Regenerative Tourism: โอกาสใหม่ของเศรษฐกิจและธรรมชาติ

ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้ไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวแบบฟื้นฟูธรรมชาติ (Regenerative Tourism) แห่งหนึ่งของไทย ณ บ้านถ้ำเสือ ซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆ ท่ามกลางขุนเขา ติดริมแม่น้ำเพชรบุรี
โดยชุมชนที่ขึ้นชื่อจากความสำเร็จในการจัดทำธนาคารต้นไม้มานับ 20 ปี ทำให้บริเวณโดยรอบร่มรื่นเต็มไปด้วยแมกไม้ใหญ่น้อย จนกลายเป็นแห่งท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแห่งหนึ่งของไทยและกำลังยกระดับไปสู่การท่องเที่ยวแบบใหม่ที่เรียกกว่า การท่องเที่ยวแบบฟื้นฟู
ท่ามกลางข่าวนักท่องเที่ยวบางส่วนไม่มาเยือนเมืองไทยเนื่องจากหลายๆ ปัจจัย จนส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ในมุมหนึ่งก็ถือเป็นโอกาสตรงทางแยกสำคัญอีกครั้งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ระหว่างการลุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวให้กลับมาแบบเดิมกับโอกาสในการปฏิรูปไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ผมคิดว่าหนึ่งในคำตอบที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในเวทีโลก คือ การท่องเที่ยวแบบฟื้นฟู หรือ Regenerative Tourism ซึ่งนอกจากมุ่งหมายให้การท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนแล้ว ยังตั้งเป้าหมายสูงกว่านั้น คือ ใช้การท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูและสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับธรรมชาติ ชุมชน และแม้แต่ตัวนักท่องเที่ยวเอง
แนวคิดนี้ต่างและต่อยอดจากแนวคิดการท่องเที่ยวยั่งยืนที่พยายามรักษาสภาพเดิมของทรัพยากรหรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เน้นลดผลกระทบขณะเดินทาง ในขณะที่ การท่องเที่ยวฟื้นฟูธรรมชาติคือพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งซึ่งต้องการให้ปลายทางของการเดินทางนั้นดีกว่าเดิม ต้องการให้การท่องเที่ยวเป็นการคืนชีวิตให้ระบบนิเวศและชุมชน เป็นเครื่องมือเยียวยาทั้งสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ โดยที่ทุกภาคส่วนมีบทบาทร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว ชุมชน หรือผู้ประกอบการ
ในทางปฏิบัติ แนวคิดนี้แปลออกมาเป็นกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การปลูกป่า เก็บขยะชายหาด ซ่อมแนวปะการัง ไปจนถึงการพัฒนาโมเดลธุรกิจที่คืนกำไรสู่ชุมชนผ่านกองทุนของชุมชน หรือการเรียนรู้ร่วมกับชุมชนเพื่อสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น บางโรงแรมถึงกับให้นักท่องเที่ยวปลูกต้นไม้ของตัวเองไว้บนผืนดินที่พวกเขาเคยเหยียบย่าง และมีกลไกติดตามการเติบโตของต้นไม้นั้นผ่านแอปพลิเคชัน ทั้งหมดนี้ทำให้การเดินทางเป็นการให้คืนกลับให้ธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม
ประสบการณ์ในประเทศต่างๆ ตอกย้ำว่า Regenerative Tourism สามารถเกิดขึ้นจริงในระดับนโยบายและปฏิบัติ นิวซีแลนด์ เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก โดยปลูกฝังจิตสำนึกผู้พิทักษ์ธรรมชาติและวัฒนธรรมผ่านแนวคิดชาวเมารีที่เรียกว่า Tiaki (การพิทักษ์ดูแล) ในระดับประเทศ นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับการขอร้องให้ปฏิบัติตามคำมั่น Tiaki Promise คือ ข้อตกลงที่จะดูแลรักษาธรรมชาติ เคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น และระมัดระวังความปลอดภัยตลอดการเดินทางในนิวซีแลนด์ (มีการประชาสัมพันธ์ให้แชร์คำมั่นนี้บนโซเชียลมีเดีย)
มาตรการนี้เป็นการยกระดับจากการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนทั่วไป เพราะไม่ได้เน้นแค่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ปลูกจิตสำนึกเชิงรุกให้แก่นักท่องเที่ยวในการเป็นผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับคนท้องถิ่น นอกจากนี้ในเขตเมืองท่องเที่ยวอย่างควีนส์ทาวน์ ยังได้ประกาศเป้าหมายเป็นแหล่งท่องเที่ยวฟื้นฟูที่จะปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2030 โดยมาจากความต้องการของคนท้องถิ่นเองที่เห็นพ้องว่าการรักษาสภาพเดิมอย่างเดียวยังไม่พอ จึงต้องทำให้เมืองดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เพื่ออนาคตของคนรุ่นต่อไป
ฮาวาย เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ได้ริเริ่มโครงการ Malama Hawaii เชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอาสาต่างๆ เพื่อดูแลหมู่เกาะฮาวาย เช่น เก็บขยะชายหาด ปลูกต้นไม้พื้นถิ่น ทำฟาร์มแบบยั่งยืน และช่วยงานอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยผู้ที่เข้าร่วมจะได้รับสิทธิประโยชน์ตอบแทน เช่น ส่วนลดหรือพักโรงแรมฟรีเพิ่ม 1 คืน เป็นการตอบแทนน้ำใจ
ความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวฮาวาย องค์กรท้องถิ่น และภาคธุรกิจ (เช่น เครือโรงแรม) ทำให้เกิดโอกาสอาสามากกว่า 350 กิจกรรมทั่วเกาะ นักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมจะได้ประสบการณ์เชิงลึกและความภูมิใจที่ได้ตอบแทนแผ่นดินฮาวาย และมีส่วนช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศ (เช่น ป่าโกงกาง ชายหาด) และสืบสานวัฒนธรรมฮาวายดั้งเดิมไปพร้อมกัน สะท้อนแนวคิด Regenerative Tourism อย่างชัดเจน คือ เที่ยวให้ฮาวายดีกว่าเดิม เมื่อเรากลับบ้าน
สำหรับประเทศไทย จุดแข็งอย่างหนึ่งคือทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมอันหลากหลายที่ยังคงมีอยู่ในหลายพื้นที่ อีกทั้งยังมีต้นแบบระดับรากหญ้า ตัวอย่างเช่น Local Alike ที่ใช้โมเดลคืนกำไรสู่ชุมชนและโครงการท่องเที่ยวชุมชนจำนวนมากที่พร้อมจะพัฒนาไปสู่ระดับฟื้นฟูอย่างเป็นระบบหากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง และได้ดำเนินการร่วมพัฒนาต้นแบบไปแล้ว 3-4 พื้นที่ เป็นต้น
ในระดับโลก เทรนด์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ยิ่งเอื้อให้แนวคิดนี้เบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ งานวิจัยจาก Booking.com พบว่า 76% ของนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และกว่า 70% ยินดีมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยฟื้นฟูพื้นที่ที่พวกเขาเดินทางไปเยือน นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มองหาประสบการณ์ที่มีความหมายมากกว่าความสะดวกสบาย พวกเขาอยากรู้ว่าเงินที่จ่ายไปได้สร้างคุณูปการอะไรให้กับโลกบ้าง ธุรกิจที่ตอบโจทย์นี้ได้ย่อมเป็นผู้นำในตลาดท่องเที่ยวยุคใหม่
แนวคิดท่องเที่ยวเท่ากับการฟื้นฟูธรรมชาติหรือเที่ยวให้ที่นั่นดีกว่าเดิมเมื่อเรากลับบ้าน กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเดินทาง หากเราสามารถหยิบยกโอกาสนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ จะเป็นไม่เพียงฟื้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว แต่คือการวางรากฐานใหม่ให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจ ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน และทุกฝ่ายจะได้รับการฟื้นฟูและเยียวยา ทั้งธรรมชาติและมนุษย์







