ทายาทรุ่น 4 'น้ำอบปรุงเจ้าคุณ' สู่แบรนด์น้ำหอม 'SIAM1928'

สุคนธกร หรือ นักปรุงน้ำหอม "ณัท เวชชศาสตร์" ทายาทรุ่น 4 "น้ำอบปรุงเจ้าคุณ" ต่อยอดสู่แบรนด์น้ำหอมไทย "SIAM1928" และเพิ่งคว้ารางวัลชนะเลิศน้ำหอมอิสระจากอเมริกา
KEY
POINTS
- ณัท เวชชศาสตร์ ทายาทรุ่นที่ 4 ของ "น้ำอบปรุงเจ้าคุณ" ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2471 ได้ต่อยอดธุรกิจดั้งเดิมสู่แบรนด์น้ำหอมสมัยใหม่ในชื่อ "SIAM1928"
- แบรนด์ SIAM1928 มีเอกลักษณ์ในการนำเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ วรรณคดี และวัฒนธรรมความเชื่อของไทยมาตีความใหม่และถ่ายทอดเป็นกลิ่นน้ำหอมร่วมสมัย
- SIAM1928 ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเป็นแบรนด์น้ำหอมไทยแบรนด์แรกที่คว้ารางวัลชนะเลิศจากเวทีประกวดน้ำหอมอิสระระดับโลก The Art and Olfaction Awards
ณัท เวชชศาสตร์ ทายาทรุ่น 4 น้ำอบปรุงเจ้าคุณ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2471 (ปี ค.ศ.1928) ในนามของร้านทิพยโอสถสถาน สืบทอดศาสตร์การปรุงน้ำหอม พัฒนาต่อยอดสร้างแบรนด์ "SIAM1928" ในฐานะสุคนธกร (นักปรุงน้ำหอม) ที่ใช้ศาสตร์การปรุงน้ำหอมแบบสมัยใหม่ที่ยังคงกลิ่นอายดั้งเดิมของน้ำปรุงแบบโบราณ
ณัท เวชชศาสตร์ ทายาทรุ่น 4 น้ำอบปรุงเจ้าคุณ
และเพิ่งคว้ารางวัลชนะเลิศในสาขา Artisan ในการประกวด The Art and Olfaction Award 2025 ครั้งที่ 11 ณ ลอสแอนเจลิศ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของวงการน้ำหอมอิสระระดับโลก และเป็นน้ำหอมแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่ได้รับรางวัลนี้
(เครดิตภาพ: ไอคอนคราฟต์)
97 ปี น้ำอบปรุงเจ้าคุณ
"ต้นตระกูลเจ้าของสูตรน้ำอบปรุงเจ้าคุณ คือ คุณทวด ที่ทำงานในวัง พอท่านจะแต่งงานก็ออกจากวังแล้วมาเปิดร้านขายน้ำอบปรุงเจ้าคุณ ในนามร้านทิพยโอสถสถาน ซึ่งขายของหลายอย่าง
สมัยก่อนเรียกว่า 'น้ำอบปรุง' ยุคนั้นมีคำว่าน้ำอบกับน้ำปรุง จะแยกกัน เช่น น้ำอบนางลอย จะมีน้ำกับแป้งผสมกัน แต่ถ้าน้ำปรุงก็หมายถึงน้ำหอม
ในสมัยรัชกาลที่ 5 น้ำหอมนำเข้าเรียกว่าน้ำปรุงฝรั่ง ถ้าเป็นน้ำปรุงของไทยก็เรียกว่าน้ำปรุงไทย" ทายาทรุ่นที่ 4 เล่า
"ตอนแรกที่ผมเริ่มศึกษาเรื่องน้ำอบปรุงเจ้าคุณเพื่อมาพัฒนา ผมก็เอาน้ำอบปรุงเจ้าคุณไปให้หลาย ๆ คนดม เขาจะบอกว่านึกถึงวัด
เรื่องนี้มีที่มาแต่โบรารณว่า น้ำอบ กับ น้ำปรุง มีวิธีใช้แตกต่างกัน น้ำปรุงจะใช้พิธีมงคล เช่น งานแต่งงาน งานทำบุญ แต่สงกรานต์จะไปทางน้ำอบมากกว่า น้ำอบจะใช้ทั้งงานมงคลและงานอวมงคล เช่นงานศพ ในพิธีรดน้ำศพโดยผสมกับน้ำ ยุคนั้นน้ำอบมาก่อนแล้วถึงจะมาเป็นน้ำปรุง คุณทวดก็พัฒนาสูตรน้ำอบขึ้นเอง
น้ำอบปรุงเจ้าคุณ ทุกวันนี้วางจำหน่ายในร้านสังฆภัณฑ์มากกว่า 100 ร้านค้าทั่วประเทศไทย เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และประเพณีไทย ส่วนใหญ่น้ำอบปรุงเจ้าคุณจะใช้ในการสรงน้ำพระ และรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เพื่อข้อพรให้ชีวิตพบแต่ความสุข ความเจริญ ดังนั้นเราจึงเก็บรักษาสูตรและผลิตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานกว่า 90 ปี และขายอยู่จนถึงปัจจุบัน"
SIAM1928 ยุคขวดใส
จุดเปลี่ยนจาก "น้ำอบ" สู่ "น้ำหอม"
ณัท เวชชศาสตร์ เผยว่า ตลอดกว่า 90 ปีที่ผ่านมา น้ำอบปรุงเจ้าคุณใช้ในเชิงศาสนา และไม่ได้พัฒนากลิ่นใหม่เลย
"ในแง่ธุรกิจแล้วยากที่จะทำให้สินค้าตัวเดียวหล่อเลี้ยงทั้งบริษัทได้ แล้วเราก็ไม่ได้ขายทั่วไปในซูเปอร์หรือในเซเว่น แต่อยู่ในร้านสังฆภัณฑ์มาตลอด ราคาก็ไม่แพง พอถึงรุ่นผมได้คุยกับคุณแม่ (ทายาทรุ่น 3 กาญจนา เวชชศาสตร์) ตัดสินใจแตกแบรนด์ หลังจากซึมซับความรู้เรื่องกลิ่นจากคุณแม่ และเริ่มศึกษาเรื่องกลิ่นอย่างจริงจังเมื่อปี 2018 ฝึกด้วยตัวเอง หาข้อมูล ลองผิดลองถูก ซื้อสารมาทดลอง ในโลกมีสารวัตถุดิบเป็นพันเป็นหมื่น เราสนุกกับการพัฒนาเหมือน explore ตลอดเวลา"
สุคนธกร ณัท เวชชศาสตร์
"น้ำหอมเป็นสิ่งที่หยุดพัฒนาไม่ได้ ทุกครั้งที่ผสมกลิ่นเปลี่ยนอัตราส่วนนิดหน่อยกลิ่นก็จะเปลี่ยน ตอนที่เราทดลองจะเกิดสารตัวใหม่ กลิ่นใหม่ ๆ จนเปิดแบรนด์ปี 2019 ช่วงโควิดพอดี ตอนแรกน้ำหอมอยู่ในขวดแก้วใส ขาย 890 บาท ปริมาตร 30 มล."
แบรนด์ SIAM1928 ตั้งชื่อ "สยาม" ตามความตั้งใจของทายาทรุ่น 4 ตามด้วยปีก่อตั้งของน้ำอบปรุงเจ้าคุณ เพื่อสะท้อนถึงวิถีชีวิตแบบไทยในยุคแห่งความรุ่งเรือง ด้านศิลปะ วรรณกรรม ตำนาน และจินตนาการ
"เรานำแรงบันดาลใจจาก ประวัติศาสตร์ ตำนาน วรรณคดี ความเชื่อ และวิถีชีวิตแบบไทย มาตีความใหม่ในบริบทร่วมสมัย แล้วถ่ายทอดออกมาเป็น 'กลิ่น'
กลิ่นที่คนไทยรู้สึก คุ้นเคย เพราะมันปลุกความทรงจำ แต่ในขณะเดียวกัน กลิ่นเดียวกันนี้สำหรับชาวต่างชาติ คือประสบการณ์ใหม่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เพราะกลิ่นไม่เคยจำกัดความหมายไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่ง มันคือประสบการณ์ร่วม ที่เปิดโอกาสให้ผู้ดมแต่ละคน ได้ตีความ สร้างเรื่องราวของตัวเอง และต่อยอดมันออกไป"
รุ่น "อักขระ" เล่าเรื่องการสักในวัฒนธรรมไทย
น้ำหอมอินดี้ นิช และคราฟต์ เพื่อสะท้อนวัฒนธรรมไทย
คนสร้างแบรนด์น้ำหอมไทยบอกว่า แบ่งไลน์การผลิตน้ำหอมออกเป็น 3 คอลเลคชั่น
"ชิ้นแรกเป็นงานโชว์คอนเซปต์แบบ 100% อีกสองชิ้นเน้นงานขาย อัตราส่วน 2 ต่อ 1 เน้นขายแหละ แต่จุดเด่นคืออยากให้ต่างประเทศได้ explore กลิ่นของความเป็นไทยในแบบ deep culture ของไทย เช่น เล่าเรื่องพญานาค 4 ตระกูล มีน้ำหอมกลิ่นพญานาค ซึ่งเล่าเรื่องที่มา ถิ่นที่อยู่ของพญานาค เช่น พญานาครุ้งกลิ่นหลังฝน พญานาคทองที่เป็นท้าววิรูปักษ์ เล่าเรื่องตามวรรณคดีและประเพณีความเชื่อของไทย
ตอนนี้มีราว 27 กลิ่น เราทำทุกกระบวนการผลิต มีคอลเลคชั่นที่สร้างกลิ่นเอง กับคอลเลคชั่นที่คอลลาบอเรทกับแบรนด์อื่น ซึ่งทุกแบรนด์มี storytelling ที่เล่าเรื่องตำนานวัฒนธรรมประเพณีไทย"
"ท้าววิรูปักษ์" รุ่นที่คอลแลบกับแบรนด์อื่น
ล่าสุด ณัท เปิดคอลเลคชั่นใหม่ จตุมหาราชิกา ลิมิเต็ด โดยคอลแลบกับนักปรุงน้ำหอมแถวหน้าของเมืองไทย 4 แบรนด์ ได้แก่ Odyssey Skonx Perfumery Tada Perfumer และ Stranger Parfumerie ที่โด่งดังในกลุ่ม Luxury Niche มาร่วมถ่ายทอดกลิ่นในแบบของตัวเอง คือ
- กลิ่นจตุมหาราชิกาทิศใต้ “ท้าววิรูฬหก” โดย อนันต์สิทธิ์ วงศ์กรวณิชย์ จากแบรนด์ Odyssey
- กลิ่นจตุมหาราชิกาทิศตะวันออก “ท้าวธตรฐ” โดย ศรุจ ตั้งธราธร ผู้ก่อตั้ง Skonx Perfumery
- กลิ่นจตุมหาราชิกาทิศตะวันตก “ท้าววิรูปักษ์” โดย ธาดา อาชาวงศ์ จากแบรนด์ Tada Parfumeur
- กลิ่นจตุมหาราชิกา ทิศเหนือ “ท้าวกุเวรหรือ ท้าวเวสสุวรรณ” โดย ปฤณ ลมรส จากแบรนด์ Stranger Parfumerie, PRINN, Parfum Prissana
รุ่นนี้มีกลิ่นมะพร้าว กล้วย กะทิ
"ความพิเศษของคอลเลคชั่นนี้ อยู่ที่การจับคู่เทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่ทิศจากชั้นจาตุมหาราชิกาเข้ากับนักปรุงแต่ละคน โดยใช้คาแรกเตอร์ของเทพเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของกลิ่นที่ลึกซึ้งและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นรุ่นลิมิเต็ดเพราะวัตถุดิบที่เลือกใช้เป็นวัตถุดิบหายาก มีจำนวนจำกัด และมีราคาสูง การผลิตจึงตั้งใจให้จำกัดจำนวน เพื่อรักษาคุณค่า ความเฉพาะตัว และความประณีตในทุกขั้นตอนของการสร้างสรรค์"
น้ำหอมไทยในขวดพอร์ซเลน
"หลังจากวางจำหน่ายน้ำหอมไป 3-4 เดือน ในขวดแก้วใส ผมก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ตลาดที่เราต้องการ เลยรีแบรนดิ้งเป็นขวดพอร์ซเลน สร้างให้เกิดความประทับใจว่า Made in Thailand ทุกวันนี้น้ำหอมในตลาดโลกมีทั้งอยู่ในขวดใสและขวดสีทึบ
อีกอย่างไทยไม่มีโรงงานผลิตขวดแก้วสำหรับน้ำหอม สมัยคุณทวดขวดยุคนั้นสั่งจากทหารเรือที่มีโรงงานผลิตขวดแก้วแต่ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว ต้องสั่งมาจากอินเดีย"
น้ำหอมในขวดพอร์ซเลนมีน้ำหนักเบา เนื้อบางละเอียด กระบวนการผลิตยากกว่าการผลิตเซรามิกทั่วไป ที่สำคัญผลิตในเมืองไทย บางคนสงสัยว่าขวดไม่ใสก็ไม่มองไม่เห็นว่าน้ำหอมยังเหลืออยู่แค่ไหน คนขายน้ำหอมบอกว่าก็แค่ยกขวดขึ้นแล้วส่องไฟดูในที่มืด หรือส่องผ่านแสงแดด
Kakee การตีความของหญิงสาว “กากี”
"ขอเล่าย้อนตอนขายน้ำหอมยุคแรก ก่อนจะมีขวดพอร์ซเลน หรือ Bone China มีชาวมาเลย์ที่เป็นรีวิวเวอร์มาเจอน้ำหอมของเรา เขาก็แนะนำเราให้กับรีวิวเวอร์ชาวไต้หวันคนหนึ่ง จากนั้นนักธุรกิจชาวไต้หวันก็มาซื้อน้ำหอม แล้วพอเราทำขวดพอร์ซเลนเขาก็สั่งมากขึ้น
พอเจอโควิดมาทุกอย่างก็หยุด ความจริงส่งน้ำหอมก็ยากเพราะมีแอลกอฮอล์ที่ติดไฟได้ ต้องมีวิธีส่งอีกประเภทหนึ่ง แต่มาไตรมาสเกือบสุดท้ายของปี 2019 น้ำหอมกลับเริ่มเติบโตเพราะช่วงนั้นคนไม่มีอะไรจะทำ อยากเปลี่ยนบรรยากาศก็ซื้อน้ำหอม ผมก็เลยเปิดอีกแบรนด์หนึ่งชื่อ Voyager เป็นขวดแก้วใสสี่เหลี่ยม
Karawik จำลองกลิ่นของมะม่วง
ตอนนี้ขวดน้ำหอมของ SIAM1928 ส่วนใหญ่ผลิตจากพอร์ซเลน ซึ่งไม่เพียงเป็นภาชนะบรรจุน้ำหอม แต่ยังเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย ที่สะท้อนความพิถีพิถันและช่วยปกป้องกลิ่นหอมจากแสงแดดและอุณหภูมิ แต่ละขวดแต่ละกลิ่นออกแบบโดยตีความใหม่ในรูปแบบร่วมสมัย โดยเลือกใช้ชุดสีที่อ้างอิงจากแพนโทนของ “ไทยโทน” ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์และความงดงามในแบบไทย
ลวดลายเหล่านี้จะถ่ายทอดลงบนขวดด้วยระบบดีแคล (Decal Transfer) ซึ่งมีความคงทน ไม่ซีดจางหรือหลุดลอกเหมือนงานพิมพ์บนขวดแก้วทั่วไป
โลโก้ของแบรนด์ที่ประทับบนขวดน้ำหอม ผลิตจากทองคำแท้ 18 กะรัต (18K Gold) ซึ่งให้ความแวววาวงดงาม และเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง สง่างาม"
เมฆา อารัญ ชนะเลิศรางวัลน้ำหอมอิสระ
เมฆา อารัญ คว้ารางวัลน้ำหอมอิสระ
"Mekha Aranya (เมฆา อารัญ) มีความหมายว่า 'ป่าแห่งเมฆ' เล่าถึง 'ตัวมอม' เป็นผู้เฝ้าประตูวัด เป็นสัตว์เทพในตำนานล้านนาที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะจีน ตัวมอมเป็นสัญลักษณ์ของการชดใช้กรรมและการเดินทางกลับสู่สรวงสวรรค์ จึงเลือกดอกหอมหมื่นลี้ ดอกไม้หอมจากภูเขาที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมไทย-จีน มาเป็นโน้ตหลักของกลิ่น เสริมองค์ประกอบด้วยกลิ่น Aldehyde เป็นกลิ่นเปิดที่ให้ความรู้สึกฟุ้งเบาราวกับเมฆยามเช้า ปิดท้ายด้วยฐานกลิ่นของ leather, sandalwood, musk เพื่อสะท้อนพลังลึกลับของตัวมอม"
ได้รับรางวัล The Winner ในสาขา Artisan จากงานประกวด The Art and Olfaction Awards 2025 ณ ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นรางวัลสูงสุดของวงการน้ำหอมอิสระระดับโลก และยังเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่คว้ารางวัลนี้ได้สำเร็จ
"จุดเด่นที่น่าสนใจของ Mekha Aranya คือ แม้เป็นน้ำหอมแนว Soliflore (กลิ่นดอกไม้) ของ Osmanthus แต่ในเชิงเนื้อกลิ่นนั้น Mekha Aranya จัดเป็นน้ำหอมที่มีความ Unisex อยู่ตรงกลางพอดี เพราะความเป็นผลไม้อ่อน ๆ ที่หลอมรวมกับกลิ่นเครื่องหนัง ซึ่งซ่อนอยู่ในกลิ่นที่แท้จริงของดอกหอมหมื่นลี้นั้น มีความชัดเจนทั้งสองทาง ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีโอกาสได้ดมจะรู้สึกว่ามันไปในทิศทางไหนมากกว่ากันเลย"
รุ่น Voyager ในขวดใสทรงเหลี่ยม
น้ำหอมกลิ่นอื่น ๆ ที่มี storytelling สะท้อนวัฒนธรรมไทย มีอาทิ Naga Collection (คอลเลคชั่นนาค) แรงบันดาลใจจากพญานาคทั้ง 4 ตระกูล ถ่ายทอดพลังและบุคลิกเฉพาะของแต่ละตระกูลผ่านกลิ่นหอมที่ทรงพลังและลุ่มลึก
รุ่นปักษา - สัมพาที
Paksa Collection (คอลเลคชั่นปักษา) เล่าถึงกลิ่นของนกจากวรรณคดีไทยและจินตภาพของสรวงสวรรค์ เช่น กลิ่นของวิมานฉิมพลี ผสานความงดงามของธรรมชาติและจินตนาการเข้าไว้ด้วยกัน
Thai Spirits Collection การร่วมมือกับแบรนด์สุราชุมชนไทย นำเอกลักษณ์ของกลิ่นสุราพื้นถิ่นจากแต่ละชุมชนมาสร้างสรรค์เป็นน้ำหอมร่วมสมัย
"สำหรับราคาน้ำหอมในขวดพอร์ซเลน แรกเปิด ราคา 2,700-2,800 บาท ขนาด 60 มล. ปี 2026 เราปรับราคาน้ำหอมบางรุ่นเป็น 4,900 – 5,500 บาท"
รุ่นนี้เล่าเรื่อง “ผีไทย”
น้ำหอมอาร์ติซาน-นิช แบรนด์ไทยจะไปถึงไหน
"จากรางวัลที่ได้มาทำให้ผมมั่นใจขึ้นว่า น้ำหอมในกลุ่มที่เป็นอาร์ติซาน (Artisan) และนิช (Niche) มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในตลาดโลก รายงานจาก Market Report World ให้ข้อมูลว่า ตลาดน้ำหอมประเภท Artisan และ Niche มีมูลค่าราว 2.74 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 และคาดว่าจะขยายตัวถึง 5.73 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2577 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8.5% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงกว่าตลาดน้ำหอมโดยรวมที่เติบโตเฉลี่ยราว 5–6% โดยตลาดนี้มีอัตราการเติบโตสูงในกลุ่มประเทศเอเชีย ยุโรป ยุโรปตะวันออก และสหรัฐอเมริกา
น้ำหอมในกลุ่มที่เป็นลักชัวรี่-นิช รวมถึงแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ชัดเจน มีความเป็นงานคราฟต์สูง และใช้วัตถุดิบพรีเมียม คาดว่ามีมูลค่าถึง 4.28 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 และคาดว่าจะเติบโตสู่ 11.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2576 อัตราการเติบโต 13.2% ต่อปี"
รุ่นนี้มีกลิ่นเบียร์
ณัท เวชชศาสตร์ ให้ข้อมูลว่า
"ปัจจุบันผู้นำตลาดในกลุ่มลักซ์ชัวรี่-นิช ที่เป็นแบรนด์หลักประกอบด้วย Le Labo, Diptyque, Byredo, Creed และ Maison Francis Kurkdjian ถือเป็นผู้ครองส่วนแบ่งสำคัญ โดย Le Labo มีสัดส่วนราว 12.8% และ Diptyque อยู่ที่ประมาณ 11.3%
คอลเลคชั่นฮัลโลวีน
ผมว่าตลาดน้ำหอมนิช ยังคงเปิดกว้างสำหรับแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจน มีวัฒนธรรมเฉพาะตัว และสามารถเล่าเรื่องได้ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นจุดที่ SIAM1928 มองว่าแบรนด์จากเอเชียและประเทศไทยมีศักยภาพมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์ที่มีความหมายมากกว่าสินค้าทั่วไป
โดยเฉพาะการเปิดตัวคอลเลคชั่นนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขับเคลื่อนธุรกิจของ SIAM1928 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 70% เมื่อเทียบกับปี 2567
กลิ่นแนวสดชื่น
ผมเริ่มต้นธุรกิจในปี 2562 ด้วยยอดขายที่ 1 ล้านบาท คาดว่าในปี 2568 ยอดขายจะแตะที่ 20 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 50-70% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการขยายตลาดต่างประเทศ การเปิดตัวกลิ่นใหม่ และการได้รับรางวัลระดับนานาชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และความเชื่อมั่นในระดับสากล โดยรายได้ 85% มาจากการขายในต่างประเทศ และ 15% มาจากการขายภายในประเทศ
ที่สำคัญเรามองว่าแนวโน้มในตลาดเอเชีย และยุโรปตะวันออกยังมีโอกาสอีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มองหาน้ำหอมที่มีวัฒนธรรมลึกซึ้งและไม่ซ้ำใคร ในแบบของ Artisan และ Niche ตลาดในต่างประเทศมีความพร้อมมากกว่าสำหรับน้ำหอมในกลุ่มนี้ ทั้งในแง่ของความเข้าใจ ความเปิดกว้าง และกำลังซื้อ ผู้บริโภคในยุโรป สหรัฐฯ หรือญี่ปุ่น มีประสบการณ์กับ Niche Fragrance มานาน จึงสามารถเข้าถึงและให้คุณค่าในรายละเอียดของกลิ่น รวมถึงที่มาทางวัฒนธรรมได้ชัดเจน ในขณะที่ตลาดไทยยังถือว่าเป็นตลาดที่เพิ่งเริ่มต้นสำหรับน้ำหอมแนวนี้ ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังคุ้นชินกับแบรนด์แมส กลิ่นที่ใช้บ่อยในเชิงแฟชั่น หรือกลิ่นที่เน้นความหวานและความคุ้นเคย ซึ่งเราต้องให้ความรู้ความเข้าใจ เพื่อที่จะขยายตลาดในประเทศไทยต่อไป”
ร้านมัลติแบรนด์น้ำหอมที่ Rebellion lab บรรทัดทอง
ปัจจุบัน SIAM1928 มีตัวแทนจำหน่ายทั้งรูปแบบออนไลน์และหน้าร้านรวม 22 แห่ง ใน 9 ประเทศทั่วโลก ประกอบด้วย ไทย 5 แห่ง ได้แก่ Rebellion lab and perfume bar /Skonx สาขา เกสร/ Skonx สาขา ทรงวาด/ Thai perfume runway @MBK/ ICONCRAFT @ICON SIAM, จีน 4 แห่ง, ไต้หวัน 1 แห่ง, ญี่ปุ่นผ่านออนไลน์, อเมริกา 7 แห่ง รวมถึงฝรั่งเศส, อาบูดามี, ลิเบีย และฮังการี







