ข้าวเม่ากับน้ำใจของคนใต้

ข้าวเม่ากับน้ำใจของคนใต้

ตามรอยการลงพื้นที่ภาคสนาม เก็บข้อมูลเรื่องข้าวเม่า ที่บ้านวังหิน อำเภอบางขัน จ.นครศรีธรรมราช ชวนสนทนาเรื่องข้าวเม่ากับคนเมืองคอน "เฉลียว ศิริบัตร์"

ในต้นเดือนกันยายน พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ดิฉันได้เข้าไปทำงานภาคสนาม เก็บข้อมูลเรื่องข้าวเม่า ที่บ้านวังหิน อำเภอบางขัน จ.นครศรีธรรมราช

การเดินทางครั้งนั้น ไปเพื่อทำวิจัยให้กับ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ในหัวข้อชื่อโครงการ "จัดเก็บข้อมูลภูมิปัญญาจากข้าวหอมมะลิสู่ข้าวเม่า โดยมีเป้าหมาย ที่จะขึ้นทะเบียน “ข้าวเม่า” ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขา :ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประเภท :อาหารและโภชนาการ เช่นเดียวกับที่ ต้มยำกุ้งเคยได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติสาขานี้ เมื่อปี พ.ศ.2554

ลงภาคใต้ต้นเดือนกันยายน ได้พบคนเมืองคอน ที่ยังทำข้าวเม่าอยู่หลายบ้าน สนทนาเรื่องวิธีการทำข้าวเม่าก็น่าสนใจอย่างมาก แต่ความขี้สงสัยของดิฉัน ติดตัวมาแต่เกิด ลึกในจิตจนแคะออกไม่ได้ โดนครูด่าเอาว่า เลิกบ้าสงสัยซะที มันจะก้าวหน้าในการดูจิตได้เร็วกว่านี้ อยู่กับความรู้สึกตัวสดๆให้ได้ แล้วมันจะไปของมันเอง

คำสอนของครูมีค่ามาก แต่ถึงกระนั้นเมื่อเจอแหล่งความรู้ ชาวบ้านในท้องถิ่น เดินเหยียบดินทราย ท่ามกลางดงป่า ดูดซับปัญญาจากแม่ธรณี และอารักษ์รักษาป่า เป็นชาวนาคลุกชีวิตเลือดเนื้ออยู่กับแม่โพสพ ปัญญาของครูชาวบ้านแต่ละท่าน สมบูรณ์รอบด้านเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตท่าน ดิฉันก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องชอบๆของตัวเองไม่หยุด เป็นไปตามวิถี ที่พ่อล้อม เพ็งแก้ว เคยบอกไว้ อยากได้ปริญญาให้ไปมหาวิทยาลัย อยากได้ความรู้ให้มุ่งสู่ชาวบ้าน

ข้าวเม่ากับน้ำใจของคนใต้

พี่เฉลียว ศิริบัตร์ อายุ 63 ปี ชาวนา ตำบลวังหิน อำเภอบางขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช

ไปบ้านวังหิน อ.บางขัน พบปะกับคนเมืองคอน ได้ความรู้ดีงามมาหลายด้าน ประทับใจสุดก็จาก พี่เฉลียว ศิริบัตร์ อายุ 63 ปี เกิดปี 2505 โตมาครั้งรอบบ้านวังหินยังเป็นป่าดิบ ป่ายาง พี่เฉลียวเล่าถึงการเดินทางในยุค ๕๐ กว่าปีก่อนในครั้งพี่เฉลียวยังเป็นเด็กชายตัวน้อย และจนเข้าสู่วัยรุ่น ข้าวเม่าคือเสบียงสำคัญยิ่ง

"สมัยก่อนนะ... บ้านเรามันก็ไม่ใช่ถนนลาดยางเหมือนสมัยนี้หรอก เป็นทางดินคดเคี้ยว ผมนี่ไปหาหวาย หวายขลิง คนสมัยก่อนเขาไม่มีอะไรขาย หวายขลิงที่เขาเอาไปทำเก้าอี้นั่ง เราไปหาแล้วก็เอามาผ่าทำเป็นมัดขาย เวลาไปขายก็ต้อง หาบ กันไปไกลถึงทุ่งกบ ทุ่งสงนู้นแหละ เพราะแถวบ้านเราไม่มีที่ขาย มันไกล แต่ก็ต้องเดินไปตามทางนั่นแหละ มันเป็นถนนแบบทางควายเดิน แต่ว่าไม่ได้ตรงนะ มันเป็นทางคดเคี้ยวไปตามหมู่บ้าน เราก็เลาะไป

ทีนี้เวลาที่เราต้องเดินเท้าเข้าป่าขึ้น "ควน" (ภูเขา) หรือเดินทางไกลไปขายของ ไปตลาดนัด ข้าวเม่านี่แหละสำคัญ

ข้าวเม่ากับน้ำใจของคนใต้

อุปกรณ์ทำข้าวเม่าของพี่เฉลียว

ข้าวเม่าเราทำจากข้าวเหนียวพันธุ์ดี ๆ อย่างข้าวเหนียวขาว หรือข้าวเหนียวแก้มอ้น พอทำเสร็จ เราก็ใส่ ย่าม หรือถุงผ้าไป ไม่ต้องคลุกอะไรเลยนะ ไม่ต้องคลุกมะพร้าว เพราะคลุกแล้วมันจะเสีย บูดง่าย

เวลาหิวก็แค่ หยิบออกมาสัก 1 กำมือ เคี้ยว กลืน แล้วกินน้ำตาม แค่นี้แหละ มันก็จะพองตัวในท้อง ทำให้เราอิ่มท้องนาน อยู่ได้ทั้งวันเลย คนสมัยก่อนเวลาขึ้นควนไปหาสัตว์หาของป่า เขาจะมีความรู้ในการเอาตัวรอด ถ้าไม่เจอแหล่งน้ำธรรมชาติ เราก็มีวิธีกินน้ำใน ย่านเชือก (เถาวัลย์) ผมก็ยังทันได้กิน

ส่วนเรื่องหุงข้าว ก็ใช้กระบอกไม้ไผ่นี่แหละแทนหม้อดิน เราจะพกข้าวสาร, กะปิ, เกลือ ไป หุงก็ง่าย แค่ใช้ใบไม้ (ใบชิง ใบพ้อ) ห่อข้าวสารแล้วใส่กระบอกไม้ไผ่ เติมน้ำกะเอาให้พอน้ำล้นเหนือข้าวสารไปนิดนึง (ประมาณ 1 ข้อนิ้วถ้าเป็นข้าวเหนียว) แล้วก็หมกใส่ไฟ ไปเลย มันก็สุกเป็นข้าวหลามกินได้แล้ว

ข้าวเม่ากับน้ำใจของคนใต้

แต่สิ่งที่น่าพูดถึงที่สุดคือเรื่อง น้ำใจ คนสมัยก่อนถ้าเขาขึ้นควนจะทำกระท่อมทิ้งเอาไว้ ถ้าเราเดินทางไปขายของ แล้วข้าวสารที่ห่อไปเหลือ หรือมีข้าวสาร กะปิ เกลือเหลือ ชาวบ้านจะไม่เอากลับลงมา เขาจะเก็บไว้ที่กระท่อมหรือศาลาริมทาง เผื่อใครที่เดินผ่านมาจะได้กิน ไม่ได้ตั้งใจเก็บไว้ตั้งแต่แรกหรอก แต่พอเหลือเขาก็ตั้งใจเก็บไว้ให้คนอื่น เหมือนคนเมื่อก่อนที่หลงป่าแล้วอยู่รอดได้เป็นเดือน ก็เพราะของกินที่คนมีน้ำใจเก็บไว้ให้นี่แหละ ผมทันได้เห็นกระท่อมแบบนี้ตอนผมเด็กๆ แต่ไม่ทันได้ใช้แล้ว เพราะผมเป็นคนสมัยใหม่มานิดนึง คนเก่าเขาทำกระท่อมไว้ ผมได้เห็น แต่ไม่ได้ใช้ เพราะตอนที่เราขึ้นเขาเนี่ย เราไม่ได้พักแล้ว

คนสมัยก่อนมีความไว้ใจกันสูง ถ้าเรารู้จักบ้านคนก็แวะเอาของไปฝาก ไปนอนได้เลย หรือถ้าเราไปขายของ ก็ไม่ต้องพกข้าวห่อไป แวะเอา เขาก็จะหุงข้าวให้เรากิน มันเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่มีน้ำใจกันมากจริง ๆ"