บิน กิน เที่ยว ชวาตะวันตก อินโดนีเซีย เส้นทางใหม่ที่สายชิลต้องลอง

บินตรงเชื่อมต่อ สิงคโปร์ สู่ เกอร์ตาจาตี เมืองธรรมชาติและวัฒนธรรมสุดยูนีคแห่งชวาตะวันตก อินโดนีเซีย กับสายการบิน Scoot ที่ให้บริการแล้ววันนี้
KEY
POINTS
- แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ "ชวาตะวันตก" อินโดนีเซีย โดยสายการบิน Scoot เปิดเส้นทางบินใหม่สู่สนามบินเกอร์ตาจาตี (Kertajati) เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ใหม่ๆ
- สัมผัสวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ที่พระราชวังกาเซปูฮาน (Keraton Kasepuhan) และชมสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะยุโรปและชวาที่เกอดุงซาเต (Gedung Sate) ในเมืองบันดุง
- เพลิดเพลินกับธรรมชาติอันน่าทึ่งที่ "คาวาห์ ปูติห์" (Kawah Putih) ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟสีขาว และใกล้ชิดกับกวางพื้นเมืองที่ศูนย์อนุรักษ์กวาง Ranca Upas
- ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นรสเลิศหลากหลายเมนู เช่น Nasi Jamblang, Empal Gentong (เนื้อตุ๋นในหม้อดิน), และ Iga Bakar (ซี่โครงย่างกระทะร้อน) ซึ่งเป็นเมนูขึ้นชื่อที่ไม่ควรพลาด
ถ้าคุณเป็นสายชิล ชิม ชอป เที่ยว ที่กำลังมองหาจุดหมายใหม่ ๆ บนแผนที่ อินโดนีเซีย ต้องไม่พลาด "เกอร์ตาจาตี" เมืองเล็ก ๆ ใน ชวาตะวันตก ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ และวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่เหมือนใคร
ล่าสุดสายการบิน Scoot เปิดเส้นทางใหม่ เชื่อมต่อกรุงเทพฯ ผ่านสิงคโปร์ สู่เกอร์ตาจาตี ด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ ประหยัดพลังงาน บริการครอบคลุมถึง 70 จุดหมายใน 15 ประเทศ
โดยเฉพาะเส้นทาง สิงคโปร์ – เกอร์ตาจาตี Scoot ให้บริการ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ทุกวันอังคารและวันเสาร์ เที่ยวนี้ กรุงเทพธุรกิจ จึงขอพาทุกท่านออกเดินทางแบบ 4 วันเต็ม บิน กิน เที่ยว อินโดนีเซียกับ Scoot ไปด้วยกัน
เปิดประตูสู่สากลของชวาตะวันตกที่ สนามบินนานาชาติเกอร์ตาจาตี ชวาตะวันตก (Kertajati West Java International Airport)
สนามบินนี้ ตั้งอยู่ในอำเภอเกอร์ตาจาตี เมืองมาจาเลงกา ชวาตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย ห่างจากเมืองใหญ่อย่าง บันดุง ประมาณ 68 กิโลเมตร
เส้นทางเชื่อมต่อจากสนามบินแห่งนี้ ได้รับการสนับสนุนด้วยโครงข่ายทางหลวงที่สะดวกสบาย โดยเฉพาะ ทางด่วนชิซุมดาวู (Cisumdawu Toll Road) ที่ช่วยเชื่อมเกอร์ตาจาตีเข้ากับเมืองหลัก ๆ ในภูมิภาค
ด้วยทำเลที่ตั้งล้อมรอบด้วยพื้นที่เศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ สนามบินเกอร์ตาจาตีจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นความภาคภูมิใจของชุมชนท้องถิ่นในชวาตะวันตก พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและการเดินทางเชื่อมสู่ระดับสากลอย่างเต็มตัว
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1529 เพื่อใช้เป็นที่ประทับของ สุลต่านชีเรอบอน และ เป็นศูนย์กลางด้านการปกครองและวัฒนธรรมของเมืองมาอย่างยาวนาน
จนถึงทุกวันนี้ พระราชวังกาเซปูฮานยังคงสง่างามในฐานะแหล่งเก็บรักษาโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์และศาสนา เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของสุลต่าน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ถ่ายทอดเรื่องราววิถีชีวิตของราชสำนักในอดีตได้อย่างมีเสน่ห์
สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ ความโดดเด่นของเครื่องกระเบื้องเซรามิกที่ประดับตกแต่งอยู่ทั่วบริเวณพระราชวัง ไม่ว่าจะเป็นตามผนัง หรือ โครงสร้างต่างๆ ซึ่งสะท้อนอิทธิพลของศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบดัตช์ได้อย่างชัดเจน เพราะอินโดนีเซียเคยอยู่ภายใต้การปกครองของ เนเธอร์แลนด์ ยาวนานกว่า 300 ปี วัฒนธรรมทั้งสองจึงถักทอและหลอมรวมกันอย่างกลมกลืน
การได้มาเยือนพระราชวังกาเซปูฮานนั้น ไม่เพียงแค่ได้ชมความงามของสถานที่ แต่ยังเหมือนได้เดินย้อนเวลากลับไปสัมผัสหัวใจของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของชวาตะวันตกอีกด้วย
เดินชมเพลินๆ จนเริ่มท้องร้อง เลยแวะเติมพลังกันที่ร้าน Nasi Jamblang Ibu Nur ร้านดังประจำเมืองที่บรรยากาศให้ฟีลเหมือนร้านข้าวแกงบ้านเรา แต่มีความเก๋ตรงที่ลูกค้าสามารถเลือกหยิบอาหารเองได้ตามใจ แล้วค่อยไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ทีเดียว
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ข้าวที่นี่เสิร์ฟบน ใบสัก ตามแบบฉบับการกินข้าวของชาววังในสมัยก่อน ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่นิยมใช้ ใบกล้วย
เมนูมีให้เลือกก็หลากหลาย ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก และของทอด รสชาติจัดว่าเข้มข้นถึงใจ ราคาเป็นมิตร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกวันถึงมีคนมาต่อแถวยาวเหยียด บางช่วงแถวยาวออกไปถึงนอกร้านด้วยซ้ำ ด้วยกระแสความนิยมนี้เอง ทำให้ Nasi Jamblang Ibu Nur ต้องขยายสาขาเพิ่ม เพื่อรองรับลูกค้าที่แวะเวียนมาไม่ขาดสาย
อิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลาไปเช็กอินกันต่อที่ มันเตรา รัตตัน (Mantera Rattan) จุดหมายสำหรับสายคราฟต์และคนรักงานดีไซน์ เพราะที่นี่ไม่ได้เป็นแค่โชว์รูมเฟอร์นิเจอร์หวายเก๋ๆ เท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมเวิร์กชอป “สานหวาย” ให้ลองทำกันเองด้วย
รู้ไหมว่า… หวายมีมากกว่า 400 สปีชีส์ทั่วโลก และในอดีต หวายยังเคยถูกใช้เป็นหนึ่งในสินสอดแต่งงานของชาวอินโดนีเซียด้วย
นั่งสานหวายไปเพลินๆ ได้ทั้งฝึกสมาธิ ได้ทั้งของฝากกลับบ้าน และยังเข้าใจเสน่ห์ของงานฝีมือท้องถิ่นชวาตะวันตกเพิ่มขึ้นอีกด้วย
จานนี้เสิร์ฟมาพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และถ้าอยากเพิ่มความฟิน แนะนำให้สั่ง สะเต๊ะเนื้อ มาทานคู่กัน
วันที่ 2 ออกเดินทางสู่ เมืองบันดุง (Bandung) เมืองใหญ่ท่ามกลางขุนเขา ที่เคยถูกขนานนามโดยเจ้าอาณานิคมดัตช์ว่าเป็น “ปารีสแห่งเกาะชวา” เพราะตัวเมืองรายล้อมด้วยภูเขาและภูเขาไฟ อากาศจึงเย็นสบายตลอดปี
นอกจากธรรมชาติที่ชวนหลงใหล บันดุงยังมีบทบาทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์โลกด้วยการเป็นเจ้าภาพจัด การประชุมเอเชีย-แอฟริกา (The Asian-African Conference) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “การประชุมบันดุง” ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1955
เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้น รัฐบาลอินโดนีเซียได้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์การประชุมเอเชีย-แอฟริกา (Museum Konferensi Asia Afrika) ขึ้นภายในอาคารที่เคยใช้จัดประชุมจริง ๆ
เราสามารถเดินเข้าไปชมได้ทั้งนิทรรศการ ภาพถ่ายเอกสารสำคัญ และไฮไลท์คือการได้ยืนอยู่ใน “โถงแห่งประวัติศาสตร์” ที่ผู้นำโลกเคยนั่งถกเถียงกันอย่างจริงจังเมื่อเกือบ 70 ปีก่อน
สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษปี ค.ศ. 1920 สมัยที่อินโดนีเซียยังเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ตัวอาคารออกแบบในสไตล์ นีโอคลาสสิก ผสมผสานกับศิลปะพื้นเมืองของชวาอย่างลงตัว สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนระหว่างชาวยุโรปและชาวชวาในยุคนั้น
พื้นที่ชั้นล่างของอาคาร เคยถูกใช้เป็นเรือนจำมาก่อน ปัจจุบันปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ส่วนชั้นบนยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์ราชการบริหารของชวาตะวันตก
เดิมทีเกอดุงซาเตมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Departement van Gouvernements Bedrijven แต่ด้วยชื่อที่ยาวและออกเสียงยากสำหรับชาวบ้านทั่วไป จึงถูกเรียกติดปากว่า “เกอดุงซาเต” แทน
คำว่า “Gedung” ในภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า “อาคาร” ส่วนคำว่า “Sate” มาจากเมนูอาหารขึ้นชื่ออย่าง “สะเต๊ะ” เพราะส่วนยอดของตัวอาคารมีดีไซน์เป็นปลายแหลม เรียงซ้อนกันจนดูคล้ายกับไม้สะเต๊ะที่ใช้เสียบเนื้อนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนบันดุง
ชมพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็ได้เวลามาสัมผัสวัฒนธรรมดนตรีท้องถิ่นกันต่อที่ Saung Angklung Udjo หรือ “บ้านอังกะลุง”
ที่นี่คือศูนย์รวมของศิลปะและงานฝีมือจากไม้ไผ่ โดยเฉพาะ “อังกะลุง” เครื่องดนตรีพื้นเมืองของอินโดนีเซียที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,000 ปี
ย้อนกลับไปในอดีต อังกะลุงไม่ได้มีไว้เพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ถูกใช้ในพิธีแห่ขบวนพระราชา รวมถึงในเวลาเดินป่า เพื่อแสดงเกียรติยศและส่งเสียงขับไล่สิงสาราสัตว์ไปในตัว
ลักษณะของอังกะลุงนั้นทำจากกระบอกไม้ไผ่ อายุระหว่าง 3 – 6 ปี จำนวน 2 – 4 กระบอก ห้อยอยู่ในโครงไม้ไผ่ มัดด้วยเชือกหวาย
วิธีเล่นคือการ “เขย่า” เพื่อให้เกิดเสียง แต่ละชิ้นจะสามารถบรรเลงได้แค่โน้ตเดียว จึงต้องอาศัยผู้เล่นหลายคนมาช่วยกันสร้างท่วงทำนองให้สมบูรณ์
ด้วยเอกลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมนี้เอง ในปี ค.ศ. 2010 ยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศรับรองให้อังกะลุงเป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” อย่างเป็นทางการ
ที่นี่ นอกจากจะได้เห็นการผลิตอังกะลุงแบบแฮนด์เมดแล้ว ยังสามารถเข้าร่วม เวิร์กชอปการทำ และ การเล่นอังกะลุง ได้ด้วยตัวเอง รวมถึงมีการแสดงดนตรีและศิลปะการแสดงจากเด็กๆ ในชุมชนใกล้เคียง ที่มาเรียนรู้ และถ่ายทอดวัฒนธรรมเหล่านี้ต่อไป
บรรยากาศที่นี่อบอุ่น สนุกสนาน และเปี่ยมไปด้วยพลังของชุมชนอย่างแท้จริง
มื้อเที่ยงวันนี้ขอชวนแวะเติมพลังกันที่ Sultan Agung Resto อีกหนึ่งร้านดังของบันดุงที่ขึ้นชื่อทั้งเรื่องรสชาติและบรรยากาศ
จานแรกที่ไม่ควรพลาดคือ ไก่ทอดสุลต่าน เสิร์ฟคู่กับน้ำพริกรสเผ็ดจัดจ้านแบบอินโดนีเซียแท้ๆ เผ็ดถึงใจ แต่พอกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ แล้วเข้ากันแบบลงตัว
ใครสายของทอดต้องลอง ชีสบอล ปอเปี๊ยะ และ มั่นโถว ที่ทอดมากรอบนอกนุ่มใน
แต่ไฮไลท์ของมื้อนี้ ต้องยกให้เมนูของหวานที่ทั้งแปลกและอร่อยเกินคาดอย่าง กล้วยชุบแป้งทอดโป๊ะด้วยเชดดาร์ชีส ราดซอสคาราเมล รสชาติหวานมันเค็มตัดกันอย่างพอดี กินเพลินๆ จนเผลอหมดจานแบบไม่รู้ตัว
ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ถนนเส้นนี้จะปิดไม่ให้รถสัญจรผ่าน กลายเป็นถนนคนเดินเต็มรูปแบบ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยภาพวาดและงานศิลปะให้เลือกชมเลือกซื้อ รวมถึงร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านค้าต่างๆ
ด้วยประชากรอินโดนีเซียกว่า 200 ล้านคน หรือราว 85% ของประเทศนับถือศาสนาอิสลาม ทำให้ร้านอาหารส่วนใหญ่ที่นี่ ไม่ได้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เว้นแต่จะเป็นร้านที่มีใบอนุญาตโดยเฉพาะ
จึงไม่แปลกที่กิจกรรมยอดนิยมของชาวบันดุงหลังมื้อเย็น จะเป็นการแวะร้านกาแฟนั่งคุยกันชิล ๆ ฟังเพลง หรือเดินเล่นดูงานศิลป์ยามค่ำ มากกว่าการไปนั่งบาร์ หรือ ปาร์ตี้แบบเมืองอื่นๆ
วันที่ 3 ตื่นเช้า ออกเดินทางสู่ธรรมชาติที่งดงามไม่เหมือนที่ไหน
เป้าหมายแรกของวันนี้คือ Kawah Putih หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟสีขาว” หนึ่งในแลนด์มาร์กของบันดุงที่ถ้าไม่ได้มาเยือน ถือว่ามาไม่ถึงจริง ๆ
แม้จะต้องนั่งรถออกจากตัวเมืองบันดุงไปไกลถึง 46 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง แต่บอกเลยว่าคุ้มกับการตื่นเช้า เพราะภาพตรงหน้าช่างสวยราวกับหลุดออกมาจากอีกโลก
Kawah Putih เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ปาตูฮา (Patuha) ซึ่งมีความสูงถึง 2,194 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้อุณหภูมิบริเวณนี้ค่อนข้างเย็น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10–15 องศาเซลเซียส แนะนำให้พกเสื้อกันหนาว หรือ เสื้อกันลมติดตัวไปด้วย
จุดเด่นของที่นี่ คือ น้ำในทะเลสาบที่มีสีขาวอมเขียวอมฟ้า ซึ่งเกิดจากกำมะถันที่อยู่ในปล่องภูเขาไฟที่ยังแอคทีฟอยู่ จะเห็นควันสีขาวลอยขึ้นมาจากใต้พื้นดินหลายจุด บรรยากาศรอบๆ ดูลึกลับแฝงด้วยความงามที่ชวนให้หยุดมอง
อย่างไรก็ตาม ด้วยปริมาณกำมะถันที่เข้มข้น บริเวณนี้จึงมีกลิ่นค่อนข้างแรง และอาจส่งผลต่อสุขภาพหากอยู่ในพื้นที่นานเกินไป คำแนะนำสำคัญคือ ไม่ควรอยู่นานเกิน 30 นาที และที่สำคัญที่สุด ห้ามสัมผัสน้ำเด็ดขาด
นอกจากนี้ ควรระมัดระวังเวลาเดิน เพราะพื้นบริเวณริมทะเลสาบบางจุดมีโคลนกำมะถันที่อาจทำให้รองเท้าจมได้ ใครที่ไม่ชินกับกลิ่นแรง ๆ แนะนำให้พกหน้ากากอนามัยติดตัวไปด้วย
ภายในศูนย์ฯ แห่งนี้เป็นที่อยู่ของ กวางสายพันธุ์ทิโมเรนซิส (Timorensis) จำนวนมาก เป็นกวางท้องถิ่นของอินโดนีเซีย
ความน่ารักคือ กวางที่นี่ค่อนข้างคุ้นชินกับคน เพราะมีคนมาเยี่ยมเยือนอยู่ตลอด ถ้าได้กลิ่นอาหาร ก็จะค่อยๆ เดินเข้ามาหาอย่างเป็นมิตร
ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทั้งเพลินและผ่อนคลาย เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย
ปิดท้ายวันด้วยมื้อเย็นที่ Pascal Food Market ศูนย์รวมสตรีทฟู้ดและร้านอาหารชื่อดังใจกลางบันดุง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของกินขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง เพราะมีเมนูให้เลือกสรรมากถึง 1,100 เมนู
ร้านที่ต้องแวะให้ได้คือ Iga Bakar Si Jangkung ร้านซี่โครงเนื้อกระทะร้อนชื่อดังที่โด่งดังจนเป็นไวรัลในโซเชียลของอินโดนีเซีย
เมนูไฮไลท์คือ “Iga Bakar” หรือ ซี่โครงเนื้อย่างกระทะร้อน ที่เนื้อมีความเหนียวนุ่มกำลังดี เคลือบด้วยซอสที่มีรสเผ็ดร้อนจากพริกเผา ตัดกับความหวานนัวๆ จากซีอิ๊วดำแบบอินโดนีเซีย รสชาติเข้มข้นถึงใจ วันนี้โชคดีมาก เชฟเจ้าของสูตรต้นตำรับมาทำอาหารให้ชมกันสดๆ ได้ทั้งความอร่อยและความบันเทิงไปพร้อมกันเลยทีเดียว
และอีกหนึ่งร้านที่ไม่ควรพลาดซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันคือ Bolu Susu Lembang ร้านเค้กชื่อดังประจำเมือง
จุดเด่นของที่นี่ คือเค้กเนื้อเนียนนุ่ม หอมกลิ่นเนยนม มีหลายรสชาติให้เลือก แต่ที่ขายดีที่สุดต้องยกให้ รสออริจินัล ที่ท็อปด้วยครีมและชีสรสหวานๆ เค็มๆ ตัดกันอย่างลงตัว
ทริปนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าจดจำ เพราะได้สัมผัสเสน่ห์ของชวาตะวันตกครบทุกมิติ ทั้งวัฒนธรรมที่หลากหลาย ธรรมชาติสวยสะกดตา อาหารท้องถิ่นรสชาติเข้มข้น ไปจนถึงกิจกรรมสนุก ๆ ที่ทำให้ไม่มีเบื่อเลยตลอดการเดินทาง
ถ้าใครกำลังมองหาทริปใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำใคร ลองปักหมุดมาเที่ยวตามเส้นทางนี้ดูสักครั้ง รับรองว่าได้ทั้งภาพสวยๆ ความทรงจำดีๆ และเรื่องเล่ากลับบ้านไปแน่นอน
และสำหรับการเดินทางกับ Scoot ผู้โดยสารสามารถเลือกปรับแต่งประสบการณ์ได้ตามสไตล์ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่นั่ง, สั่งจองมื้ออาหารล่วงหน้า, เพิ่มน้ำหนักกระเป๋า, ชอปปิ้งบนเครื่อง หรือแม้แต่ใช้บริการ Wi-Fi ก็มีครบ
ใครที่ต้องการความเงียบสงบก็สามารถเลือกที่นั่งในโซน Scoot-in-Silence หรือถ้าอยากเพิ่มความสบายขึ้นไปอีกขั้น ลองอัปเกรดเป็น ScootPlus ก็ช่วยให้การเดินทางยาว ๆ เป็นเรื่องผ่อนคลายขึ้น
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้ Scoot เป็นสายการบินราคาประหยัดที่ทั้ง คุ้มค่า ปลอดภัย และมอบประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำ ให้กับผู้โดยสารทุกคนได้อย่างแท้จริง
Cr. ภาพ Smiling West Java , Farida Waller







