บ้านเล็กในป่าใหญ่ ฟ้าห่มปก เมื่อฟ้าปกเกล้าชาวไทยภูเขา

โครงการ "บ้านเล็กในป่าใหญ่" ณ ดอยผ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโครงการตามพระราชดำริของ "สมเด็จพระพันปีหลวง" เพื่อให้ราษฎรสามารถอยู่อาศัยร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- โครงการ "บ้านเล็กในป่าใหญ่" เป็นโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อให้ราษฎรสามารถอยู่อาศัยร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน
- โครงการฯ ที่ดอยผ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือชาวเขา 4 เผ่า (มูเซอ กะเหรี่ยง อาข่า และลีซอ) ให้มีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง พร้อมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิต
- นอกจากการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำแล้ว โครงการฯ ยังได้พัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สำคัญ
“พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า”
พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานแก่ราษฎร บ้านถ้ำติ้ว อ.ส่องดาว จ.สกลนคร เมื่อ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2525
ในการนั้น พระองค์ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้ง “โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เพื่อให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน
เมืองไทยเมื่อปี พ.ศ. 2525 นั้นสภาพการณ์เป็นอย่างไร คนรุ่นใหม่อาจจะนึกไม่ออก แม้กระทั่งคนรุ่นเก่าที่อยู่ในเมืองเองก็อาจจะคาดไม่ถึง ย้อนกลับไปในขณะนั้น สภาพบ้านเมืองของเรา มีการตัดไม้ในรูปแบบสัมปทานทำไม้ทั่วประเทศ พูดง่ายๆ ว่าไม่มีป่าไหนในเมืองไทยที่ไม่มีการทำไม้ มีการตัดไม้ ชักลากไม้ ทำหมอนไม้ ปางไม้ รถบรรทุกไม้ออกจากป่า ส่งเข้าโรงเลื่อย
ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ยังทันเห็นแพของไม้ซุงที่ลอยในแม่น้ำเจ้าพระยามารอส่งขึ้นโรงเรื่อยต่างๆ ริมแม่น้ำ พอหมอนไม้ สัมปทานไม้เข้าไปที่ไหนคนก็ตามเข้าไปบุกเบิก หักร้างถางพง สร้างเป็นหมู่บ้าน ทำเป็นไร่นา ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย อย่างแถวนครสวรรค์อย่าง "ปางศิลาทอง" ขึ้นชื่อว่าปางๆ ซับๆ นำหน้าชื่อ
เหล่านี้เป็นผลพวงมาจากการทำไม้ในอดีตทั้งสิ้น ที่ยังรอดมาได้ก็ที่เป็นอุทยานแห่งชาติแล้วอย่าง "เขาใหญ่" แต่กว่าที่เขาใหญ่จะเป็นอุทยานแห่งชาติ ป่าทางฝั่งประจันตคาม ก็ถูกหักร้างถางพง เป็นที่ทำกิน เป็นทุ่งหญ้ากว้างนับหมื่นๆ ไร่ แต่ตอนนี้ต้นไม้ขึ้นหมดแล้ว ยุคนั้นก็มีอุทยานแห่งชาติเพียงไม่กี่แห่ง และแต่ละแห่งก็มีร่องรอยการบุกรุกเหมือนกันหมด
โดยเฉพาะป่าทางภาคเหนือ ถูกบุกรุกอย่างมาก หักร้างถางพงเป็นเขาหัวโล้นกันหมด ผู้คนเข้าไปตั้งชุมชนอยู่ในป่า และนับวันก็จะทำลายป่าขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะนำมาซึ่งความแห้งแล้งของแผ่นดินในที่สุด จนกระทั่ง วันที่ 14 มกราคม 2532 ที่ พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ รมว.กระทรวงเกษตร ในตอนนั้น ประกาศยกเลิกสัมปทานทำไม้ทั่วประเทศ หรือที่เราเรียก “ปิดป่า” นั่นเอง นั่นแหละการทำไม้ในป่าต่างๆ ของบ้านเราจึงยุติลง
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชดำรัสในการจัดตั้งโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ เพื่อให้คนที่เข้าไปอยู่ในป่าแล้ว ให้ช่วยกันดูแลรักษาป่าที่เหลือ ไม่บุกรุกเพิ่มเติม โดยมีการเข้ามาจัดการ จัดรูปแบบการจัดการพื้นที่ จัดที่ทำกิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ บริหารจัดการพื้นที่เพื่อให้ประชากรอยู่ในป่าได้อย่างยั่งยืน เข้ามาส่งเสริมอาชีพที่ไม่ต้องใช้ที่ดิน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการแผ้วถางป่า จัดการแหล่งน้ำให้มีความสมบูรณ์เหมาะกับการเพาะปลูก
โดยมีหน่วยงานราชการต่างๆ เข้ามาช่วยกัน ซึ่งรูปแบบการจัดการโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่จัดตั้งขึ้น ก็จะเป็นในรูปแบบนี้แทบทั้งหมด ครั้งนี้จะพามาเยี่ยมชมโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่ ดอยผ้าห่มปก กัน
โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชเสาวนีย์กับ คุณสหัส บุญญาวิวัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการพระราชวังฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ให้พิจารณาหาพื้นที่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อจัดตั้งโครงการตามแนวทางบ้านเล็กในป่าใหญ่ ห้วยหญ้าไซ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
โดย คุณสหัสฯ ได้ให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหาพื้นที่ที่เหมาะสม ซึ่งคณะทำงานได้คัดเลือกพื้นที่ดอยผ้าห่มปก ตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่อยู่ที่ หมู่ 15 ตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ให้ราษฎรที่ยากไร้และสมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ ได้มีที่อยู่ที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรให้ดีขึ้น
รวมทั้งบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางคนอยู่ร่วมกับป่า ในลักษณะ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” ซึ่งจะเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์ดังเดิม โดยความร่วมมือของหน่วยราชการต่างๆ
พื้นที่โครงการนี้เป็นที่อยู่อาศัย และทำกินของชาวเขา 4 เผ่า ได้แก่ มูเซอ กะเหรี่ยง อาข่า และลีซอ โดยในพื้นที่นั้นเราสามารถเยี่ยมชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า ชมแปลงเกษตรกรรมไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับ และพืชผักเมืองหนาว นาข้าวขั้นบันได ซื้อผลผลิตจากชาวเขา หรือจะเที่ยวชมทิวทัศน์ที่สวยงามในพื้นที่ก็ได้ โดยมีพื้นที่กางเต็นท์พักแรม ทั้งที่ม่อนแสนรัก ซึ่งอยู่ด้านหน้าอาคารที่ทำการของโครงการ ซึ่งเช้าๆ จะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกด้านหน้าที่เป็นเวิ้งแอ่งแปลงเกษตรอย่างสวยงาม
หรือจะไปกางเต็นท์พักแรมที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ที่อยู่ใกล้กับพระตำหนักก็ได้ จุดนี้จะเป็นจุดที่สูงที่สุด สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ที่นี่มีป่าโบราณที่ถูกมอส เฟิร์น เกาะกุมจนดูเหมือนป่าห่มผ้า
นักดูนกดอยทั้งหลายก็มักแวะเวียนมาเป็นครั้งคราว พื้นที่นั้นจะสวยงามมาก ยิ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงที่นางพญาเสือโคร่งบาน ราวกลาเดือนมกราคมเป็นต้นไป ราว 1 เดือน ดั่งแดนสวรรค์บนดอยสูง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับดินฟ้าอากาศด้วย นอกจากนั้น ยังสามารถเดินทางต่อเนื่องขึ้นไปถึงลานกางเต็นท์กิ่วลม ของอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกได้ด้วย
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมาที่โครงการนี้ครั้งแรกเมื่อ 13 มกราคม 2544 และเมื่อจัดตั้งโครงการแล้วก็เสด็จมาอีกหลายครั้ง โดยมีภาพการทรงงาน ณ โครงการนี้ติดแสดงไว้ในอาคารทรงงานในโครงการ
นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางง่ายๆ โดยเมื่อมาถึงอำเภอแม่อาย จะมีทางแยกขึ้นไปดอยผ้าห่มปกหรือดอยปู่หมื่น มีป้ายโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ชัดเจน เข้าไปตามทาง จะพบด่านเก็บค่าธรรมเนียมของอุทยานฯ ดอยผ้าห่มปก ทางจะเป็นทางปูนอย่างดี มีขึ้นดอยสูงบ้าง แต่เดินทางได้สะดวกมากจนกระทั่งถึงตัวโครงการฯ
นอกจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จะนำความ "อยู่ดีกินดี" มาสู่พสกนิกรบนที่สูงแล้ว ยังเป็นการฟื้นฟูสภาพป่า นำความสมบูรณ์ถาวรมาสู่แหล่งต้นน้ำลำธารของไทยแล้วยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามให้กับนักท่องเที่ยวที่ชอบเดินทางแสวงหาอีกด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
บทความนี้จึงขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกถึง "พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย"











