ห่วง​! อาม่าถูกคอลฯหลอก​สูญเงิน11ล้าน​ เผยมีเหยื่อแชร์​ลูกโซ่​อีกนับล้าน

ห่วง​! อาม่าถูกคอลฯหลอก​สูญเงิน11ล้าน​ เผยมีเหยื่อแชร์​ลูกโซ่​อีกนับล้าน

"สามารถ"​ เป็นห่วง​ อาม่าถูกคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง​สูญเงิน11ล้าน​ ยังไม่นับรวมถึงเหยื่อแชร์​ลูกโซ่​อีกนับล้านที่สูญเงินรอคอยความยุติธรรม​อยู่​ หยิบยกกฏหมายตราสามดวง​ ทำไมคนโบราณ​ถึงไม่ถูกปล้นทรัพย์​ เพราะกฏหมายแรง

วันนี้​ 17  มิ.ย. 65  นาย​สามารถ​ เจน​ชัย​จิตร​ว​นิช​ อดีต​ผู้ช่วย​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม​ ได้​โพสต์​ข้อความ​ผ่าน​เฟซบุ๊ค​ส่วน​ตัว​ ชื่อ​ สามารถ​ เจน​ชัย​จิตร​ว​นิช​  แสดงความเห็นเกี่ยวกับ​การหลอก​ลวง​ฉ้อโกง​ประชาชน​ในปัจจุ​บัน​ทำไมถึงมีมากขึ้น​ ในอดีตมีการหลอก​ลวง​แบบนี้มั้ย​ โดยนายสามารถได้โพสต์​ข้อความ​ ว่า

วันนี้​ระหว่างฟังประชุมสภา​ เรื่อง​ พ.ร.บ.ตำรวจ​ ก็ได้เห็นพ่อแม่​พี่น้อง​ประชาชน​ส่งข้อความ​การหลอก​ลวง​ callcenter ล่าสุดอาม่า​ โดนหลอกลวง​ไป​ 11​ ล้าน ถึงขั้นหมดตัวกันเลยทีเดียว​ เงินเก็บที่หามาทั้งชีวิต​  ส่วนตัวผมเองก็เจอวันนี้บอกมาจาก​ กสทช​ สุดท้าย​มิจฉาชีพ​พูดไทยชัดเจน​ แต่พูดผิดสคริปต์​ก็วางหูไปเองเลย​  ทำให้ผมเห็นใจ​ผู้เสียหาย​อีกนับล้านคนที่สูญเสีย​เงินไป​  อย่างคดียูฟัน​ ผ่านไป​  8  ปี​ ยังไม่ได้เงินคืน​ คดีตะเกียง​น้ำมันฯ​ ตั้งแต่ปี​ 55  สมัยรัฐ​บาล​นายกฯ​ปู​ จนตอนนี้​ก็ยังไม่ได้คืน​ เพราะติดข้อกฏหมาย​ที่เอื้อโจร​  ผมเลยหยิบหนังสือ​ประวัติศาสตร์​สมัยอยุธยา​มาดูว่า​ สมัยก่อน​มีการ  ปล้น​  ลักทรัพย์​ หรือ​ มีโจรมั้ย​  ผมก็ไปเห็นถึงโทษตามกโหมายพระอัยการกบฏศึก​ โดยมีโทษ “ทวะดึงษกรรมกร 32 ประการ” ตามกฎหมายพระอัยการกบฏศึก ที่แยกขาดออกมาอีก 11 สถาน เป็นข้อกําหนดที่เกี่ยวกับ โทษสําหรับผู้กระทําผิดพระราชอาญา เป็นโจร ลักทรัพย์ โดย สรุปคือเป็นโทษที่ทําความเดือดร้อนให้ชาวบ้านชาวเมืองนั่นเอง ซึ่งต่างจากโทษ 21 สถานที่ทําความเดือดร้อนให้แผ่นดิน​ จะเห็นได้ว่า  โทษ​ 11  สถานเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเดือดร้อนของชาวบ้าน​ชาว​เมืองในสมัยนั้น

โดยการลงโทษ 11 สถานนั้นมีดังนี้ 1.ให้ทวนด้วยหวาย 2. ให้ตัดนิ้ว 3. ให้ตัดเท้าทังสองข้าง 4. ตัดมือสองข้าง เท้าสองข้าง 5. ให้ตัดหูทังสองข้าง 6. ตัดจะหมูกเสีย 7. ตัดหูทังสองข้าง ตัดจะหมูก 4. ตัดปากแหวะปากเสีย 4. ให้เสียบ (ทั้ง) เป็น 10. ให้ตัดศีศะเสีย 11. ให้จําห้าประการใส่คุกไว้

มาถึงตรงนี้ผมขอหยิบยกคำในหนังสือประวัติศาสตร์มาอธิบายให้เห็นถึงคุก​ และ​ ตะรางในสมัยอยุธยา​ โดยในหนังสือ​ระบุไว้ว่า

"อนึ่งมีคุกสำหรับใส่คนโทษโจรผู้ร้ายปล้นสะดมแปดคุกมีตะรางหน้าคุกสำหรับใส่ลูกเมียผู้ร้ายทุกหน้าคุก ซึ่งโทษเบาเป็นแต่โทษเบดเสฐ ใส่โซ่พวงละเก้าคนสิบคนใช้ทำราชการเมืองที่ีโทษหนักต่อวันพระห้าค่ำแปดค่ำสิบเอ็ดค่ำสิบห้าค่ำ จึงใส่พวงคอละญี่สิบสามสิบคน และเมียผู้ร้ายนั้นใส่กรวนเชือกผูกเอวต่อกันไปผูกติดท้ายพวงคอออกมาเที่ยวขอทานกิน”

 

ดังนั้น​จะเห็นได้จากข้อความดังกล่าวนอกจากจะทำให้เราทราบสภาพของนักโทษในสมัยนั้นแล้ว ยังทำให้เราทราบอีกด้วยว่าคุกกับตะรางเมื่อก่อนนั้นมีความหมายต่างกันคือ คุกใช้สำหรับกักขังนักโทษส่วนตะรางใช้สำหรับขังเมียของนักโทษ​ 

แต่ตะรางดังกล่าวคงจะไม่ได้ไว้ใช้แค่ขังเพียงเมียของนักโทษเท่านั้นแต่ยังคงจะขังญาติพี่น้องของนักโทษด้วยเป็นแน่ เพราะจากหนังสือ “เรื่องกฎหมายเมืองไทย” ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าจับ “อ้ายผู้ร้าย” ไม่ได้ก็ให้จับลูกเมีย พ่อแม่ พี่น้อง พ่อตา แม่ยาย พวกพ้องเพื่อนฝูงมาจำแทน โดยถ้าเป็นชายก็ให้ใส่คาไว้ถ้าเป็นหญิงก็ให้ใส่ขื่อไว้

ในพระราชกำหนดเก่าได้บัญญัติไว้ด้วยว่า ถ้าอ้ายผู้ร้ายลักของพระหรือโจรปล้นสะดมลักช้าง ม้า รับเป็นสัตย์ให้ขังคุกไว้และจำ 5 ประการคือ คา, โซ่, ตรวน ร้อยคอและร้อยเท้าจนกว่าจะตาย จะเห็​นได้ว่าเท่ากับติดคุกไม่มีวันออกนั่นเอง

นอกจากนี้ยังบัญญัติการลงโทษอีกว่า ถ้าโทษปล้นสะดมครั้งหนึ่งให้ตัดหูข้างหนึ่ง ถ้าครั้งสองให้ตัดหูอีกข้างหนึ่งถ้าครั้งที่สามให้ฆ่าเลย ส่วนโทษเบาลงก็ให้สักหน้าสักอกแล้วให้ติดพวงคือเป็น “คนพวง” จ่ายใช้ราชการในคุก นอกคุกเฉพาะเวลากลางวันส่วนกลางคืนให้จำใส่คุกไว้ แต่โทษปล้นสะดมให้จำคุกไว้ทั้งกลางวันกลางคืนคือ ห้ามไม่ให้พาออกมานอกคุกอย่างเด็ดขาด


ดังนั้น “คนพวง” ที่ทางคุกจ่ายออกมาทำงานนอกคุกบางคนจึงเป็นคนพิการ หูขาด มือขาด หลังลาย เพราะถูกทวน (ตี) ด้วยลวดหนังและผอมโซด้วยความอดอยาก


สำหรับการจ่ายคนพวงออกมาทำงานนั้น ในสมัยอยุธยากรมพระนครบาลใช้ให้ทำนา ทำสวน เลี้ยงช้าง ม้า โค กระบือ แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ใช้ให้ทำงานโยธาต่าง ๆ เช่น ทำความสะอาดวัดและถนนหนทาง เป็นต้น แต่คนพวงสมัยหลังนี้มือเท้าไม่ขาดเหมือนสมัยโบราณแล้ว
จะเห็​นได้ว่าสมัยโบราณ​ ใครปล้น​  ใครโกง​ จะถูกประจาน​  ประนาม​ เอาญาติ​ พ่อแม่พี่น้อง​ มาร่วมรับผิดด้วย​  สุดท้าย​ติดคุกก็ต้องเอามาทำงานสาธารณะ​ ผมจึงคิดว่า​ บางทีในปัจจุ​บัน​กฏหมาย​เบาเกินไป​ อาชญากรรม​ก็เลยมากขึ้น  ดูอย่างในสมัยก่อนคนน้อย​ กฏหมายยังแรง​ให้คนเกรงกลัว​  แต่ทุกวันนี้คนมีมากแต่บทลงโทษ​กฏหมายเบาเกินไป


ไม่ว่าจะแชร์​ลูกโซ่​  ฉ้อโกง​ประชาชน​  แกงค์​คอ​ล​เซ็นเตอร์​ ถ้าเจอกฏหมายตราสามดวง​เข้าไป​ ผมคิดว่าคงเลิกหลอกลวงชาวบ้านกันแน่​ ผมก็เลยถือโอกาสหยิบยกประวัติศาสตร์​มาให้​อ่านกัน​

โดยผมยังขอย้ำว่าอย่าลืม​ ที่ใดมีการรวมตัวกัน​ ที่นั้นจะมีพลัง​ ที่ใดมีพลัง​  ที่นั้นจะมีกฏหมาย​  ที่ใดมีกฏหมายที่นั่นจะมีความยุติธรรม

ถ้าสังคมไทย​อยากแก้ปัญหา​นี้​ อาจจะต้องทบทวน​ เรื่องความรุนแรง​ ความเกรงกลัว​ของกฏหมายมาใช้อีกครั้งนึง

"ส่วนตัวผมโดนพวกมิจฉาชีพ​โทรมา​ทุกวัน​ แต่ไม่หลงกล​ แต่เป็นห่วงบุคคลอื่นที่มีโอกาสโดนหลอกลวง​ได้ทุกวันเพราะมิจฉาชีพ​เนียน​ขึ้น​ และ​ กล้ามากขึ้นทุกวัน​ ถึงเวลาแล้วที่นายก​รัฐมนตรี​ต้องเอาจริง​ในเรื่องนี้ใครทำไม่ได้ให้เปลี่ยนตัวทันที" นาย​สามารถ​ กล่าวทิ้งท้าย​