'วิมานหนาม' การต่อยอด ‘ภาพยนตร์’ สู่ ‘นวนิยาย’ ที่ปอกเปลือกความสงสัยได้หมดจด

การสร้างสรรค์ 'นวนิยาย' จากภาพยนตร์เรื่องดัง 'วิมานหนาม' ที่มีความเข้มข้นหลากหลาย เป็นการขยายช่องทางเติมเต็มความบันเทิงด้วยสื่ออีกรูปแบบหนึ่ง
KEY
POINTS
- นวนิยาย 'วิมานหนาม' ต่อยอดจากภาพยนตร์เพื่อขยายความและอธิบายรายละเอียดความรู้สึกของตัวละครที่ไม่สามารถนำเสนอได้ทั้งหมดในหนัง
- เนื้อหาในนิยายเพิ่มมิติและเรื่องราวเบื้องหลังของตัวละครให้ลึกซึ้งขึ้น เช่น ความสัมพันธ์ของโหม๋และจิ่งนะ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความผูกพันได้ดียิ่งขึ้น
- ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องสลับมุมมองระหว่างตัวละครหลัก (ทองคำและโหม๋) เพื่อถ่ายทอดแก่นของเรื่องราวและชดเชยสิ่งที่ภาพยนตร์ไม่สามารถแสดงได้ เช่น ความคิดในใจ
นวนิยายไทยเรื่อง วิมานหนาม มีที่มาจากภาพยนตร์ชื่อดังของค่าย GDH ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่โด่งดังอย่างมาก ในงาน มหกรรมหนังสือแห่งชาติ ที่ผ่านมา ด้วยเรื่องราวที่เข้มข้นและดุเดือดของนวนิยายเล่มนี้
โดยก่อนหน้านั้น ภาพยนตร์เรื่อง วิมานหนาม ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำรายได้ในประเทศทะลุ 100 ล้านบาท และคว้ารางวัลสุพรรณหงส์ครั้งที่ 33 มาได้ถึง 5 รางวัล
แต่เบื้องหลังการทำงานนั้นไม่ง่ายเลย
การะเกด นรเศรษฐาภรณ์ ทีมเขียนบทภาพยนตร์ เรื่อง วิมานหนาม บอกเล่าถึงที่มาของการต่อยอดมาเป็นหนังสือหรือนวนิยายว่า เกิดขึ้นจากคุณจี (จาก GDH) ที่รู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถต่อยอดเป็นหนังสือได้
"เนื่องจากมีรายละเอียดและความรู้สึกของตัวละครหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาทั้งหมดในภาพยนตร์
ซึ่งเมื่อนำมาทำเป็นหนังสือก็จะสามารถอธิบายและไล่เรียงความรู้สึกทั้งหมดของตัวละครได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งผู้ที่ได้รับการทาบทามให้เป็นผู้เขียนเป็นชื่อแรกคือคุณ ลาดิด
ขั้นตอนการทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและเข้มข้น เพราะคุณลาดิดใช้โปรแกรม Excel วางโครงเรื่อง และมีการตรวจทานงานแบบบทต่อบท (เขียน 1 บท ตรวจ 1 บท) เพื่อให้มั่นใจว่าเข้าใจตรงกันและลดการแก้ไขย้อนหลัง
ในด้านการขยายความตัวละคร ได้มีการนำแบคกราวด์ที่เคยคิดไว้ในตอนเขียนบทภาพยนตร์มาให้คุณลาดิดเลือกใช้ และเน้นย้ำว่า การเพิ่มรายละเอียดเหล่านี้จะต้องไม่ทำให้ความรู้สึกเดิมของเรื่องหายไป
ซึ่งคุณลาดิดทำได้ดี เพิ่มรายละเอียดเบื้องหลังความสัมพันธ์ของโหม๋และจิ่งนะ (น้องชายของทองคำ) เข้าไปอย่างลึกซึ้ง ทำให้ผู้อ่านเข้าใจความรักและความผูกพันของสองพี่น้องคู่นี้มากขึ้น
ในส่วนของภาพยนตร์ เลือกให้จบแบบสูญเสียตัวละคร เพื่อให้คนได้จดจำ ความเจ็บปวดและการต่อสู้ของทุกตัวละคร ที่อยู่ในเรื่อง
Cr. Kanok Shokjaratkul
ภาพยนตร์เรื่อง วิมานหนาม ถูกเขียนขึ้นในช่วงที่ยังไม่มี กฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่ยังไม่ได้สร้างแล้วเวลาก็ผ่านมาเรื่อย ๆ จนกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว ซึ่งตอนที่เราเขียนนั้น เราตั้งใจให้เรื่องนี้เป็น หมุดหมาย ให้คนจำได้ว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา
ฉากประทับใจ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ติดอยู่ในใจจนถึงปัจจุบัน คือ ฉากที่โหม๋ปักธูปกลับหัว เป็นฉากที่สื่อถึงความแค้นต่อวิญญาณและเหมาะสมกับบริบทของเรื่อง แล้วยังสื่อสารข้อความทั้งหมดว่า "ฉันไม่รักเธอแล้ว แล้วฉันแค้นเธอด้วย" และ "ฉันจะเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความคิดอีกแบบหนึ่ง" ได้ในแอคชันเดียว
อีกฉากที่ติดตรึงใจคือช่วงที่ตัวละคร โหม๋ พยายามให้แม่แสงยกที่ดินให้ แต่เกิดการทะเลาะกัน โหม๋ขึ้นไปบนบ้านเพื่อเอาเสื้อผ้า แต่แม่แสงตะโกนตามพื้นมาว่า "มาแต่ตัวก็ไปแต่ตัว" โหมจึงเอาเสื้อที่เช็ดเยี่ยวแม่ใส่แล้วเดินจากไปคนเดียว ตัวละครโหม๋ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ ไม่มีอะไรเลย แม้ว่าจะไม่ใช่คนดี 100% ก็ตาม
และหากมีภาคสอง อนาคตของโหม๋ ดูแล้วชะตากรรมมืดมน ยากที่จะคิดทางลงให้ตัวละครนี้ได้อย่างสงบสุข เนื่องจากโหม๋ขาดทั้งทรัพยากรส่วนตัวและทรัพยากรที่รัฐจัดสรรให้
และเธอเป็นผลผลิตจาก สวัสดิการที่มันล้มเหลว แล้วถ้าหากโหม๋ตั้งท้อง เธอก็จะกลายเป็น แม่แสง 2 และวนกลับไปสู่จุดเดิมในวงจรชีวิตที่สิ้นหวัง"
- นักเขียนต้องรับผลที่ตามมาจากสิ่งที่ตัวเองเขียน
ลาดิด (LADYS) หรือ ณชนก ยุวภูมิ (นักศึกษาแพทย์ที่ลาออกมาเพื่อเป็นนักเขียน มีผลงานเข้ารอบซีไรต์ 3 เรื่อง อันกามการุณย์, คุณเคนต์และข้าพเจ้า, พัทยาและมาหยา) ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง วิมานหนาม เผยว่า ตัดสินใจรับงานนี้เพราะดูภาพยนตร์แล้วรู้สึก เข้าใจ ในสิ่งที่ต้องการสื่อ
"และเชื่อว่าการเขียนหนังสือจำเป็นต้องเข้าใจตัวละครก่อน นอกจากนี้ยังรู้สึกว่าการได้ทำงานจาก วัตถุดิบอื่น จะช่วยขยายขอบเขตความสามารถในการสร้างสรรค์งานเขียนของตัวเองด้วย
แต่งานนี้ก็มีความกดดันไม่น้อย เพราะเป็นการดัดแปลงผลงานจากภาพยนตร์ที่คนรู้จักในวงกว้าง ทำให้เกิดความเครียด
แต่เลือกที่จะโฟกัสแค่ในส่วนที่ตนทำได้ เพราะไม่ว่าเราจะทำยังไงมันก็ไม่สามารถทำให้คนทุกคนพอใจทั้งหมดได้ จึงเลือกทำตามที่ทีมงานผู้สร้างพึงพอใจ
การเล่าเรื่อง ใช้วิธีเล่าผ่านมุมมองของตัวละครหลักสองคน คือ ทองคำ และ โหม๋ โดยสลับบทเล่าผ่านตัวละครทั้งสอง (บทที่เป็นเลขคี่จะเป็นทองคำ ส่วนเลขคู่จะเป็นโหม๋)
เหตุผลที่เลือกวิธีนี้ เพราะตัวละครทองคำและโหม๋มีที่มาจากสองฝั่งของเรื่อง และเหตุการณ์สำคัญส่วนใหญ่สามารถเล่าผ่านสองคนนี้ได้ครบถ้วนในทุกด้าน
นอกจากนี้ ตัวละครทั้งสองยัง ผลัดกันได้เปรียบเสียเปรียบ หรือ ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ตลอดเวลา ซึ่งเสริมความรู้สึก เจ็บใจ ที่เป็นแกนหลักของเรื่อง
อีกทั้งการเล่าเรื่องนี้ยังตั้งใจให้เป็นการเล่าให้กับ เสก (ตัวละครที่ตายไปแล้ว) ฟังด้วย เนื่องจากตัวอักษรไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ได้ชัดเจนเท่าภาพยนตร์ การเพิ่มเสียงในหัวที่พูดกับวิญญาณจะช่วยเสริมอารมณ์ที่รุนแรงและชดเชยสิ่งที่ภาพยนตร์ทำได้ดีกว่าได้
ที่น่าสนใจก็คือ ภาพยนตร์และหนังสือเรื่องนี้ทำให้ประเด็นการเมืองกลายเป็นเรื่องส่วนตัว เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งหากระบบสวัสดิการของเราดีกว่านี้ ก็อาจไม่มีความขัดแย้งในครอบครัวนี้เกิดขึ้น
โหม๋ เป็นตัวละครที่เปราะบางและอยู่ในสถานะที่เปราะบางมาก ๆ งานดูแลแม่ของทองคำที่โหม๋ทำอยู่ ไม่มีการให้ค่าทางกฎหมาย และไม่มีการวัดเป็นมูลค่า
ทำให้โหมอยู่ในฐานะที่ ไม่มีทางที่จะมีปากมีเสียง เลย
Cr. Kanok Shokjaratkul
ซึ่งถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้มีแค่ประเด็น สมรสเท่าเทียม ก็จะไม่รับมาเขียนแน่นอน แต่เพราะมีประเด็นแวดล้อมอื่น ๆ ที่น่าสนใจและแข็งแรง หลากหลาย จึงรับงานนี้
นักเขียนสามารถเขียนอะไรก็ได้ แต่ต้อง รับผลที่ตามมา จากสังคมที่ตามมาด้วย
หากงานที่สร้างขึ้นทำให้เกิดความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง (เช่น ลูกที่เกิดมาเชื่อว่าสามารถรับผู้ชายที่ข่มขืนตัวเองได้) ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ความท้าทายคือการพูดถึงประเด็นสังคมที่ซีเรียสแต่ให้ เข้าหูคน และ ไปถึงหัวจิตหัวใจคน โดยไม่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอ่าน paper เพราะสุดท้ายแล้วหนังสือก็ยังเป็นสื่อบันเทิง
Woke ไม่ใช่คำด่า แต่คือการมองเห็นคำตอบหรือมองเห็นโลกที่เป็นไปได้ที่มันดีกว่าวันนี้ พวกเขากำลังบอกว่าโลกนี้สามารถดีกว่าที่เป็นอยู่และได้ประโยชน์ร่วมกันได้มากกว่านี้
Cr. Kanok Shokjaratkul
อย่างไรก็ตาม เมื่อผลงานออกไปสู่สาธารณะแล้ว การที่ใครจะบอกว่างานนั้น "โวคหรือไม่โวค" ก็เป็นเพียง "อีกแค่หนึ่งความเห็น" ที่ผู้เสพมีต่อชิ้นงาน
หรือบางคนใช้คำว่า โวค มาตำหนิผลงาน ซึ่งการที่คนเริ่มคิดได้ว่าอะไรคือแนวคิด โวค ก็แสดงว่าเขาได้มองเห็นคอนเซ็ปต์นั้นในระดับหนึ่งแล้ว
และการ โวค ไม่ได้แปลว่าดีกว่าคนอื่น แต่เป็นเพียงชุดความเชื่อที่แตกต่างกัน
สื่อและวรรณกรรมสามารถ สร้างแรงกระเพื่อม ให้สังคมได้ และการทำงานแก้ไขปัญหาสังคมนั้นต้องทำร่วมกันระหว่างนักเขียน, นักกิจกรรม (activist) และ ส.ส. เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง"
Cr. Kanok Shokjaratkul
- ไม่ใช่หนังสือเบื้องหลังภาพยนตร์ แต่เป็นนวนิยาย
จีระวุฒิ เขียวมณี บรรณาธิการบริหาร นวนิยายเรื่อง วิมานหนาม (ซึ่งเป็นหนังสือไทยเล่มแรกของสำนักพิมพ์ Biblio) เล่าถึงเบื้องหลังการทำงานร่วมกับนักเขียนและทีมผู้เขียนบทว่า เป็นการทำงานแบบ 3 องค์ประกอบ (นักเขียน / ทีมเขียนบท /บรรณาธิการ) ทำให้การตัดสินใจภาพรวมของหนังสือทำได้ง่ายขึ้น
"แนวคิดหลักในการทำหนังสือเล่มนี้คือการ ตีความ ภาพยนตร์มาเป็นนิยาย โดยไม่ต้องการทำหนังสือที่ให้ความรู้สึกเหมือนเบื้องหลังภาพยนตร์ แต่ต้องการให้ภาพตัวละครยังคงอยู่ในหัวของผู้อ่านโดยใช้จินตนาการ
บ.ก. ได้ช่วยเสริมเนื้อหาในส่วนที่ขาดไป เช่น การเพิ่มความรู้สึกของตัวละครเสกหลังจากสูญเสียทองคำ และมีการขอความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความแม่นยำของ ภาษาไทใหญ่ ที่ปรากฏในหนังสือ
ในส่วนของการทำงานร่วมกันระหว่างผู้สร้างงาน แทนที่จะคุยกันผ่านเสียง จะใช้ ข้อความที่ไปคอมเมนต์ใน DOC" ทำให้ บ.ก. สามารถเห็น หลักฐานทั้งหมด
และใช้เหตุผลในการถกเถียง (ดีเบต) ระหว่างนักเขียนและทีมเขียนบทก่อนที่จะมีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
นอกจากนี้ รูปเล่ม ของหนังสือยังมีการซ่อนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะภาพประกอบ ผลทุเรียน ที่ค่อย ๆ เติบโต ในแต่ละช่วง ซึ่งเป็นกิมมิคที่ตอบโจทย์การเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี..."
...............................
อ้างอิง : งาน Book Talk : วิมานหนาม ปอกเปลือกทุกความเปราะบางและความเหลื่อมล้ำบนวิมานแห่งการแย่งชิง วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ณ ร้าน Kinokuniya สาขา Siam Paragon
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul







