โรคอ้วนในเด็ก วิกฤติสุขภาพที่กำลังรุนแรงขึ้น

"โรคอ้วนในเด็ก" วิกฤติสุขภาพที่กำลังรุนแรงขึ้น ขณะที่ทั่วโลกมี "เด็กที่เป็นโรคอ้วน" มากกว่า "เด็กผอม" เป็นครั้งแรก ประเทศไทยก็วิกฤติไม่แพ้กัน จากอัตราเด็กที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ติดอันดับ 1 ใน 4 ของภูมิภาคอาเซียน
KEY
POINTS
- สถานการณ์โรคอ้วนในเด็กไทยกำลังวิกฤต โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในรอบ 25 ปี และคาดการณ์ว่าอาจมีเด็กไทยเป็นโรคอ้วนถึง 60% ภายในปี 2578
- สาเหตุสำคัญเกิดจากสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอาหารแปรรูปและอาหารขยะที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ซึ่งเข้าถึงง่ายและมีการตลาดที่กระตุ้นการบริโภคของเด็ก
- โรคอ้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กทั้งร่างกายและจิตใจ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
- การแก้ไขปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งมาตรการภาครัฐ (เช่น ภาษีความหวาน) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อโภชนาการที่ดีในโรงเรียน และการสนับสนุนจากครอบครัว
ความดันเลือดสูง ไขมันเลือดสูง เบาหวานประเภทที่ 2 โรคหัวใจ การหยุดหายใจขณะหลับ ปัญหาต่อข้อและกระดูก ตลอดจนปัญหาด้านจิตใจ ความเครียด และการขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือเด็กที่เผชิญ “โรคอ้วน” มีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญ
หากแต่ไม่เพียงแต่ในวัยเด็กเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ยังส่งผลต่อเนื่องเมื่อ ‘เด็ก’ กลายเป็น ‘ผู้ใหญ่’ จนอาจเกิดเป็นปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพอย่างเรื้อรัง หากไม่ได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
ภาวะน้ำหนักเกิน หรือ โรคอ้วนในเด็ก กำลังเป็นปัญหาที่น่ากังวัลมากขึ้นเรื่อย ๆ รายงานของยูนิเซฟ Feeding Profit: How Food Environments are Failing Children ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2568 พบว่า ทั่วโลกมี “เด็กที่เป็นโรคอ้วน” มากกว่า “เด็กผอม” เป็นครั้งแรก ส่งผลกระทบต่อเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นกว่า 188 ล้านคนทั่วโลก หรือคิดเป็นราว 1 ใน 10 ของเด็กทั้งหมด
ประเทศไทยก็กำลังเผชิญปัญหานี้เช่นกัน อัตราเด็กที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา และติดอันดับ 1 ใน 4 ของภูมิภาคอาเซียน สหพันธ์โรคอ้วนโลกคาดการณ์ว่าหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข ภายในปี 2578 เด็กไทยจะเป็นโรคอ้วนกว่าร้อยละ 60
ภาวะน้ำหนักเกิน คือ การมีน้ำหนักเกินมากเมื่อเทียบส่วนสูง ในขณะที่โรคอ้วน คือ ภาวะน้ำหนักเกินขั้นรุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมการกินโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน โซเดียม และน้ำตาลสูง สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอาหารแปรรูปสูงที่เข้าถึงง่าย โฆษณาที่กระตุ้นให้เกิดการบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ตลอดจนปัจจัยด้านพันธุกรรม
‘ด.ญ. วาริน’ (นามสมมุติ) อายุ 11 ปี ชั้น ป.5 มีน้ำหนัก 74 กิโลกรัม สูง 153 เซนติเมตร ปัญหาน้ำหนักของวารินเริ่มตั้งแต่อนุบาล เธอเริ่มติดขนมขบเคี้ยวตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และแทบไม่ทานผักเลย ปัจจุบัน นอกจากการทานอาหารในปริมาณมาก เธอยังมักซื้อขนมมาทานเพิ่มเป็นประจำหลังอาหารกลางวันที่โรงเรียน
ปริมาณข้าวที่วารินทานในแต่ละมื้อและเมนูไก่ทอดของโปรด
“ที่โรงเรียนมีร้านขายเค้ก แพนเค้ก ไก่ทอด นักเก็ต เฟรนช์ฟรายส์ ลูกชิ้น มีขนมขายเยอะมาก หนูกินแบบนี้ทุกวัน” วารินบอก
คนเป็นแม่เล่าว่า วารินมี “พฤติกรรมกินขนมหน้าจอ” มักกินมันฝรั่งทอด 2-3 ห่อในขณะที่นั่งเล่นเกมหลายชั่วโมง ตอนนี้ครอบครัวเลิกซื้อขนมถุงแล้ว และหันมาตุนผลไม้ไว้ในตู้เย็นแทน เพื่อช่วยให้วารินลดนิสัยนี้
“สิ่งที่ยากที่สุดคือของกินที่ขายอยู่ควบคุมยาก” แม่ของวารินบอก “ลูกไม่ได้อยู่ในสายตาเราตลอด ถ้าให้เด็กสู้กับความอยากของตัวเองก็คงยาก ไม่ใช่เฉพาะในโรงเรียน แต่หน้าโรงเรียนก็มีคาเฟ่ อาหารขยะ อาหารฟาสต์ฟู้ดเต็มไปหมด”
วาริน (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 11 ปี เริ่มฝึกมวยที่บ้าน หลังเคยพยายามลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารอยู่ 2–3 เดือน ปัจจุบันเธอหันมาออกกำลังกายผ่านการชกมวย
นอนกรน เหนื่อยง่าย ขาดความคล่องตัวเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ คือสิ่งที่เกิดขึ้นและรบกวนชีวิตประจำวันของวาริน ก่อนหน้านี้เธอเคยพยายามลดน้ำหนัก ควบคุมอาหารและสามารถทำได้ประมาณ 2-3 เดือน ก่อนจะล้มเลิก ปัจจุบันวารินเริ่มให้ความสนใจกับการต่อยมวยเพื่อออกกำลังกาย
“รู้สึกว่าฝึกต่อยมวยน่าจะพอใช้ได้สำหรับการป้องกันตัว อยากเรียนต่อยมวยเอาไว้ อยากลองฝึกดู รู้สึกว่าได้ใช้พลังดี”
การต่อยมวยอาจเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นำพาเธอไปสู่การมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นและเริ่มลดน้ำหนักอีกครั้ง หากมีเป้าหมาย ความมุ่งมั่นที่ชัดเจน และได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัว
สภาพแวดล้อมชี้นำพฤติกรรมการกินของเด็ก
ศิริรัฐ ชุณศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัยรุ่น องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า เด็กจำนวนมากไม่ได้เลือกอาหารด้วยตัวเอง แต่ถูกชี้นำจากสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอาหารแปรรูปและฟาสต์ฟู้ด ซึ่งมีน้ำตาล เกลือ ไขมันเลว แป้งขัดสี และสารปรุงแต่งสูง อาหารเหล่านี้มักราคาถูก เข้าถึงง่าย มีอยู่ทุกที่ทั้งในร้านค้าที่ปัจจุบันมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและในโรงเรียน นอกจากนี้ การตลาดตามช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะที่ผ่านสื่อดิจิทัลยิ่งทำให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงอาหารเหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
อาหารแปรรูปที่มีวางขายทั่วไป รวมถึงหน้าโรงเรียน
ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ และห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ในประเทศไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว ยอดขายอาหารแปรรูปต่อหัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 70 นอกจากนี้ ระหว่างปี 2556–2564 ยอดขายอาหารฟาสต์ฟู้ดผ่านแอปเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 650 ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2564 ระบุว่า ร้อยละ 43 ของวัยรุ่นไทยบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดถึง 4 ครั้งต่อสัปดาห์
“ปัญหาน้ำหนักเกินไม่ใช่ปัญหารายบุคคลอีกต่อไป เด็กมักไม่ได้เป็นคนเลือกกินเอง แต่สภาพแวดล้อมเป็นตัวเลือกให้” ศิริรัฐกล่าว “ถ้าเราอยากเห็นคนรุ่นใหม่ที่สุขภาพดี นอกจากการให้ความรู้แก่เด็กเรื่องโภชนาการ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของอาหารที่อยู่รอบตัวพวกเขาด้วย ไม่ใช่แค่บอกให้เด็กกินอาหารที่ดีขึ้น”
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่พยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยนำเรื่องโภชนาการมากำหนดเป็นนโยบายของโรงเรียนอย่างจริงจังเพื่อให้เด็กมีสุขภาพดี โรงเรียนยังได้รับรางวัลโรงเรียนต้นแบบด้านโภชนาการ 2568 จากกระทรวงสาธารณสุข
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือ การกำหนดให้มีปริมาณน้ำตาลเป็นส่วนประกอบของอาหารและเครื่องดื่มที่จำหน่ายภายในโรงเรียนในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 , งดจำหน่ายน้ำอัดลม, ไม่มีน้ำตาลเป็นเครื่องปรุง นอกจากนี้ยังออกแบบเมนูอาหารโดยมีทีมโภชนาการของโรงเรียนเป็นผู้กำหนดและให้เด็กและผู้ปกครองมีส่วนร่วมให้การเลือกเมนูอาหาร
แผ่นป้ายข้อความ “ลด หวาน มัน เค็ม เติมเต็มผักผลไม้” ถูกนำมาติดภายในโรงอาหารของโรงเรียน ขณะที่บริเวณบันไดขึ้นชั้นเรียนมีข้อความกำกับจำนวนแคลอรี่ที่นักเรียนได้ใช้การการก้าวขึ้นบันไดในแต่ละขั้น
ข้อความ “ลด หวาน มัน เค็ม เติมเต็มผักผลไม้” ติดไว้ในโรงอาหารของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สะท้อนความใส่ใจด้านโภชนาการ
“สิ่งที่สังเกตเห็นคือเด็กที่อ้วนเวลาเรียนหนังสือจะไม่มีสมาธิ มีเรื่องความอ่อนเพลียในร่างกาย” วราภรณ์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กล่าว แต่หลังจากที่โรงเรียนมีมาตรการด้านโภชนาการ เธอก็เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน “ด้านการเรียน เด็กมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น ด้านร่างกายเด็กจะน้ำหนักลดลง ด้านอาหารเด็กจะรู้จักเลือกอาหารมากขึ้น รู้ว่าอะไรมีประโยชน์ อะไรที่ไม่ควรทาน ด้านสังคมเด็กเขาจะมีความมั่นใจในตัวเอง”
นักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยถือถาดอาหารไปรับประทานในห้องเรียน โดยเมนูอาหารได้รับการออกแบบร่วมกับทีมโภชนาการของโรงเรียน โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนและผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการเลือกเมนู
ผลกระทบที่กว้างกว่าสุขภาพ
ปัญหาโรคอ้วนในเด็กไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล สำหรับประเทศไทย คาดว่ามูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากโรคอ้วนอยู่ที่ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาจพุ่งถึง 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 หากไม่มีการแก้ไข
ในภาพใหญ่ มีหลายหน่วยงานในประเทศไทยพยายามผลักดันเพื่อแก้ปัญหา ‘โรคอ้วนในเด็ก’ ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ออกมาตรการต่าง ๆ เช่น การเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ซึ่งช่วยให้ปริมาณน้ำตาลลดลงร้อยละ 10 แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางอาหารที่ดีให้กับเด็ก
บันไดพร้อมป้ายบอกแคลอรี่ในแต่ละขั้น กระตุ้นให้นักเรียนตระหนักถึงการใช้พลังงานและดูแลสุขภาพผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ปัจจุบัน ยูนิเซฟได้สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย เช่น สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย ในการผลักดันร่าง พ.ร.บ ควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก
ขณะเดียวกัน การสร้างความตระหนักให้กับเด็ก ๆ และผู้ปกครองก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยูนิเซฟได้ออกแคมเปญ “กินไรดี” โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่ม Gen Z (อายุ 13–24 ปี) และพ่อแม่ของเด็กเล็ก โดยนำเสนอแนวทางง่าย ๆ ในการสร้างพฤติกรรมการกินที่ดีในชีวิตประจำวัน เพื่อให้พวกเขาหันมาเลือกกินอาการที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และตระหนักถึงผลเสียจากการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์
“ทุกคนและทุกภาคส่วนต้องมาช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กและครอบครัวเข้าถึงอาหารที่ดีและมีประโยชน์ได้ เพราะโภชนาการที่ดีคือรากฐานของการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกาย พัฒนาการทางสติปัญญา และศักยภาพของเด็ก” ศิริรัฐกล่าว
การแก้ปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากภาครัฐ เอกชน โรงเรียน ครอบครัว และตัวเด็กเอง เพื่อการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมโภชนาการที่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว โรคอ้วนในเด็กไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพ แต่เป็นเรื่องสิทธิเด็กที่จะได้เติบโต เรียนรู้ และพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ







