มองข้ามขอบโขง ผ่านเรื่องราวของเยาวชนผู้หวังจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับโลก

ในวันเด็กสากล 20 พฤศจิกายน 2568 เราขอถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของนักศึกษาสื่อผู้มีความฝัน ที่ได้เรียนรู้ว่า ภาวะโลกร้อนไม่ได้พรากไปแค่ปลาในแม่น้ำ
เมื่อ กรกนก มุกไธสง หรือ ไอรีน เห็นคลิปสั้นๆ เกี่ยวกับโครงการอาสาสมัครของยูนิเซฟ ประเทศไทย ในจังหวัดขอนแก่น เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่านั่นจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนมุมมองต่อโลกของเธอ
ในตอนนั้น นักศึกษาสื่อดิจิทัลวัย 22 ปีจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามเพียงรู้สึกว่าได้รับแรงบันดาลใจ คลิปนั้นบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มอาสาสมัครจากมหาวิทยาลัยที่ทำงานร่วมกับเด็ก ๆ ในโครงการสิ่งแวดล้อม การผสมผสานระหว่างสองสิ่งที่เธอรักที่สุด นั่นก็คือ สื่อ และ ธรรมชาติ มันคือสิ่งที่เธออยากทำมาตลอด คือ การใช้สื่อเพื่อเล่าเรื่องราวที่มีความหมาย
แรงบันดาลใจนั้นนำพาไอรีนและเพื่อนๆ ให้เข้าร่วมโครงการอาสาสมัคร I AM UNICEF ของยูนิเซฟ ประเทศไทย เมื่อต้นปีนี้ ที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมืองเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขงแห่งนี้สวยราวกับโปสการ์ด เต็มไปด้วยเกสต์เฮาส์ไม้ ถนนอันเงียบสงบ และ เส้นทางปั่นจักรยามเย็นที่ทอดตัวเลียบแม่น้ำ แต่ไม่นานนักเธอก็ได้เรียนรู้ว่าภายใต้ความงามนั้นมีการต่อสู้อย่างเงียบงันซ่อนอยู่ เรื่องราวของชุมชนที่เผยให้เห็นว่า ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงทำลายธรรมชาติ แต่ยังเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กๆ อย่างที่สายตาเราอาจมองไม่เห็น
ก่อนเริ่มเวิร์กช็อป ไอรีนและอาสาสมัครคนอื่น ๆ ได้รับการอบรมจากยูนิเซฟ ประเทศไทย หนึ่งในบทเรียนสำคัญที่ทุกคนจดจำได้ดีคือเรื่องการเคารพสิทธิและความยินยอมของเด็ก พวกเขาได้เรียนรู้ว่า แม้แต่การกระทำเล็กน้อย เช่น การเข้าหาเพื่อพูดคุยกับเด็กก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังและต้องได้รับความยินยอมจากเด็กก่อนเสมอ รวมถึงการไม่ควรแลกเปลี่ยนเบอร์ติดต่อกับเด็กด้วย
ประสบการณ์ I AM UNICEF ของไอรีนเริ่มต้นจากเวิร์กช็อปสองวันที่มีเด็กในพื้นที่ราว 40 คน อายุระหว่าง 5 ถึง 17 ปีเข้าร่วม หลายคนหลุดออกจากระบบการศึกษา เด็กๆ ได้เรียนรู้และสำรวจการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง ทั้งจำนวนปลาที่ลดลง วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป และ ประเพณีที่กำลังเลือนหาย ผ่านกิจกรรมการเล่าเรื่อง การทำวิดีโอ และวาดรูปปลา พวกเขาได้ฝึกเล่าเรื่องของตัวเองเพื่อปกป้องชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้เรื่องสิทธิเด็กและความสำคัญของความยินยอมในการเล่าเรื่อง
สำหรับไอรีน เวิร์กช็อปครั้งนี้เป็นทั้งการผจญภัยและการตื่นรู้ ก่อนหน้านี้เธอเคยเห็นเชียงคานแต่บนโลกออนไลน์ และคิดว่าเมืองริมโขงแห่งนี้ช่างดูสงบและสวยงาม แต่การลงพื้นที่จริงทำให้เธอมองเห็นความจริงที่ต่างออกไป “ครูก็บอกว่าแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ได้ทำงานเราจะมองพื้นที่นั้นเปลี่ยนไป ซึ่งมันเป็นความจริง”
เช้าวันหนึ่ง ไอรีนได้ออกเรือไปกับชาวประมงในพื้นที่และได้เห็นเองว่าการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำส่งผลต่อชีวิตคนท้องถิ่นอย่างไร หลังจากล่องเรืออยู่นานนับชั่วโมง พวกเขาจับปลาได้เพียงตัวเดียว ขณะที่อีกกลุ่มที่ออกเรือตอนบ่ายจับไม่ได้เลยสักตัว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ครอบครัวชาวประมงสามารถจับปลาได้มากพอ อย่างน้อยก็สำหรับกินเองในครอบครัว หรืออาจจะยังเหลือพอขายในตลาด แต่ตอนนี้ไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป
ไอรีนได้เรียนรู้ว่า แม่น้ำโขงไม่ขึ้นลงตามฤดูกาลเหมือนเดิม เขื่อนและสภาพอากาศที่แปรปรวนส่งผลให้ระบบนิเวศเสียสมดุล ปลาหายากขึ้น และการทำเกษตรริมตลิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเศรษฐกิจของชุมชน แต่หมายถึงการพลัดพรากพ่อแม่จากลูก เพราะหลายคนต้องย้ายไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ปล่อยให้ลูกอยู่กับปู่ย่าตายาย บางคนต้องออกจากโรงเรียนเพื่อช่วยงานในบ้าน
แม้ในตอนนี้ ครอบครัวส่วนใหญ่จะยังพอจับปลาและปลูกผักไว้เลี้ยงลูกหลานได้ แต่เมื่อสภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น ผลผลิตตามธรรมชาติก็ลดลง ความสมดุลนี้อาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว ทรัพยากรที่ลดน้อยลงทำให้ครอบครัวต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากตลาดมากขึ้น ซึ่งหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารในเด็ก
ไอรีนยอมรับว่า เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่สูญเสียรายได้เท่านั้น “แต่พอได้ไปลงพื้นที่และใช้เวลากับชุมชน หนูถึงได้รู้ว่า เด็กก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน เพียงแต่หลายครั้งเราแค่ลืมนึกถึงเด็กๆ” การตระหนักรู้นั้นเปลี่ยนมุมมองของเธอต่องานและสังคมอย่างสิ้นเชิง ไอรีนพบว่า ภาวะโลกร้อนไม่ได้พรากไปเพียงปลาในน้ำหรือพืชผักริมตลิ่ง แต่มันยังพรากวัยเด็กของใครหลายคนไปด้วย มันเปลี่ยนจังหวะของชีวิตครอบครัว และอนาคตของทั้งชุมชน
การลงพื้นที่ยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปที่ไอรีนทำงานร่วมกับเด็กๆ เพื่อสร้างวิดีโอสั้นเกี่ยวกับชุมชนและแม่น้ำโขง
ช่วงแรก หลายคนยังเขินอาย แต่เมื่อเริ่มเล่า เรื่องราวก็พรั่งพรูออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งเรื่องแม่น้ำ เรื่องคิดถึงพ่อแม่ หรือความตั้งใจอยากช่วยปู่ย่าตายายทำงานในบ้าน
ทีมพี่เลี้ยงจากยูนิเซฟย้ำเสมอว่า จุดประสงค์ของเวิร์กช็อปไม่ใช่การสร้างคลิปวิดีโอที่สมบูรณ์แบบ แต่คือการเปิดพื้นที่ให้เด็กสามารถส่งเสียงได้ดังขึ้น ในช่วงท้ายของเวิร์คช็อป ผู้ปกครองหลายคนขอบคุณอาสาสมัครที่ช่วยให้ลูกได้แสดงออก แต่สำหรับไอรีน เธอกลับรู้สึกว่า “จริงๆ แล้ว น้องๆ และชุมชนต่างหากที่เป็นคนสอนเรา”
เมื่อกลับจากภาคสนาม ภาพความทรงจำจากเชียงคานยังคงชัดเจนในใจ “พวกเรามองเชียงคานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วจริงๆ” เธอกล่าว ประสบการณ์ครั้งนี้ย้ำให้ไอรีนเชื่อมั่นในพลังของการเล่าเรื่อง ในฐานะนักศึกษาสื่อ เธอรู้ดีว่าหน้าที่ของเธอไม่ใช่เพียงทำให้ทุกอย่างดูสวยงาม แต่คือการเล่าความจริงที่ผู้คนมักมองข้าม โดยเฉพาะเรื่องราวของเด็กๆ
ไอรีนจะจดจำบทเรียนจากแม่น้ำไว้เสมอ บทเรียนเรื่องความเข้าใจผู้อื่น ความเคารพ และภาระที่มองไม่เห็นซึ่งเด็กๆ ต้องแบกรับในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากเชียงคานนั้นชัดเจน นั่นก็คือ ภาวะโลกร้อนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของสิ่งแวดล้อม แต่มันคือ “ปัญหาของเด็กๆ” ด้วยเช่นกัน
เครดิตภาพ : กรกนก มุกไธสง และ โครงการลูกหลานแห่งลุ่มน้ำโขง







