าจ้างบริษัทตรวจสอบบัญชีให้เข้ามาตรวจสอบ ต้องเสียค่าปรับให้แก่หน่วยราชการ ต้องจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสำหรับปี 2558 เกินกว่าที่ต้องจ่ายจริง และต้องว่าจ้างที่ปรึกษากฎหมายในการดำเนินคดี จึงขอเรียกค่าเสียห่ายจากจำเลยทั้ง 3  
 

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นเรื่องฟ้องครอบคลุมฟังไม่ขึ้น ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันกระทำละเมิด ให้จำเลยทั้ง 3 คนร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอย่างลูกหนี้ร่วม ไม่แบ่งส่วนความรับผิดอย่างที่ศาลชั้นต้นพิพากษา

โดยให้จำเลยทั้ง 3 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 13,033,000 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง(ฟ้องวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เม.ย.2564 และอัตรา 5% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกา ซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่ม 2% ต่อปี  

  

 

 

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์