ป้อมปืนปากน้ำ

เที่ยวชมป้อมผีเสื้อสมุทร ณ เมืองปากน้ำ ที่ตั้งของปืนใหญ่อาร์มสตรอง จัดซื้อในสมัย ร.5 เคยมีบทบาทในการป้องกันประเทศช่วง ร.ศ. 112 ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ
KEY
POINTS
- ป้อมผีเสื้อสมุทรตั้งอยู่บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระสมุทรเจดีย์ เป็นที่ตั้งของปืนใหญ่อาร์มสตรอง หรือ "ปืนเสือหมอบ" จำนวน 3 กระบอก
- ปืนใหญ่ดังกล่าวจัดซื้อในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และเคยมีบทบาทสำคัญในการป้องกันประเทศในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112
- ภายในบริเวณป้อมยังมีอาคารประวัติศาสตร์ เช่น คลังเก็บทุ่นระเบิด คลังเก็บดินปืน และจัดแสดงโขนเรือโบราณที่ถูกค้นพบในบริเวณใกล้เคียง
- ปัจจุบันป้อมอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือและเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ให้ประชาชนเข้าชมได้
แต่ละพื้นที่ แต่ละแห่ง ก็มีเสน่ห์ในตัวตน ทำให้ผู้คนที่เดินทางมาจากที่อื่นพอได้มาเห็นพื้นที่ที่แตกต่างจากถิ่นฐานเดิม ได้เห็นอะไรที่แตกต่าง ก็ย่อมตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าจะเป็นภาพที่ชินตาสำหรับคนในพื้นที่นั้นก็ตาม สำหรับคนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพตอนเหนืออย่างผม บรรยากาศของปากแม่น้ำจ้าพระยา ที่กว้างใหญ่ราวทะเล ดงต้นจาก ดงป่าชายเลน ดงต้นลำพูริมน้ำ ย่อมเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจแน่นอน มาครับ...ครั้งนี้เราไปเที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพ ไปที่เมืองปากน้ำกัน
อย่างที่ผมเกริ่นบอกไปในช่วงอารัมภบทว่า แม้ปากน้ำนั้นแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับกรุงเทพ แต่ตั้งแต่ผมแปลงกายมาเป็นคนกรุงเทพร่วม 40 ปี ก็มาปากน้ำไม่ถึง 5 ครั้ง ครั้งนี้ไม่รู้ครึ้มใจอะไรเลยนั่งรถไฟฟ้ามาจนถึงปากน้ำ แล้วลงเดินเลียบฟุตบาท ดูนั่นดูนี่ไปตามประสา เมืองปากน้ำก็เหมือนชุมชนเมืองทั่วไปที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและรถรา ร้านค้าหนาแน่น เดินมาตามฟุตบาทที่สภาพไม่ค่อยดีนัก มีชำรุดหลายแห่ง จนมาถึงตลาดปากน้ำก็เดินเข้าตลาด มาทะลุออกท่าเรือข้ามฟาก เพื่อข้ามไปฝั่งพระสมุทรเจดีย์
พอเรือข้ามฟากออกมาห่างจากตัวเมืองปากน้ำ เราจึงเห็นความใหญ่โตของเมืองปากแม่น้ำแห่งนี้ มีหอคอยสูงเด่น มองจากตรงไหนก็เห็นเรือข้ามฟาก พาลอยข้ามแม่น้ำไปอีกด้านของแม่น้ำ เห็นองค์พระสมุทรเจดีย์โดดเด่น ป่าชายเลนเขียวๆ และพระบรมรูปของเสด็จเตี่ยที่ป้อมผีเสื้อสมุทร ก่อนที่เรือจะพาแล่นเข้าไปในคลองที่ตัดอ้อมเกาะผีเสื้อสมุทร
ตอนผมไปนั้นน้ำกำลังลงพอดี สันดอนเลนเลยโผล่ขึ้นเต็ม จนเรือต้องค่อยๆ แล่นเข้าไปในคลอง ก่อนจะไปจอดเทียบกับท่าเรือฝั่งพระสมุทรเจดีย์ ตรงนี้เขาจะทำเป็นคล้ายตลาดสองฝั่งทางเดินตรงกลาง แต่บรรยากาศดูเงียบเหงา ร้านรวงอะไรก็น้อย เดินออกไปจนพ้นอาคารตลาดแล้วไปทางขวา เดินไปราว 300 เมตร ก็ถึงพระสมุทรเจดีย์
พื้นที่ทางฝั่งด้านนี้ เดิมจะมีสันดอนทรายบ้าง เลนบ้าง มาสะสมตัวจนกลายเป็นเกาะเล็กๆ ชาวบ้านเรียกเกาะผีเสื้อสมุทร พอนานวันเข้ามีต้นไม้มาขึ้น จึงกลายเป็นพื้นดินที่มั่นคงถาวร รวมทั้งมีการปรับพื้นดินตอนจะสร้างพระเจดีย์ด้วย จากดินเลนที่มาสะสมตัวกันหลวมๆ พอถูกปรับแต่ง พื้นที่จึงมั่นคงขึ้น สมัยก่อนต่างชาติที่จะเข้ามาค้าขายติดต่อกับกรุงเทพก็จะต้องมาทางเรือ ผ่านทางปากน้ำนี่แหละ
รัชกาลที่ 2 พระองค์ประสงค์จะสร้างสิ่งปลูกสร้างที่แสดงให้ฝรั่งต่างบ้านต่างเมืองที่มาทางเรือได้รู้ว่า นี่เป็นแผ่นดินไทยบ้านเมืองพุทธ จึงทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นบนสันดอนที่อยู่ใกล้กับเกาะผีเสื้อสมุทร โดยโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3) เป็นแม่กอง กับเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) มาดำเนินการก่อสร้างเจดีย์ แล้วพระราชทานนามว่า “พระสมุทรเจดีย์” พร้อมกันนั้นยังพระราชทานนามเมืองแห่งนี้เป็นสมุทรปราการอีกด้วย
แต่รัชกาลที่ 2 มาเสด็จสวรรคตเสียก่อนที่พระเจดีย์จะก่อสร้างแล้วเสร็จ มาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้สร้างต่อ ใช้เวลาสร้าง 211 วันจึงแล้วเสร็จ และได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ที่คอระฆังขององค์พระเจดีย์ จากนั้นรัชกาลที่ 3 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระสมุทรเจดีย์แห่งนี้ด้วย
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์เสด็จประพาส ทอดพระเนตรพระสมุทรเจดีย์ เมืองสมุทรปราการ ทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระวิหารใหญ่หันหน้าออกทะเลเพิ่มเติม แต่เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงทราบว่าพระบรมสารีริกธาตุองค์เดิมนั้น ถูกคนร้ายลักไป จึงพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหม่จากพระบรมมหาราชวังมาประดิษฐานที่พระสมุทรเจดีย์ โดยทรงบรรจุด้วยพระองค์เอง เมื่อ พ.ศ. 2403 แล้วจึงให้มีการจัดงานสมโภชพระสมุทรเจดีย์ และมีสืบทอดมาจนเท่าทุกวันนี้
งานสมโภชดังกล่าวจะมีราวๆ เดือนตุลาคมของทุกปี ลองเช็คดูก็แล้วกัน จนกลายเป็นประเพณีใหญ่ของเมืองปากน้ำ ร้านรวงแน่นขนัด ผู้คนเยอะมาก แต่ถ้ามาช่วงอื่นคนก็บางเบา เดินเที่ยวได้สบายๆ มาถึงที่นี่แล้วก็อยากให้เดินชมพระสมุทรเจดีย์และพระอุโบสถ ที่มีสถาปัตยกรรมเป็นไปตามสมัยนิยมในยุคนั้น
ออกมานอกเขตกำแพงแก้วของพระสมุทรเจดีย์ จะเห็นมีสะพานเหล็กทอดผ่านคลองเล็กๆ ไปยังเกาะผีเสื้อสมุทรที่มีต้นจาก ต้นลำพู และบรรดาไม้ชายเลนขึ้นกันหนาแน่น จะมีทางปูนเลียบน้ำไปราว 400 เมตร ตรงนี้จะเป็นป้อมของทหารเรือที่ดูแลพื้นที่ เราไปก็ไปลงชื่อเข้าเที่ยวชม ตรงนี้เขามีป้ายอธิบายที่มาที่ไปของป้อมผีเสื้อสมุทรด้วย ลงทะเบียนแล้วเดินเที่ยวชมได้เลย
จะมีทางปูนนำพาไป เดินไปไม่ไกลนัก ทางซ้ายจะมีอาคารสร้างใหม่หลังหนึ่ง อาคารนี้เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภาพประวัติความเป็นมาของป้อมผีเสื้อสมุทร และเหตุการณ์ในสมัยวิกฤตการณ์ ร.ศ. 111-112 พร้อมกับฉายวีดีทัศน์ แต่เขาปิด และเข้าใจว่าคงจะเปิดแค่ช่วงมีงาน นอกนั้นคงปิดตลอด ตรงข้ามกันจะเป็นทางปูนลาดลงต่ำ มีป้ายเขียนว่าป้อมผีเสื้อสมุทร เดินลอดซุ้มป้ายลงไปจะเห็นเป็นห้องเล็กๆ ขนาบสองข้าง แล้วมีท่อต่อสูงขึ้น
ผมจำไม่ได้แล้วว่าไปเห็นข้อมูลนี้มาจากไหน เขาบอกว่าห้องสองข้างนี้เป็นห้องเก็บกระสุนปืนเรือของเรือต่างชาติ คือเรือต่างชาติที่มา ก่อนจะเข้าไปในพระนครต้องฝากกระสุนปืนไว้ที่นี่เพื่อป้องกันการก่อเหตุร้าย จะกลับออกไปก็ค่อยมาเอาคืน ท่อที่เห็นคือท่อระบายอากาศไม่ให้ห้องเก็บกระสุนมันร้อนจนเกิดอันตราย ถ้าผมจำผิดขออภัยด้วยนะ ในนี้จะมีกำแพงสูงเป็นเหมือนป้อมล้อมรอบ เป็นกำแพงกันแรงระเบิดไปในตัว
ด้านในเป็นสนามกว้างด้านหนึ่งเป็นกำแพง มีเจาะช่องเป็น 3 ช่อง ด้านในตั้งปืนใหญ่อาร์มสตรอง ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อจัดซื้อปืนใหญ่จำนวน 10 กระบอก ติดตั้งไว้ที่ ป้อมพระจุลจอมเกล้า จำนวน 7 กระบอก และป้อมผีเสื้อสมุทร จำนวน 3 กระบอก ติดตั้งเมื่อ 10 เม.ย. 2436
ปืนแบบนี้เขาเรียกอีกชื่อว่า "ปืนเสือหมอบ" คือเวลาไม่ใช้ก็จะเอาขาพับลงมาเก็บ จะเป็นเหมือนท่าหมอบ แต่เวลาจะใช้ก็จะหมุนขาให้สูงขึ้น ปากกระบอกก็จะสูงเลยกำแพง ปืนนี้เคยร่วมในเหตุการณ์ ร.ศ. 111-112 ที่เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาปิดล้อมและข่มขู่เราในสมัย ร.5 ด้วย ปัจจุบันปืนทั้ง 3 กระบอกยังคงถูกดูแลอย่างดี ภายในช่องปืน จะมีป้ายอธิบายการใช้งานปืนเสือหมอบนี้ไว้ด้วย
ด้านนอกกำแพงปืนจะเป็นลานที่ประดิษฐานพระบรมรูปของเสด็จเตี่ย ประทับยืนหันพระพักตร์ไปทางเมืองปากน้ำ มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองปากน้ำและแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างสวยงาม
ทางเดินจะนำพาลงมายังอาคารเก่าๆ ชั้นเดียว อาคารนี้จะเป็นคลังเก็บทุ่นระเบิด สร้างเมื่อปี พ.ศ.2481 คลังเก็บดินปืน สร้างขึ้นพร้อมกับป้อมปืนเสือหมอบเพื่อไว้เก็บวัตถุระเบิดของกองทัพเรือในยุคนั้น ปัจจุบันทิ้งร้างไม่ได้ใช้งาน ด้านในมีป้ายบอกเล่าเหตุการณ์ครั้ง รศ. 111-112 ไว้ด้วยว่าป้อมนี้มีบทบาทอย่างไร ร่วมในเหตุการณ์อย่างไร เข้าใจว่าช่วงที่เขามีกิจกรรม คงมาจัดกันในนี้แหละ
ทั้งยังมีโขนเรือโบราณอยู่ด้วย โดยโขนเรือโบราณนี้ได้ถูกค้นพบเมื่อ 20 ก.ค. 2554 โดยเรือที่มาขุดลอกคูคลองบริเวณทิศตะวันตกของป้อมผีเสื้อสมุทร แล้วเบื้องต้นนำมาจัดเก็บไว้ที่ท่าเทียบเรือพระสมุทรเจดีย์ของเอกชน ต่อมาเมื่อ 28 ก.ค. 2554 น.อ.จักรกฤษ ปั้นสมสกุล ผบ.ปจปร. ขณะนั้นจึงไปขอโขนเรือจากผู้ที่ขุดพบและนำมาไว้ที่ห้องนิทรรศการป้อมผีเสื้อสมุทร ในปี พ.ศ.2556 น.อ.อารัญ เจียมอยู่ ผบ.ปจปร. ขณะนั้นได้รับนำมาไว้ที่คลังทุ่นระเบิดจนเดี๋ยวนี้
ในช่วงที่กระแสความรักชาติกำลังคุกรุ่น ก็อยากเชิญชวนให้มาเที่ยวชมสถานที่ที่เคยใช้งานจริง สถานที่ที่เคยทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ แม้วันนี้จะไม่ได้ใช้งาน ไม่มีบทบาทในการป้องกันประเทศแล้ว แต่ทางทหารเรือเขาก็ยังคงรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดู ได้ระลึกถึงวีรกรรมของคนรุ่นก่อน จะได้เกิดความหวงแหนรักชาติ
เมืองปากน้ำนั้น เดินทางมาไม่ไกล ไม่ลำบาก มาเดินดูประวัติศาสตร์ มารับลมเย็นๆ ผมว่าเป็นแหล่งเที่ยวใกล้กรุงได้เป็นอย่างดี ชมเมือง ศึกษาประวัตศาสตร์ มีเวลาเชิญเที่ยวเมืองปากน้ำกันครับ...







