ถึงเวลาผ่าทางตัน 'ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ' รื้อถอนกำแพงอคติลดการเลือกปฏิบัติ

ถึงเวลาผ่าทางตัน 'ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ' รื้อถอนกำแพงอคติลดการเลือกปฏิบัติ

ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นบ่อเกิดสำคัญของความเหลื่อมล้ำ ที่ฝังรากลึกอยู่ในทุกอณูของสังคมไทยมายาวนาน ถึงเวลาผ่าทางตัน 'ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ' รื้อถอนกำแพงอคติลดการเลือกปฏิบัติ

แม้โลกเดินหน้ามาไกลถึงยุคเอไอ แต่ก็ไม่อาจสร้างสังคมแห่ง "ความเท่าเทียม" อย่างที่เราทุกคนใฝ่ฝันได้ เพราะวันนี้สิ่งที่เรายังสัมผัสได้คือทัศนคติและค่านิยมที่ถูกฝังรากความคิดและความเชื่อที่ว่า “ความแตกต่าง” คือปัญหา และถูกแปลความหมายไปว่า "แปลกแยก" จนนำไปสู่ "อคติ การตีตรา และการเลือกปฏิบัติ"

ถึงเวลาผ่าทางตัน 'ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ' รื้อถอนกำแพงอคติลดการเลือกปฏิบัติ

ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นบ่อเกิดสำคัญของ ความเหลื่อมล้ำ ที่ฝังรากลึกอยู่ในทุกอณูของสังคมไทยมายาวนาน แม้มีความพยายามลดช่องว่างทางสังคมที่เกิดจากความแตกต่างนี้ ถึงขนาดมีการระบุในตัวบทกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและลดความเหลื่อมล้ำ โดยรับรองหลักการความเสมอภาคไว้ในมาตรา 27 หากแต่ปัญหาการเลือกปฏิบัติก็ยังคงไม่หายไปสังคมไทย

ดังนั้น เพื่อรื้อถอนกำแพงอคติ ลดการเลือกปฏิบัติ สร้างสังคมมีสุขภาวะ  จึงนำมาสู่ความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญจากหลายภาคส่วนที่กำลังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปโครงสร้างสังคมเพื่อความเท่าเทียม "แท้จริง"

นั่นคือ การเดินหน้ากับ (ร่าง) พระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. ...” ซึ่งร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงถูกมองว่าเป็น "กฎหมายกลาง" ที่จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่กฎหมายอื่นยังไปไม่ถึง 

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และ เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) ได้ผนึกกำลังจัดเวทีสาธารณะในหัวข้อ "เห็นคุณค่าทุกชีวิต เดินหน้ากับ (ร่าง) พระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. ..." หวังเป็นเวทีกลางที่สร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการเร่งผลักดันกฎหมายนี้ให้เป็นเครื่องมือ หรือ “มาตรฐานใหม่” เพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม

มาตรฐานใหม่ของสังคม ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เวทีเริ่มต้นด้วยปาฐกถาพิเศษ "สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" โดย ศ.กิตติคุณ วิทิต มันตาภรณ์ ที่ชี้ให้เห็นว่ากฎหมายไทยยังใช้คำศัพท์ที่ล้าสมัยและไม่ตรงกับหลักสากล โดยเฉพาะคำว่า "เลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม" และ "ไม่เป็นธรรม" ซึ่งในทางสากลไม่มีแนวคิดนี้ มีแต่ "ห้ามเลือกปฏิบัติ" ส่วนการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเรียกว่า "มาตรการคุ้มครอง" หรือ "มาตรการชั่วคราว"

อย่างไรก็ดี ศ.กิตติคุณได้ทิ้งท้ายว่ากฎหมายเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่หัวใจสำคัญคือการศึกษาและจิตสำนึกของคนในสังคม

"จะมีหรือไม่มีกฎหมาย แต่จริงแล้วก็อยู่ที่จิตสำนึกของเรา เกี่ยวกับการศึกษาสร้างความเข้าใจ ฐานความรู้ ทักษะและความประพฤติ ขึ้นอยู่กับการสร้างความเอื้อเฟื้อของความเป็นมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน"

ด้าน พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เอ่ยในเวทีเดียวกันว่า สืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนประกอบกับรัฐบาลมีเจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศและคำนึงถึงหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิ์และเสรีภาพ จึงได้เล็งเห็นความสำคัญในด้านดังกล่าว โดยเสนอร่างพระราชบัญญัติขจัดการเพื่อปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. … เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาผลักดันเป็นกฎหมายขับเคลื่อนสังคมที่เท่าเทียม และขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ซึ่งขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างกระบวนการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ถึงเวลาผ่าทางตัน 'ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ' รื้อถอนกำแพงอคติลดการเลือกปฏิบัติ

"รัฐบาลมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศ และคำนึงถึงหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อผลักดันเป็นกฎหมายขับเคลื่อนสังคมที่เท่าเทียม"

พร้อมเอ่ยว่าการจัดเวทีสาธารณะครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วน จะได้ร่วมกันสื่อสารขับเคลื่อนการขจัดการเลือกปฏิบัติ ลดการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเป็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

แตกต่าง = หลากหลาย

เพื่อทำความเข้าใจมิติเกี่ยวกับอคติในสังคมไทยที่ในมุมกว้างขึ้น นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ได้เผยผลสำรวจที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง จากผลวิจัยของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิสถาบันศึกษาเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ที่ได้ชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของอคติและการเลือกปฏิบัติในสังคมไทยอย่างเห็นภาพว่าคนชายขอบของสังคมไม่น้อย ที่กำลังเผชิญกับอคติจากคนส่วนใหญ่ของสังคม

ถึงเวลาผ่าทางตัน 'ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ' รื้อถอนกำแพงอคติลดการเลือกปฏิบัติ  

โดยกลุ่มที่เผชิญกับอคติมากที่สุดคือกลุ่มไร้บ้าน ที่ทั้งการถูกเหมารวมในเชิงลบ การถูกมองด้วยความไม่ไว้วางใจ และกลุ่ม LGBTQIAN+ พบว่า 39.1% ของกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติสูงกว่าประชาชนทั่วไป และถูกตีตราอัตราทางเพศสูงกว่าประชากรทั่วไป 15.7 เท่า ขณะที่คนพิการถูกมองผ่านเลนส์ความสงสาร ซึ่งเป็นการลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียม เช่นเดียวกับคนข้ามชาติที่ถูกมองเป็นเพียงแรงงาน มากกว่าที่จะเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน

ถึงเวลาผ่าทางตัน 'ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ' รื้อถอนกำแพงอคติลดการเลือกปฏิบัติ

"แม้ในภาพรวมไทยมีกฎหมายคุ้มครองการเลือกปฏิบัติอยู่หลายฉบับ แต่ยังพบว่ามีช่องว่างหลายประการ ที่ทำให้มีโอกาสถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างด้านฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม อาชีพ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศสภาพ อายุ ศาสนา และความพิการ นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในสังคม ส่งผลให้เข้าไม่ถึงบริการจำเป็น ทั้งบริการด้านสุขภาพและบริการทางสังคม"

นพ.พงศ์เทพ เน้นย้ำว่า การเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คือส่วนหนึ่งของคำว่า สุขภาวะ และสิทธิมนุษยชนไม่ใช่สิทธิพิเศษของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคน 

"หลักการสำคัญคือการ งดเลือกปฏิบัติเพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาวะ บนผืนแผ่นดินไทย การมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องคำนึงถึงความแตกต่าง"

เลือกปฏิบัติเป็น "ปัญหาโครงสร้าง"

แท้จริงแล้วการเลือกปฏิบัติเป็น "ปัญหาโครงสร้าง" ไม่ใช่ปัญหาของคนบางกลุ่มอย่างที่หลายคนเข้าใจ 

นอกจากนี้ การเลือกปฏิบัติไม่ได้ถูกกระทำในแค่กลุ่มคนบางกลุ่ม หากแต่เราทุกคนล้วนเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเลือกปฏิบัติไม่มากก็น้อย ที่สำคัญเราทุกคนก็อาจกระทำการเลือกปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

ข้อเท็จจริงนี้จึงสะท้อนให้เห็น "ความจำเป็น" ที่สังคมไทยต้องมี "กฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติ" เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดสังคมที่ทุกคนได้รับศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และโอกาสที่เท่าเทียม ซึ่งไม่เพียงเพื่อการคุ้มครอง หากยังมีแนวทางในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบที่เป็นรูปธรรมอีกด้วย

ผู้จัดการ สสส. กล่าวต่อว่า การขจัดการเลือกปฏิบัติต้องเริ่มที่ "ทัศนคติ" และความเข้าใจ การมีกฎหมายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่ง แต่ถ้าสังคมเข้าใจและเปลี่ยนค่านิยม การผลักดันกฎหมายผ่านฝ่ายการเมืองก็จะง่ายขึ้น ทั้งยังเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามา "ศึกษาเนื้อหากฎหมาย" ก่อน ว่ามีความเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือความเข้าใจในสิทธิเสรีภาพ

ด้าน ธีรยุทธ แก้วสิงห์ รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ อธิบายเพิ่มเติมว่า กฎหมายนี้จะเป็นกฎหมายการที่สร้างมาตรฐานขั้นพื้นฐาน ในการคุ้มครองบุคคลทุกมิติ ที่กฎหมายก่อนหน้ายังอาจจะไปไม่ถึง รวมไปถึงเรื่องของการสร้างระบบการเยียวยาอย่างเป็นดีให้เกิดขึ้น

ความท้าทายหลักคือเรื่องการบังคับใช้และการสร้างการตระหนักรู้ ซึ่งควร มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเชิงป้องกันมากกว่าการเอาผิด เพื่อลดการต่อต้าน เราคาดหวังว่ากฎหมายจะเป็นเครื่องมือแห่งความหวัง ของคนหลายๆ กลุ่มที่ถูกมองข้าม

โดยกระทรวงมีความคาดหวังว่าร่างกฎหมายนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ดีเห็นด้วยว่าการขับเคลื่อนไม่ควรหยุดแค่การเสนอกฎหมายเข้าสภา แต่ต้องสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดกระบวนการ

พร้อมกล่าวว่าความสำเร็จในการผลักดันกฎหมายนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาครัฐฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัย "กระแสพลังทางสังคม" หากสังคมหยิบยกปัญหาที่ถูกซ่อนไว้อยู่ใต้พรมขึ้นมาพูดถึงและชี้ให้เห็นว่าขาดกลไกดูแล จะช่วยกระตุ้นให้สภาฯ และฝ่ายการเมืองเห็นความสำคัญเป็นประเด็นเร่งด่วน

"กฎหมาย" ไม่เลือกปฏิบัติ ที่ยังไปไม่ถึงภาคปฏิบัติ

มุมมองจากภาคประชาชนอย่าง นิภากรณ์ นันตา ตัวแทนเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ หรือ MovED ได้กล่าวว่า การรวมตัวกันของภาคประชาชน ไม่ใช่เพียงเพราะบทบาทหน้าที่ แต่เป็นเพราะ "ความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกตัดสินเพียงเพราะเราแตกต่าง ความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกเลือกปฏิบัติจะจำกัดโอกาส ในสังคมที่ทุกคนเราควรเท่าเทียม

ปัจจุบันMovED ได้เชื่อมเครือข่ายระดับหน่วยงาน บุคคล ภาคประชาสังคม ผู้ได้รับผลกระทบ ในประเด็นต่างๆ 16 กลุ่มประเด็น และองค์กรด้านการวิจัย วิชาการ องค์กรภาครัฐ 103 หน่วยงาน เพื่อร่วมผลักดัน “กฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติ” ซึ่งที่ผ่านมาภาคประชาชนได้มีการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฯ ที่ผ่านการเข้าชื่อจากประชาชน 11,790 รายชื่อ มาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน มีร่างกฎหมาย 5 ฉบับที่มีสาระสำคัญในการห้ามเลือกปฏิบัติยังคงค้างอยู่ในระบบ ได้แก่ 1.ฉบับภาคประชาชน 2.ฉบับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม 3.ฉบับพรรคเป็นธรรม 4.ฉบับพรรคประชาชาติ 5.ฉบับพรรคเพื่อไทย

เธอยังสะท้อนปัญหาหน้างานและความจำเป็นของการมีกฎหมายเพื่อการเยียวยา โดยการยกตัวอย่างความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นจริงกับกลุ่มต่างๆ เช่น คนพิการ ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ที่ถูกกีดกันเรื่องงาน กลุ่ม LGBTQ+ ที่ถูกเลือกปฏิบัติทางเพศ และคนไร้บ้าน ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ความแตกต่าง" ที่ไม่ได้รับบริการหรือการปฏิบัติที่เท่าเทียมกับคนอื่น

สำหรับการมีเวทีสาธารณะครั้งนี้ นิภากรณ์มองว่า นับเป็นก้าวสำคัญที่จะเดินหน้าต่อกับ ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฯ ผ่านการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคประชาสังคม และฝ่ายการเมือง การขับเคลื่อนร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เกิดกลไกทางกฎหมายที่เข้มแข็งในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนทุกคน เพื่อขับเคลื่อนให้ไทยไปสู่สังคมที่เคารพความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง

"มองว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเป็น "ตัวกลาง" ในการแก้ปัญหาและเยียวยาผู้ถูกเลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้คนไทยทุกคนเท่าเทียมกันบนผืนแผ่นดินไทย อยากขอให้ทุกคนเข้ามาเรียนรู้และร่วมเป็นเครือข่ายขจัดการเลือกปฏิบัติ เพราะกฎหมายนี้เป็นเรื่องของคนไทยทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่ม

ถึงเวลาผ่าทางตัน 'ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ' รื้อถอนกำแพงอคติลดการเลือกปฏิบัติ