‘เที่ยวปริมณฑล’ ไปไหว้พระ วัดโบราณ ริมคลองอ้อมนนท์ ใกล้กรุงเทพฯ

‘เที่ยวปริมณฑล’ ไปไหว้พระ วัดโบราณ ริมคลองอ้อมนนท์ นึกถึงประวัติศาสตร์ เริ่มที่ ‘วัดปรางค์หลวง’ ไปจนถึง 'วัดอัมพวัน'
สงกรานต์ปี 2568 เป็นอีกปีที่มีอาการของคนแก่ คือไม่ตื่นเต้นกับเทศกาลอะไรแล้ว หลังจากไปขับรถตระเวนเที่ยวเหนือมา 30 วันเต็มๆ พอจะต้องขับรถออกไปติดบนถนนในช่วงสงกรานต์อีก ก็เลยเกิดอาการท้อซะอย่างนั้น เลยหากิจกรรมง่ายๆไปใกล้ๆ เที่ยวปริมณฑล ไป แค่บางใหญ่ นนทบุรี เพื่อ ไปไหว้พระ ช่วงสงกรานต์แทนก็แล้วกัน
ผมไม่ขับรถในกรุงเทพมาเป็นสิบๆปีแล้ว ด้วยเบื่อรถติด และหาที่จอดรถยาก เวลาจะเข้าใจกลางเมืองเลยพึ่งรถไฟฟ้า รถตู้ หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาตลอด จะไปบางใหญ่นี่ผมก็เลยมาขึ้นรถเมล์โดยสารจาก
ตลาดปากเกร็ด นั่งรวดเดียวมาถึงปากทางเข้า วัดปรางค์หลวง ริมถนนกาญจนาภิเษก ที่ บางใหญ่ เสียค่ารถเมล์แค่ 10 บาท แล้วอุดหนุนพี่วินอีก 10 บาท เข้าไปที่ วัดปรางค์หลวง โดยไม่ต้องเหนื่อยเลย
วัดปรางค์หลวง เป็นวัดโบราณเก่าแก่ ตามป้ายประวัติที่บันทึกและติดไว้ในวัด ได้ใจความว่าวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1890 แต่อีกบางข้อมูลก็บอกสร้างในปี พ.ศ. 1908
แต่ที่ตรงกันคือ พระเจ้าอู่ทอง เคยนำพาผู้คนมาหลบหนีโรคระบาดมาอาศัยอยู่ในย่านนี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะกลับไปไปสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง
อาจเป็นพระมหากษัตริย์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ก็ได้ เดิมวัดนี้ชื่อว่า วัดหลวง ต่อมา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จมาที่วัดแห่งนี้และเห็นมีปรางค์โบราณ เลยเปลี่ยนชื่อมาเป็น วัดปรางค์หลวง
ซึ่ง ปรางค์โบราณ นี้น่าจะสร้างมาพร้อมกับการสร้างวัด อยู่ระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหารน้อย สูง 21 เมตร ฐานกว้างด้านละ 12 เมตร มีลักษณะก่ออิฐสอดิน ย่อมุมไม้ยี่สิบ ทำเป็นเรือนธาตุ 7 ชั้น ประดับลายปูนปั้น เรือนธาตุมีซุ้มจรนำทั้ง 4 ทิศ
ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร องค์พระปรางค์มีสภาพชำรุดไปมากแล้ว ส่วนใหญ่ปูนที่ตกแต่งแตกร่อนหลุดไปเห็นเป็นอิฐด้านใน มีเพียงบางส่วนที่ยังหลงเหลือให้เห็นร่องรอย ลวดลายประดับพระปรางค์อยู่บ้าง
แต่พระปรางค์จะเอียงนิดหน่อย เพราะดินทรุด ซึ่งเป็นปกติของแผ่นดินย่านนี้เพราะเป็นทะเลมาก่อน ดินเลยเป็นดินตะกอนที่เคยสะสมริมน้ำมาก่อนอาจจะยังไม่แน่นนัก พอมีสิ่งปลูกสร้างมานาน ก็เอียงบ้างแบบนี้แหละ
อันที่จริงด้านหน้าพระปรางค์ เคยมีพระอุโบสถหลังเดิมซึ่งไม่รู้รูปทรงเดิม สร้างมาพร้อมพระปรางค์ เคยเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่ออู่ทอง ซึ่งมีพุทธลักษณะแบบอู่ทอง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย หน้าตัก 9 คืบ
เป็นพระพุทธรูปที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือมาก แต่พระอุโบสถได้ถูกทำลายไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบใหม่ไม่นานนี้เองหลวงพ่ออู่ทองก็อย่ในโบสถ์หน้าปรางค์นี่เอง
ใบเสมาเก่าแก่ ที่หลงเหลือเพียงใบเดียว
ด้านหน้ามีใบเสมาใหญ่ทำจากหินชนวน ไม่มีลวดลาย แต่ส่วนใหญ่น่าจะถูกทำลายไป เพราะเห็นมีเศษใบอื่นๆอยู่บ้าง เหลือสมบูรณ์ก็ใบด้านหน้านี้ใบเดียว
ด้านหลังพระปรางค์มีพระวิหารน้อย คาดว่าสร้างขึ้นพร้อมพระปรางค์ เป็นอาคารไม้ก่ออิฐถือปูน จำนวน 2 หลัง คล้ายจะเป็นกุฏิสงฆ์ พระอุโบสถและพระปรางค์ถูกล้อมด้วยกำแพงแก้ว โดยวัดปรางค์หลวงนี้ เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในนนทบุรีก็ว่าได้
พระพทธรูปในซุ้มจรนำ
จาก วัดปรางค์หลวง เดินมาอีกราว 150 เมตร ก็จะถึง วัดอัมพวัน วัดนี้ตั้งอยู่ ริมคลองอ้อมนนท์ หรือแม่น้ำอ้อมเช่นเดียวกับวัดปรางค์หลวง แต่อีกด้านยังถูกขนาบด้วยคลองบางม่วงอีกด้วย กลายเป็นวัดนี้มีคลองทั้งด้านหน้าและด้านข้าง
ถูกสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2175 ใน สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง จึงถือเป็นวัดเก่าอีกวัดหนึ่ง ในวิกิพีเดีย เล่าว่า แต่ก่อนย่านนี้เขาทำสวนมะม่วงกัน วัดจึงชื่อ วัดบางม่วง(ชื่อคลองก็ด้วย) ทั้งนี้คำว่า อัมพวัน หรือ อัมพวาน แปลว่า ป่ามะม่วง หรือสวนมะม่วง
โดยในสมัยพุทธกาลก็มี สวนอัมพวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกำแพงกรุงราชคฤห์ กับภูเขาคิชฌกูฏ ครั้งหนึ่งหมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้เคยถวายการรักษาอาการประชวรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หายเป็นปกติ ในบ้านเราจึงมีวัดชื่อ อัมพวันหลายแห่ง หลายที่นั่นเอง
เสนาสนะ ที่โดดเด่นและสวยงามอย่างมากคือ หอไตรกลางน้ำ ซึ่งตั้งอยู่บนคลองย่อยที่ต่อจากคลองอ้อมนนท์เข้ามาในวัด เพื่อเป็นทางสัญจรทางเรือของภิกษุ หอไตรนี้มีความสมบูรณ์ทางสถาปัตยกรรมไทยละสวยงามอย่างมาก มีการตกแต่ง ลวดลายประดับต่างๆ สวยงาม
เสียดายที่บันไดทางขึ้นชำรุดเสียหายจนขึ้นไปดูด้านบนไม่ได้ นอกนั้นที่นี่ยังมี ศาลาท่าน้ำ อีก 3 หลัง ที่สร้างสร้างอยู่ริมคลองอ้อมนนท์ เป็นศาลาทรงไทยหลังคาสองชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันตกแต่งลวดลายที่สวยงามมาก
เสียดายที่ชำรุดทรุดโทรมไปมาก และไม่มีการซ่อมแซม ซึ่งแต่เดิมทางด้านติดคลองนี้น่าจะเป็นหน้าวัด การมาวัดก็คงอาศัยแม่น้ำลำคลองนี่เอง ถามคนที่พบเจอเขาบอกว่า สมัยก่อนก็นั่งเรือไปจนถึงศิริราช
บางคนก็เรียก คลองบางกอกน้อย ก็มี (คลองอ้อมนนท์ จะแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือสะพานเจษฏาบดินทร์ที่นนทบุรีไปหน่อย แล้วไหลลงใต้ พอมาถึงตรงวัดชลอ ก็จะแยกเป็นสองสาย สายหนึ่งแยกไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบางกรวย
เรียกส่วนนี้ว่าคลองบางกรวย ส่วนอีกสายลงใต้เป็นคลองบางกอกน้อยไปออกตรงศิริราช บางคนจึงเรียกทั้งสายเป็นคลองบางกอกน้อยก็มี เอาไว้ค่อยเขียนถึงคลองอ้อมนนท์อีกที)
ในวัดยังมีมณฑปพระพุทธบาท ภายในมีพระพุทธบาทจำลอง ทำด้วยโลหะประดิษฐานอยู่บนฐานปูน และมีสถูปทรงปรางค์ประดับด้วยเครื่องถ้วยชามจีน รวมทั้งกฏิสงฆ์แบบดั้งเดิม เสียดายที่ดูจะร้างเพราะพระมีน้อย ประกอบกับในหน้าน้ำ น้ำน่าจะท่วมนาน เสนาสนะทั้งหลายจึงดูโทรมๆ
สองฝั่งคลอง มีบ้านเรือนชาวบ้านที่อยู่อาศัยริมคลอง ไปมาหาสู่กันก็ยังใช้เรือ มีเรือขายขนม ขายกาแฟ ขายก๋วยเตี๋ยว และเข้าใจว่าในอดีตพระท่านคงจะพายเรือออกบิณฑบาตทางน้ำด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันบิณฑบาตทางบกหรือทางน้ำ เดี๋ยวนี้มีเรือหางยาวที่นำพานักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมวัดและวิถีริมน้ำกันเนืองๆ อีกด้วย
การมีชีวิตในเมืองใหญ่มานานๆ ครั้นได้หลบมานั่งดูชีวิตที่สงบเงียบ มาชื่นชมบรรยากาศของวัดริมน้ำที่ยังพอจินตนาการไปถึงในอดีตว่าเป็นวิถีชีวิตที่งดงามเพียงใด ได้มาซึมซับสิ่งปลูกสร้าง ที่วิจิตรบรรจง
สถูปทรงปรางค์ที่ประดับด้วยเครื่องถ้วยชามจีน
สะท้อนถึงการทุ่มเทเพื่อถวายแด่ศาสนา จนหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ครั้นได้มาเห็นก็พอชุ่มชื่นใจ เหมือนหลบร้อนในเมืองใหญ่มาหาที่สงบเย็น จึงอดไม่ได้ที่จะนำพามาบอกเล่าสู่ท่านผู้อ่าน
มีโอกาส.....ก็ขอเชิญชวนครับ....







