‘เที่ยวชมปราสาท’ ตาเมือน...จุดแรมทางกลางไพร

‘เที่ยวชมปราสาท’ ใน ‘จังหวัดสุรินทร์’ ตาเมือน จุดแรมทางกลางไพร ที่ว่านั้นเดินทางสะดวก ถนนลาดยาง มีรถสัญจรตลอดเวลา พื้นที่ดูเหมือนป่าเงียบ แต่ไม่เปลี่ยว ยังเห็นชาวบ้านออกมาทำไร่ และ มีคนดูแลทำความสะอาด ‘ปราสาท’ ทุกวัน
ผมมาตั้งเปิดดูกูเกิลแมพเพื่อดูที่ตั้งของสถานที่เพื่อทำความเข้าใจก่อนลงมือเขียนงาน ก็มาเห็นว่าตามแนวชายแดน ที่เราทั้งไทยและกัมพูชา ยอมรับแบบ ‘เข้าใจกัน’ นั้น
เรายึดถือเอาตามลักษณะภูมิประเทศ ที่ส่วนใหญ่ทางด้านเราจะเป็นพื้นที่สูง จนเป็นเนิน เป็นหน้าผา ตามแนวการยกตัวของแผ่นดิน และทางกัมพูชานั้นมักจะเป็นพื้นที่ต่ำกว่า
แต่...ต้องย้ำกันตรงนี้ก่อนว่า....เป็นแค่การยอมรับและเข้าใจกันคร่าวๆ ยังไม่ใช่การปักหมุดเขตแดนกันอย่างชัดเจน ดังนั้น พื้นที่ตรงนี้จึงยังเหลื่อมกันอยู่ เพราะใช้แผนที่กันคนละฉบับ ถ้ายึดถือเอาภูมิประเทศก็อย่างที่ผมบอก แต่ในทางกฎหมายก็ยังไม่ได้แบ่งกันชัดเจน
พื้นที่นี้จึงยังคงก้ำกึ่งๆ ว่าเป็นของใครกันแน่ ยิ่งตรงไหนที่เป็นเพียงเนิน ไม่ใช่หน้าผาชัดเจน ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงแม้ว่าบางพื้นที่จะเป็นหน้าผาชัดเจน ก็ยังซิกแซกเล่นกลทางกฎหมายกันได้เลย เรื่องนั้นก็ให้ทางบ้านเมืองเขาไปว่ากันเองก็แล้วกัน
คนในภูมิภาคย่านนี้ น่าจะมีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่กันมานาน เป็นชุมชนใหญ่น้อย มาเป็นเวลาช้านานเป็นพันๆ ปีล่วงมาแล้ว
แม้ว่าจะยังไม่ได้มีการแบ่งเขตแดนเป็นรัฐใครรัฐมันอย่างในปัจจุบัน เมื่อมนุษย์ตั้งถิ่นฐาน ทำการเกษตรปักหลักอยู่กับที่ ไม่เร่ร่อนไปหาอาหารเหมือนในยุคแรกๆ ชุมชนคนสมัยดั้งเดิม คงมีอาณาเขตที่ตนเอง กลุ่มตนเองครอบครองตามพื้นที่ในการทำมาหากิน มีการไปมาหาสู่กันแล้ว
ในแถบนี้ก็โดยการผ่าน ‘ช่อง’ ต่างๆ ลองไปไล่ดูในแผนที่จะเห็นว่ามีช่องทางเดินทางหลายช่องมาก ช่องทางหลักๆ ที่เรารู้กันตอนนี้ก็มีช่องสะงำ ช่องจอม ช่องโอบก ช่องบันไดหัก ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นช่องทางการไปมาหาสู่กันมาแต่ดั้งเดิม
ครั้นขอมโบราณมีอิทธิพลเหนือพื้นที่ในแถบนี้ แต่การใช้ช่องทางเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ ราวพุทธศตวรรษที่ 18 มีสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างที่ทำจากศิลา ทั้งศิลาแลงและศิลาทรายให้เป็นทั้งที่พักคนเดินทาง เป็นทั้งสถานที่ประกอบพิธีกรรม
และสำหรับรูปเคารพต่างๆตามสมัยนิยม ไว้ตามเส้นทางการไปมาหาสู่ในย่านนี้ ที่เรียกว่า...ช่องตาเมือน ของ เทือกเขาพนมดงรัก
ไปไล่ดูในแผนที่ทางฝั่งกัมพูชาเองมีปราสาทหลายแห่ง อย่างเช่น Prasat Chan (ไม่รู้ว่าเขาออกเสียงอย่างไร เลยเอามาตามที่กูเกิลเขียนบอกไว้) ซึ่งน่าจะเป็นปราสาทขนาดใหญ่(แต่พังทลายไปมากแล้ว) ดูตามในรูปน่าจะมีกำแพงสูงคล้ายกับบันทายฉมาร์
และยังมีปราสาทเล็กๆที่พังจนแทบไม่เห็นรูปทรงอีกแห่ง ส่วนในทางฝั่งไทย ก็ปรากฏ ปราสาทตาเมือนธม ตรงปากช่องทางขึ้นมาจากกัมพูชาที่เป็น ช่องตาเมือน ห่างมาอีกราว 500 เมตร จะเป็น ปราสาทตาเมือนโต๊ด และห่างออกมาอีกราว 300 เมตร ก็จะเป็น ปราสาทตาเมือน ทางฝั่งบ้านเราจึงเรียกว่าเป็นกลุ่มปราสาทตาเมือน
กลุ่มปราสาทตาเมือนทั้ง 3 แห่งนี้ ที่ยังดูมีปัญหาเพราะอยู่ติดเขตแดนที่สุด และยังคาราคาซังในเรื่องว่าอยู่ในพื้นที่ของใครกันแน่ (แม้ว่าในพื้นที่จริง และดูในแผนที่กูเกิล จะอยู่ในเขตของไทยก็ตาม)
ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ปลงใจว่าเป็นของใครกันแน่ จึงต้องมีทหารทั้งสองฝ่ายมาดูแล แต่ก็มีแต่ ‘ปราสาทตาเมืองธม’ ที่เดียวที่มีปัญหาอย่างนั้น ส่วนอีกสองตาเมือนนั้น ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ทั้งสามปราสาท อยู่ในเขตการปกครองดูแลของ บ้านหนองคันนา ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งการเดินทางจากทางฝั่งบ้านเรานั้นสะดวกมาก ห่างจากตัว อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ราว 10 กิโลเมตร เท่านั้น
คือถ้ามาจาก อ.พนมดงรักไปทางตะวันตกตามถนนหมายเลข 224 ไม่กี่กิโลเมตร จะถึงบ้านตาเมียง จะมีทางแยกซ้ายมือ (มีป้ายบอกปากทาง) เข้าไปตามถนนหมายเลข 2407 เข้าไปจนสุดทางเลย หมู่บ้านสุดท้ายคือ บ้านหนองคันนา แล้วก็จะมีป้ายบอกว่าเข้าสู่ดินแดนอารยธรรมขอม กลุ่มปราสาทตาเมือน
อย่างที่บอกครับว่า ทางราดยางถึงที่ เดินทางสะดวกมาก มีรถสัญจรตลอดเวลา แม้พื้นที่จะดูเป็นป่า เงียบๆ แต่ไม่เปลี่ยวครับ มีชาวบ้านออกมาทำไร่ และมีคนมาทำความสะอาด ดูแลปราสาททุกวัน
‘ปราสาท’ แรกที่จะเจอคือ ปราสาทตาเมือน อยู่ทางซ้ายมือ เป็นปราสาทหลังเล็กๆ สร้างจากศิลาแลงทั้งหลัง ตั้งบนฐานศิลาแลงสูงเกือบ 2 เมตร ด้านหน้าและด้านหลังมีประตู ผนังด้านหนึ่งทึบ แต่อีกด้าน มีช่องหน้าต่าง 5 ช่อง
เข้าไปตามถนนอีกไม่ไกล ทางขวามือ จะเป็น ปราสาทตาเมือนโต๊ด ร่มรื่นท่ามกลางร่มเงาต้นก้ามปูและป่าล้อมอยู่ครึ่งค่อน ปราสาทนี้ด้านนอกจะเห็น บารายศิลา ด้านหน้าเป็นฐานศิลาแลง สูงไม่มาก มีส่วนยื่นด้านข้างของฐานคล้ายเป็นมุข อาจจะเป็นเครื่องไม้ในสมัยก่อนก็ได้
แล้วฐานศิลาต่อไปจนเป็นโคปุระชั้นนอกที่ต่อเชื่อมกับกำแพงแก้วทั้งซ้ายขวาจนล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยม สร้างจากศิลาแลงทั้งหมด
ครั้นลอดโคปุระเข้าไปจึงเห็นปราสาทประธานอยู่ตรงกลางบนฐานศิลาแลง ตัวปราสาททำจากหินทราย ด้านซ้ายเป็นบรรณาลัย ที่ไม่มีหลังคาเหลือ ทำจากศิลาแลง
ทั้งปราสาทตาเมือน และ ตาเมือนโต๊ด ผ่านการบูรณะมาแล้ว จึงดูค่อนข้ามสมบูรณ์ เพียงแต่ตัวปราสาททั้งสองแต่เดิมมาก็ไม่ได้มีการตกแต่งหรือแกะสลักหินอะไรมากมาย เราจึงเห็นแต่รูปทรงและส่วนประกอบของปราสาทเท่านั้น
ต่อไป ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเลยไปอีกไม่ไกล หรือสุดถนนลาดยาง จะเป็นลานกว้าง และเป็นฐานทหารไทย ที่เขาคงไม่อยากให้ถ่ายภาพจึงมีสิ่งของบดบัง ทั้งทำรั้วปิด รวมทั้งมีป้ายห้ามถ่ายภาพที่ตั้งทางทหารด้วย ก่อนเข้ามีป้อมยามทหาร มีทหารเฝ้า
เราไปก็ไปลงชื่อเข้าเยี่ยมชม หลังจากนั้นก็เดินไปตามถนนที่มีกองหิน ส่วนประกอบของปราสาทอยู่ข้างทาง เดินไปราว 15 เมตร ก็จะเห็นปราสาทบนเนินไม่สูงนักทางขวามือ
ตัวปราสาทตาเมือนธมนั้นหันหน้าไปทางฝั่งกัมพูชา(ทิศใต้) เดิมน่าจะสร้างบนเนิน ที่มีหินธรรมชาติอยู่แล้วบางส่วน และก่อเป็นฐานสูงขึ้นมาจนถึงพื้นที่ที่สร้างปราสาทเพราะถ้าเดินขึ้นมาจากทางกัมพูชา จะเป็นบันไดสูงเกือบ 5 เมตร
ตัวปราสาทตาเมือนธม ประกอบด้วยปราสาทประธาน (ที่หันหน้าไปทางทิศใต้) ต่อมุขยื่นยาวต่อออกมาจากห้องเรือนธาตุ(ห้องครรภคฤหะ) ออกมาด้านหน้า(ทิศใต้) ซึ่งในส่วนของเรือนธาตุนี้สร้างบนลานหินดั้งเดิม จึงมีการสกัดหิน ทำเป็นขอบฐานเรือนธาตุ
บนลานหินทั้งซ้ายและขวาของเรือนธาตุมีการแกะสลักเป็นรูปฐานโยนีบ้าง รูปช้าง รูปลวดลายต่างๆบ้าง ภายในปราสาทประธาน มีทั้งสวยัมภูลึงค์ ที่แกะสลักจากหินดั้งเดิม(ไม่ได้ยกมาตั้งเหมือนศิวลึงค์อื่นๆ) มีหินสลักรูปโคนนทิที่หัวหายไปแล้ว และฐานโยนี ด้านนอกฝั่งซ้ายของเรือนธาตุ มีท่อโสมสูตรต่อออกมาจนไปจรดกำแพงระเบียงคต
ร่องรอยและส่วนที่เหลือของนางอัปสราที่ปราสาทประธาน ของปราสาทตาเมือนธม
สองด้านของมุขที่ยื่นยาวออกมาจะเป็นอาคารบรรณาลัยด้านละหลัง ทำจากศิลาแลง เยื้องไปด้านหลังซ้าย-ขวา เป็นปรางค์สร้างจากหินทรายด้านละหลัง มีระเบียงคต ล้อมสามด้าน(เว้นด้านหน้า) แต่ในตำราบอกล้อมสี่ด้าน แต่ผมเห็นแค่นี้ มีโคปุระด้านละประตู และในตำราบอกว่ามีบารายขนาดเล็กด้วย แต่พื้นที่ไม่น่าเดินออกไปดูเลย มันสุ่มเสี่ยงเกินไป
ทั้งบริเวณปราสาทมีกองหินระเกะระกะ ส่วนยอดพังเสียหายไปทั้งหมด แม้จะสิ่งปลูกสร้างหลายหลัง แต่ดูเหมือนจะมีแค่บางส่วนของอาคารประธานเท่านั้นที่มีลวดลายตกแต่งบ้าง แต่ก็ไม่มาก นอกนั้นไม่มีเลย ติดระเบียงคตด้านขวามือ จะเป็นฐานทหารไทย มีสิ่งกีดขวางมากั้นไว้ ส่วนทหารกัมพูชานั้นต้องลงไปด้านล่างและอยู่ในป่า
ด้วยความที่ช่องตาเมือนเป็นช่องทางสัญจรไปมาแต่ครั้งโบราณ ในตำราหลายๆ เล่ม บอกว่ามีการเดินทางระหว่างเมืองพิมายไปยังเมืองพระนคร พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงโปรดให้สร้างขึ้น
โดยปราสาทตาเมือนที่เป็นหลังเล็กๆ ที่เราแวะดูก่อนนั้น สร้างเป็นธรรมศาลา หรือที่พักคนเดินทางส่วนปราสาทตาเมือนโต๊ด น่าจะเป็นอโรคยาศาล ส่วนปราสาทตาเมือนธมคงจะสร้างให้เป็นที่ประกอบพิธีกรรม ทั้งหมดน่าจะสร้างในพุทธศตวรรษที่ 18(ราวปี พ.ศ.1670-1800)
กลุ่มปราสาทตาเมือนนั้นเปิดให้ดูทุกวัน ไม่เสียค่าบริการ แต่ปราสาทตาเมือนธมจะปิดราวบ่ายสามโมงเย็นหรือถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวบางวันบ่ายสองก็ปิดแล้ว
ในการเที่ยวชมจะมีทหารทั้งทหารไทยและกัมพูชาขึ้นมาที่ปราสาทนี้ทุกวัน โดยไม่มีอาวุธเข้ามาด้วย คนทางกัมพูชาก็มาเที่ยว ทางเราก็ไปเที่ยวได้ ส่วนปราสาทตาเมือนโต๊ดและปราสาทตาเมือนที่อยู่ลึกเข้ามาด้านในในเขตเรานั้น เที่ยวดูได้ตามสะดวก ไม่มีทหารมาเดินตามด้วย
ส่วนท่านผู้อ่านที่เคยเห็นคลิปการสู้รบของทหารไทยที่ปราสาทแห่งนี้ ที่มีการเผยแพร่ในยูทูป สามารถใช้คำค้นหา สมรภูมิตาเมือนธม หรือเสิร์ชหาอ่านประวัติต่างๆได้ครับ
ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกันเพราะ อยากให้ไปเที่ยวชม ไปเที่ยวดู ไปสร้างขวัญ กำลังใจให้ทหารที่เฝ้าชายแดนด้วย ไปซึมซับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ปรากฏอยู่ในผืนแผ่นดินเรา
ทุกตารางนิ้วของประเทศไทยที่เป็นที่สาธารณะ ไม่ใช่ที่เอกชน คนไทยต้องไปเที่ยวชมได้
เชิญชวนมาเที่ยวกลุ่มปราสาทตาเมือนกันครับ.....