‘เที่ยวสิงคโปร์’ อย่างไร ไม่ให้เหมือนเดิม

‘เที่ยวสิงคโปร์’ ใกล้ๆ ไม่ต้องนั่งเครื่องบินนาน ‘ประเทศสิงคโปร์’ ไปกี่ครั้งก็มีสิ่งใหม่ๆเสมอ อย่างคราวนี้ก็ไม่เหมือนเดิม นั่งเวสป้า ชมบรรยากาศสิงคโปร์ในยามค่ำคืน ดินเนอร์ อาหาร สุดเก๋ อร่อย มีสไตล์ไม่ซ้ำใคร ช่างเป็นการเที่ยวที่ไม่เหมือนเดิมจริงๆ
เที่ยวสิงคโปร์ ครั้งนี้โชคดีที่หมอกควันจากประเทศอินโดนีเซียที่เป็นข่าว ถูกลมพัดไปทางอื่น ทำให้ทริปนี้ไม่มีทั้งฝนตกและหมอกควันพิษแสนสบายใจ ความประทับใจเริ่มต้นตั้งแต่นั่งเครื่องบิน สิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ SQ705 ขอบอกว่าอาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องบินอร่อย มาก
คล้ายๆ ขนมผักกาดทว่ามีรสชาติเผ็ดซอสพริกกลมกล่อม ไม่กี่อึดใจเครื่องบินก็ลดระดับลงจอดอย่างนิ่มนวลที่สนามบินชางงี (Singapore Changi Airport) ความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย เพราะต้องสแกนมือถือเพื่อกรอก SG Arrial Card ถ้ากรอกในเว็บไซต์ล่วงหน้าก็จะสะดวก สแกนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้เลย ไม่ต้องตอบปัญหาสุขภาพ (ฮา)
การท่องเที่ยวสิงคโปร์ หรือ Singapore Tourism Board เชิญเราไปเที่ยวครั้งนี้มีคอนเซ็ปต์ Passion Made Possible ไปสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ (Bathrobe) ถ่ายรูปที่น้ำตกอินดอร์ที่สูงที่สุดในโลก 130 ฟุต จีเวล ชางงี แอร์พอร์ต (Jewel Changi Airport) เพื่อบ่งบอกถึงความสดชื่น ง่ายๆ สบายๆ เมื่อมาเที่ยวสิงคโปร์
จากนั้นเดินทางออกจากสนามบินไปยังโรงแรม Mondrian Hotel เป็นโรงแรมเปิดใหม่ย่านไชน่าทาวน์ แวดล้อมไปด้วย แหล่งกินดื่ม เดินไปวัดเทียนฮกเก๋ง (Thian Hock Keng) หรือวัดพระเขี้ยวแก้วยังได้ใกล้นิดเดียว
อาบน้ำแต่งตัวให้ร่างกายสดชื่น แล้วออกเดินทางไปทำ Mission 2 ก็คือกิจกรรมเดินป่า หลายคนอาจจะสงสัยว่า ประเทศสิงคโปร์ มีป่าให้ Trekking ด้วยหรือ? สงสัยอยู่เหมือนกัน
ในที่สุดเราก็มาถึงอาคารสร้างใหม่ที่ชื่อว่า Capita Spring Building ชั้น 51 (ดาดฟ้า) ถูกดีไซน์ให้เป็นแหล่งเพาะปลูก เกษตรกรรม ที่มีทั้งไม้ดอก พืชผัก สมุนไพร อย่างโรสแมรี่ ใบไทม์ ผักสลัดต่างๆ มะเขือเทศ มะละกอ ฯลฯ
ทำ Landscape ดีมากเหมือนอยู่บนภูเขาเล็กๆ มีเนินคดเคี้ยวเลี้ยวลด ให้เดินวิ่งออกกำลังกายได้ด้วย ขณะเดียวกันสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของสิงคโปร์ มุมสูง ไกด์สาวนาม Josephine อธิบายว่า อาคารต่างๆในสิงคโปร์รัฐบาลให้สร้างพื้นที่สีเขียว เพื่อช่วยสร้างออกซิเจนให้กับประเทศและพลเมือง
จากนั้นเรารับประทานอาหารมื้อค่ำกันที่นั่นมีร้านอาหารชื่อ Kaarla Wood – Fire Grill อิ่มเอมกับอาหาร 3 คอร์ส ร้านนี้เปิด 2 ช่วงก็คือมื้อเที่ยง และมื้อค่ำ ผู้จัดการร้านอธิบายว่า พืชผักที่อยู่ในจานเช่นผักสลัด มะเขือเทศ ดอกไม้แต่งจานเช่นกุหลาบ เป็นผลผลิตที่ปลูกในฟาร์มบนอาคารที่เราเพิ่งไปเยี่ยมชมมาทั้งสิ้น
ราตรีนี้ยาวนานเมื่อเราไปนั่งดื่มกินกันต่อที่ Atlas Bar เป็นอีกหนึ่งสถานที่ดื่มกินสุดเก๋ ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องมาเช็คอิน บรรยากาศหรูหรา ราวกับอยู่ในพระราชวังยุโรปก็ไม่ปาน บาร์แห่งนี้ติดอันดับ Asia ‘s 50 Best Bar ถือว่าไม่ธรรมดา
เที่ยวสิงคโปร์ วันที่ 2 หลังจากที่นอนหลับพักผ่อนแสนสบายบนเตียงนุ่มๆ ของ โรงแรม Mondrian Hotel ดื่มด่ำอาหารมื้อเช้าพอรองท้องนิดหน่อย Josephine มารับไป Enjoy a Delicious Breakfast ที่สวนสัตว์ Singapore Zoo ใช่แล้วฟังไม่ผิด เราไปรับประทานอาหารเช้ากันต่อที่นั่น เธอบอกว่าสวนสัตว์ปรับปรุงใหม่ไปดูกันเถอะ
นกตัวไหนเอ่ยที่เราอยากเห็น
จุดแรกที่เราไปเยือนคือ Mandai Singapore Zoo ซึ่ง มันได เป็นชื่อของลิงอุรังอุตัง อดีตดาวเด่นของที่นี่ และได้เสียชีวิตไปแล้ว จากนั้นเราได้ไปเดินเที่ยวท่องส่องสัตว์ต่างๆ รวมทั้ง Mandai Bird Paradise มีนกมากมายกว่า 3,000 สายพันธุ์
เรียกได้ว่าวันนี้อยู่ในสวนสัตว์ตั้งแต่เช้าจนบ่ายแก่ๆ รับประทานอาหารเช้าชมอุรังอุตัง นก และงู ที่มาโชว์ตัวและให้ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด จนถึงเวลาของมื้อกลางวัน
ก่อนไปสัมผัส ‘ประเทศสิงคโปร์’ ในรูปแบบ เที่ยวสิงคโปร์ อย่างไร ไม่ให้เหมือนเดิม นั่นก็คือ การนั่ง เวสป้าท่องราตรี เป็นช่วงเวลาแสนพิเศษ เป็นที่รู้จักกันในนาม Singapore Sidecars กำลังเป็นที่นิยมของทั้งคู่รัก คู่เพื่อน ชาวสิงคโปร์เองก็รู้สึกตื่นเต้น สอบถามได้ความว่า 90 เปอร์เซ็นต์ลูกค้าเป็นคนสิงคโปร์นะจ๊ะ
ดื่มด่ำพอแล้วได้เวลา DINNER สุดประทับใจที่ Asylam Coffeehouse มองดูภายนอกเหมือนเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ตรงหัวมุมถนน กลายเป็นว่าเราได้รับประทานอาหารมื้อค่ำแบบแปลกใหม่ อาหารแต่ละคอร์สมีการเล่นเกมส์สนุกๆ และกว่าจะผ่านด่านไปรับประทานอาหารแต่ละห้องเราต้องตอบคำถาม
เข้าสู่เขาวงกตเดินทางไปเพื่ออาหารคอร์สที่ 2
ร้านนี้รับลูกค้ารอบละ 7 คนเท่านั้น ต้องจองก่อนล่วงหน้า คุณสมบัติของ ผู้ที่จะไปรับประทานอาหารร้านนี้คือ เข่าต้องพร้อม เพราะต้องปีนป่ายบันได้ชันๆ บางครั้งมุดใต้โต๊ะ ลอดผ่านช่องแคบ ตื่นเต้นสนุกสนานเร้าใจยิ่งนัก อาหาร 6 คอร์สมีธีมที่แตกต่างกัน
อาทิ ลอดผ่านไป ปีนบันไดลงมาที่ครัวของ Alice in Wonderland มุดใต้โต๊ะอาหารไปโผล่ที่ ห้องเวทย์มนต์ Harry Potter และจบสวยๆด้วยเมนูขนมหวานบนเครื่องบิน บริการโดยแอร์โฮสเตสสาว ก่อนไปพักผ่อนนอนหลับฝันดีที่โรงแรม Mondrian Hotel
อาหารเช้าแบบสตรีทฟู้ด ที่ร้าน Heap Seng Leong เปิดมา 73 ปี
วันที่ 3 ของการ ‘เที่ยวสิงคโปร์’ เช้านี้ไปทัวร์ร้านอาหารท้องถิ่น ที่ชาวสิงคโปร์รับประทานกัน ที่ร้าน Heap Seng Leong เปิดมา 73 ปี (ค.ศ.1950) เราอาสานั่งจองโต๊ะ แล้วให้ Josephine ไปเข้าแถวซื้อ ขนมปังสังขยา ไข่ลวก ชาร้อน กาแฟร้อน ลูกค้าต่อคิวแถวยาวเหยียด ได้ลิ้มรสชาติแบบคนท้องถิ่นประทับใจไม่น้อย
เริ่มจากหน้าวัดแขก เดินไปวัดเจ้าแม่กวนอิม ครั้งแรกที่ได้ขึ้นไปบนที่พักของชาวสิงคโปร์ เพื่อถ่ายรูปวัดเจ้าแม่กวนอิมมุมนี้
อิ่มท้องแล้วเดินตบเท้า Walking Tour แถวย่าน Victoria Street ไปย่าน Bugis,Waterloo และ ย่านกัม โปง กลาม (Kampong Glam ) ที่เต็มไปด้วยสีสันเป็นจุดศูนย์กลางอยู่ที่ถนน Arab Street เป็นย่านชาวมิสลิมของสิงคโปร์ ชมห้องแถวตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 มีร้านขายของ ร้านอาหาร แลนด์มาร์คสำคัญก็คือ มัสยิด Sultan Mosque
เราได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่นั่นสุดประทับใจ เพราะเป็นอาหารมาเลเซีย เป็นที่รู้กันว่า ‘ประเทศสิงคโปร์’ นั้นรวบรวมคนหลากกลายเชื้อชาติ ทั้งอินเดีย มาเลเซีย จีน
วันนี้เราได้มาลิ้มรสความอร่อย ที่ร้าน The Coconut Club มีประสบการณ์ ชิม ‘นาซีเลอมัก’ (Nasi Lemak ) หรือรู้จักกันในนาม ‘ข้าวมันมลายู’ เป็นข้าวหุงกับกะทิ ขอบอกว่า Wagyu Beef Cheek Rendang อร่อยมาก เนื้อนุ่มละลายในปาก ราคา 42 ดอลลาร์ ก็ประมาณ 1,134 บาท
สรุปมื้อนี้จ่ายไปทั้งหมด 344 ดอลลาร์ ประมาณ 9,288 บาท ไปกัน 6 คน เฉลี่ยคนละ1,548 บาท รวมเครื่องดื่มอาทิ ไวน์แดง ก็ถือว่าราคารับได้ ก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะขนาดนั้น
ก่อนกลับกรุงเทพมหานคร แวะไปทำ Workshop ที่ร้าน Ginlee Studio เป็นร้านแบรนด์เสื้อผ้า ของ สิงคโปร์ อยู่ใน Raffles City Store ชอบคอนเซ็ปต์ของร้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เขาจะมีสินค้าตัวอย่างโชว์
นี่ไง.... เที่ยวสิงคโปร์ คราวนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา







