ไฟป่าแปลงใหญ่สุดในเอเชียอาคเนย์ตอนบน: มลพิษข้ามแดนที่ยังไม่มีทางแก้

ไฟป่าแปลงใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ตอนบนในรัฐคะเรนนี ประเทศเมียนมา ติดชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นต้นตอมลพิษข้ามแดนที่สำคัญสู่ไทย ทำวิกฤติฝุ่น PM2.5 รุนแรงขึ้น
KEY
POINTS
- เกิดไฟป่าแปลงใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ตอนบนในรัฐคะเรนนี ประเทศเมียนมา ติดชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่เผาไหม้กว่า 9 ล้านไร่
- ควันจากไฟป่าดังกล่าวเป็นต้นตอมลพิษข้ามแดนที่สำคัญ โดยพัดเข้ามายังภาคเหนือของไทยในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ทำให้วิกฤติฝุ่น PM2.5 รุนแรงขึ้น
- ปัญหายังไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากพื้นที่ไฟป่าอยู่ในเขตการสู้รบ ทำให้การควบคุมไฟเป็นไปได้ยาก และไฟมักลุกลามข้ามแดนมายังฝั่งไทยเป็นประจำ
แผนที่ รอยไหม้ (Burned Scars) ดาวเทียมระบบ modis จาก earthmap.org แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขตที่มีการไหม้มากและหนาแน่นสุดของไฟป่าในเขตเอเชียอาคเนย์ตอนบนอยู่บริเวณรัฐคาเรนนี (หรือ กะยา) ต่อพรมแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน
อีกภาพหนึ่ง เป็นรอยไหม้ดาวเทียมของปี 2024 ระบบ modis เช่นกัน แสดงบนเว็บไซต์ firms.modaps.eosdis.nasa ซึ่งแยกสีการเกิดรอยไหม้แต่ละเดือน สีแดงกุมภาพันธ์ สีส้มมีนาคม และสีเหลืองเมษายน จะเห็นว่า พื้นที่ไหม้รัฐคะเรนนี เกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมเป็นหลัก ซึ่งต่างจากการเกิดไฟสีเหลืองในเขต สปป.ลาวตอนบน ซึ่งเป็นการใช้ไฟในไร่ที่สูงเตรียมเพาะปลูก ต่างจากไฟชายแดนเมียนมาร์ที่เป็นพื้นที่ป่า รอบๆ แนวลำน้ำสาละวิน
เมื่อทดลองใช้เครื่องมือวัดขนาด "ขอบเขตไฟคะเรนนี" ตามแนวสาละวินขึ้นไป วัดได้ราวๆ 195 กม. และแนวกว้างตามขวางราว 90 กม. คำนวณแบบหยาบตามแนวรอบนั้นเป็นพื้นที่ 14,800 ตร.กม. แปลงเป็นไร่เท่ากับ 9,250,000 ไร่ นี่เป็นการคำนวณคร่าวๆ เท่านั้น เพื่อที่จะประมาณการขนาดขอบเขตไฟป่าแปลงใหญ่แปลงนี้
ตัวเลข 9.2 ล้านไร่ที่ไหม้รอบๆ ลำน้ำสาละวินในเขตคะเรนนี มากพอๆ กับการไหม้ภาคเหนือทั้งภาค แต่อย่าลืมว่านี่แค่หย่อมเดียวของเมียนมาเท่านั้นเอง
ไฟป่าคะเรนนี ภัยคุกคามซ้ำเติมวิกฤติมลพิษ PM2.5 ในไทย
ไฟป่าแปลงใหญ่คะเรนนีติดพรมแดนแม่ฮ่องสอน มีผลคุกคามต่อประเทศไทยโดยตรง เพราะช่วงเวลาดังกล่าว (กลางมีนาคมต่อเนื่องเมษายน) เป็นช่วงที่มีลมตะวันตกเฉียงใต้พัดเฉียงเข้ามาในเขตไทย ทั้งนี้ในช่วงต้นปี ลมในรัฐกระเหรี่ยง รัฐคะเรนนี และรัฐฉาน เขตที่ต่อแดนกับไทยพัดขึ้นเหนือ ซึ่งหากมีไฟเกิดในเขตคะเรนนีเดือนกุมภาพันธ์ ควันจะพัดขึ้นรัฐฉาน จากนั้นทิศทางลมเริ่มเปลี่ยนเป็นพัดเข้าหาไทยในช่วงราวกลางเดือนมีนาคม ดันตรงกับช่วงที่ป่าเขตนี้ไหม้พอดี
จึงกล่าวได้ว่า ไฟแปลงใหญ่สุดขนาดราว 9 ล้านไร่ ริมชายแดนแม่ฮ่องสอน เป็นภัยคุกคามที่มีผลซ้ำเติมต่อวิกฤติมลพิษอากาศฝุ่นควัน PM2.5 ของไทยอย่างชัดเจน
ไฟแปลงใหญ่ซ้ำซากที่เกิดในเขตรัฐคะเรนนี ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่าสองข้างลำน้ำสาละวิน ซึ่งยังแก้ปัญหาไม่ได้เพราะการสู้รบ ชนกลุ่มน้อยที่มีอิทธิพลในเขตนี้ก็ไม่มีกำลังปกครองและจัดการปัญหาลักษณะนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีกรณีไฟลามข้ามแดนมายังพื้นที่ของประเทศไทยบ่อยครั้ง ด้วยเพราะมีพรมแดนทางบกติดกันบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอแม่สะเรียง จะงอยรอยต่อจุดเริ่มแม่น้ำสาละวินพอดี (ดูภาพประกอบ)
แผนที่นี้แสดงรอยไหม้ Burned Scars ของปี 2021 จะเห็นว่าแทบทั้งหมดเป็นการไหม้ในเดือนกุมภาพันธ์ (แดง) และมีนาคม (ส้ม) แทบจะครอบคลุมทุกพื้นที่ในย่านนี้ ให้สังเกตแนวรอยต่อพรมแดนที่เป็นเส้นขาวขีดไว้
จากจะงอยจุดเริ่มต้นพรมแดนลำน้ำสาละวินของไทยที่แม่สะเรียง ลากเส้นตามเขตแดนไปถึงอำเภอขุนยวม มีความยาวราวๆ 45 กม. เขตดังกล่าวมีหน่วยทหารดูแล และเป็นภูเขาสูง ทางฝั่งไทยก็เป็นป่าเขาสูงเช่นกัน ประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน และก็มีหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงประปรายในพื้นที่ป่า (ชุมชนในเขตป่า ตาม ม.211)
ปัญหาใหญ่ป่าสาละวิน มีไฟลอบจุด ไฟลาม ไฟป่าเป็นประจำ
แผนที่รอยไหม้ ยังแสดงให้เห็นถึงแนวไฟที่ลามข้ามมาจากฝั่งเมียนมา ลงมาไหม้ต่อในพื้นที่ป่าสาละวินของไทย ข้อเท็จจริงจากพื้นที่ก็คือ เมื่อเกิดไฟลามข้ามแดนลงมา เจ้าหน้าที่ไฟป่าของไทยไม่มีกำลังพอที่จะดับหรือสกัดไว้ได้ วิธีการที่ใช้ก็คือ จุดไฟชนไฟ ทำแนวไฟไหม้จากฝั่งไทยขึ้นไปชนกับไฟเมียนมา และการจุดแนวไฟของไทยก็ไม่สามารถเข้าไปจุดประชิดชายแดนได้เพราะอันตรายอาจมีกับระเบิด จึงต้องเริ่มแนวจุดห่างลงมาจากเส้นพรมแดน
ไฟที่ไหม้จากการนี้เฉพาะของฝั่งไทย กินพื้นที่หลายหมื่นไร่แทบจะทุกปี
นอกเหนือจากไฟลามข้ามแดนแล้ว ปัญหาใหญ่ของป่าสาละวินในเขตไทยเองก็มีไฟลอบจุด ไฟลาม ไฟป่าเป็นประจำเช่นกัน
พื้นที่ตลอดแนวพรมแดนลงมาตามลำน้ำสาละวินในวงกลม มีป่าอนุรักษ์ของไทย 2 ป่าติดกันคือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน และ อุทยานแห่งชาติสาละวิน พื้นที่รวมกันราวๆ 1 ล้านไร่ เป็นเขตป่าที่มีไฟไหม้ซ้ำซากแหล่งใหญ่ของประเทศเช่นกัน แต่ละปีรวมกันเป็นแสนไร่ขึ้นไป ด้วยเพราะเป็นเขตป่าเขาสูง เดินทางลำบาก และมีชุมชนชาวบ้านในเขตป่าที่ต้องใช้ไฟทำมาหากิน และมีการลักลอบใช้ไฟ
ไฟจากป่าสาละวินของไทยเราเองก็เป็นอีกแหล่งต้นทางกำเนิดมลพิษใหญ่ มีผลต่อแอ่งเชียงใหม่-ลำพูน เพราะไฟที่นั่นมักจะเริ่มตอนกลางเดือนมีนาคม เป็นช่วงที่ลมเปลี่ยน พัดเฉียงจากตะวันตกเฉียงใต้เข้ามาพอดี ภูมิศาสตร์อากาศพรรณพืชของแถบนั้นแตกต่างจากป่าโซนล่าง เพราะใบไม้เริ่มแห้งในปลายกุมภาพันธ์ ในบางปีข้ามมาเดือนมีนาคม ไม่สามารถชิงเผา ชิงจุดไฟในระยะที่ลมพัดขึ้นเหนือ ธรรมชาติของใบไม้และทิศทางลมของเขตสาละวินไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหาวิกฤติมลพิษอากาศ ดังนั้น จึงต้องพึ่งพามาตรการป้องกันและดับไฟที่เข้มข้นขึ้น
พื้นที่ไฟป่าเอเชียอาคเนย์ตอนบนนอกเขตแดนไทย ต้นทางมลพิษข้ามแดน
รัฐบาลไทยเองก็เริ่มตระหนักและมองเห็นปัญหาทางพรมแดนด้านนี้ เริ่มจากเมื่อปี 2567 ได้เริ่มประกาศให้ป่าสาละวิน เป็น 1 ใน 11 ไฟแปลงใหญ่ จากนั้นปี 2568 ให้เป็นหนึ่งในสิบสี่กลุ่มป่า คลัสเตอร์ไฟข้ามเขต เพื่อบูรณาการกำลังทรัพยากรลงไปจัดการแบบพุ่งเป้า
แต่ก็ยังไม่สำเร็จเป็นผลเท่ากับคลัสเตอร์อื่น อาจด้วยเพราะความยากลำบากของพื้นที่ชายแดนที่ทุรกันดาร หรือด้วยเหตุอื่น ในช่วงฤดูไฟป่าต้นปี 2568 ภาครัฐโดยหน่วยทหารพรานและฝ่ายป่าไม้ สบอ.16 แม่สะเรียง พยายามข้ามแดนไปเจรจาความร่วมมือกับชุมชนหมู่บ้านเขตรัฐคะเรนนี เพื่อทำแนวกันไฟสองแผ่นดินร่วมกัน
ปรากฏว่า ไฟข้ามแดนก็ยังลามข้ามมาได้ บางจุดข้ามแนวกันไฟมาเลยเพราะเป็นไฟใหญ่มาก ปฏิบัติการของไทยจำเป็นต้องใช้ไฟชนไฟจุดดักรอ เสียพื้นที่ป่าราว 3-4 หมื่นไร่ ขณะที่การลอบจุดในพื้นที่ของไทยเองก็ยังมีอยู่
พื้นที่ไฟป่าแปลงใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ตอนบนนอกเขตแดนไทย ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่คุกคามและเป็นต้นทางมลพิษข้ามแดนมายังภาคเหนือเช่นเดิม ขณะที่ปฏิบัติการป้องกันไฟข้ามเขตแม้จะเริ่มมีความพยายามหาทางป้องกันแทนการเผาชน แต่ก็ยังไม่เป็นผลยังต้องหาทางยกระดับสู่ผลสัมฤทธิ์สุดท้ายต่อไป
สมรภูมิไฟคะเรนนี-สาละวิน ณ พรมแดนตะวันตก ควรจะได้รับการเอาใจใส่จากฝ่ายนโยบายเพิ่มขึ้น
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







