ไฟเกษตรอีสาน: โจทย์ท้าทายระหว่างฐานเสียงกับผลกระทบฝุ่นคนกรุง

พฤติกรรมการเผาของภาคอีสานจะเริ่มหนาแน่นในเดือนธันวาคม เป็นช่วงหลังเก็บเกี่ยว
KEY
POINTS
- ภาคอีสานเป็นแหล่งกำเนิดไฟในภาคเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะการเผาตอซังข้าวและอ้อย ซึ่งควันพิษจะถูกลมมรสุมพัดพามาสร้างผลกระทบต่อปัญหาฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ
- การแก้ปัญหาของภาครัฐไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่จริงจัง เพราะเกรงจะกระทบต่อเกษตรกรซึ่งเป็นฐานเสียงทางการเมืองที่สำคัญ
- รัฐบาลเผชิญความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อคนเมือง กับการรักษาคะแนนนิยมจากเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งเป็นความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ที่ละเอียดอ่อน
พื้นที่ภาคอีสานมีไฟในที่โล่งภาคเกษตรมากที่สุด เพราะมีพื้นที่มากสุดและใช้ไฟกันครอบคลุมทุกอำเภอ พฤติกรรมการเผาของภาคอีสานจะเริ่มหนาแน่นในเดือนธันวาคม เป็นช่วงหลังเก็บเกี่ยว พืชหลักที่ใช้ไฟก็คือข้าว และ อ้อย สถิติของจิสด้ารายงานพื้นที่เผาไหม้ (Burned Scars) ระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2567-31 พฤษภาคม 2568 มีจำนวน 3,518,251 ไร่
สถิติของฤดูไฟในปีที่ผ่านมา คือโจทย์ของรัฐบาลที่จะต้องแก้ไขในฤดูไฟปีนี้ ด้วยเพราะอีสานเป็นต้นทางลมพัดฝุ่นควันหอบเข้ากรุงเทพฯ เป็นประจำทุกปี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม จากอิทธิพลลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ลมหนาว) แหล่งกำเนิดมลพิษของภาคอีสานถูกละเลยทางนโยบาย ด้วยอาจเพราะมีปัญหาที่น้อยกว่าทางภาคเหนือ จึงดูเหมือนว่าความสนใจและการทุ่มเททรัพยากรไปทางโน้นมากกว่า ที่จริงแล้วอีสานก็ประสบผลกระทบทางมลพิษอากาศ หากลมสงบเมื่อไหร่ค่ามลพิษจะสูงขึ้นทันทีในระยะที่ว่า และยังเป็นต้นลมพัดไปยังภาคกลางและกรุงเทพฯ อีกทางหนึ่ง
เผาอ้อย เผานาข้าว สาเหตุหลักฝุ่นมลพิษภาคอีสาน
ในจำนวนสามล้านห้าแสนกว่าไร่ของไฟเกษตรอีสาน มีสัดส่วนรอยไหม้ตามแต่ละเดือน ดังนี้
- พฤศจิกายน 14,278 ไร่
- •ธันวาคม 242,088 ไร่
- •มกราคม 887,984 ไร่
- •กุมภาพันธ์ 865,757 ไร่
- •มีนาคม 944,616 ไร่
- •เมษายน 48,3728
- •พฤษภาคม 79,419 ไร่
จะเห็นได้ชัดเจนว่า ช่วงที่ไฟภาคเกษตรอีสานเกิดมากที่สุดคือ ระหว่าง มกราคม-มีนาคม พื้นที่รอยเผาไหม้มากกว่าเดือนละ 8 แสนไร่
สาเหตุที่ทราบกันทั่วไป ก็คือ มีการเผาอ้อยเพื่อเก็บเกี่ยวส่งโรงงานที่รัฐพยายามหาทางแก้ไข เมื่อฤดูอ้อยที่ผ่านมามีการปิดโรงงานที่รับซื้ออ้อยเผาเกินโควตา ส่วนพื้นที่นาข้าวนั้น มีการเผาเพื่อเตรียมแปลงรอรับฤดูนาปรัง ปัญหาการเผานาข้าวเพื่อเร่งแปลงปลูกรับนาปรัง เกิดมากแถบพื้นที่ชลประทานตามแนวแม่น้ำชี ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ช่วงเดือนธันวาคม
ขณะที่ในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ภาคอีสานเผาไร่นามากกว่า 8 แสนไร่ เกิดมากในตอนใต้ของจังหวัดอุดรธานี เป็นแนวซ้าย-ขวา เขตศรีธาตุ กระนวน หนองกุงศรี วังสามหมอ ห้วยเม็ก มีไฟที่มีพฤติกรรมลามกลางวันข้ามคืน ไม่ใช่เป็นไฟที่เผาเฉพาะแปลงดับจบ
ส่วนทางอีสานใต้ก็มีการเผาตามแนวลำน้ำมูล จากอุบลราชธานี ไปทางซ้ายตอนเหนือของศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ส่วนทางโคราชมีเผามากด้านตะวันตก จักราช เทพสถิต บำเหน็จณรงค์ ทั้งหมดก็เผาแบบกลางวันต่อกลางคืนเช่นเดียวกัน
เดือนมีนาคมชาวอีสานเผาอะไร? เผาทำไม? ทั้งที่ไม่ถึงฤดูเพาะปลูก
พฤติกรรมการเผาข้ามคืนของภาคอีสาน ยังมีให้เห็นทั่วไปตลอดทั้งเดือนมีนาคม เดือนดังกล่าวนี้มีการเผามากสุด 9.4 แสนไร่ นอกจากแปลงเกษตรที่เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ ยังมีไฟในป่า เช่นที่ อช.ภูพาน อช.ภูผายล
ประเด็นคำถามที่ควรจะได้คำตอบโดยเร็ว เพราะมีประโยชน์ต่อการวางแผนแก้ไข นั่นก็คือ ในเดือนมีนาคมชาวอีสานเผาอะไร และเผาทำไมในพื้นที่เกษตร ด้วยเพราะยังไม่ถึงฤดูเพาะปลูก และพื้นที่นาปรังก็เริ่มปลูกไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังเผาข้ามคืนแบบลามทุ่งอีกต่างหาก
การเผากลางคืนมีปัญหามาก เพราะอากาศปิด กดต่ำ หากลมอ่อนมลพิษจะสะสมไม่ไปไหน ค่ามลพิษรายชั่วโมงของภาคอีสานที่สูงกว่า 100 มกค./ลบ.ม. พบเห็นได้เป็นประจำจากภาวะอากาศที่ว่า เช่น ในช่วงเก็บเกี่ยวเตรียมแปลงเดือนธันวาคม 2566 ค่าฝุ่น pm2.5 รายชั่วโมง ณ สถานีวัดสวนสาธารณะแก่งดอนกลาง คพ. ขึ้นไปเกิน 100 มคก. ต่อเนื่อง
การเผาจำนวนมากต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูเก็บเกี่ยว ยาวไปข้ามฤดูแล้ง มากถึงกว่า 3.5 ล้านไร่ และ พฤติกรรมการเผาข้ามคืน ที่ก่อมลพิษเกินมาตรฐานต่อเนื่องให้กับภาคอีสานคือปัญหาที่รัฐต้องเร่งแก้
ปัญหาก็คือ นโยบายของรัฐในเรื่องนี้ไม่ได้เอาจริงกับภาคอีสานมากนัก ไม่เท่ากับภาคเหนือที่มีความรุนแรงกว่า อีกทั้งสื่อและสังคมจับตามอง ตัวอย่างง่ายที่สุด เมื่อมกราคม ต้นปี 2568 ที่ผ่านมาในระหว่างรัฐบาลแพทองธาร กำลังเผชิญเหตุค่าฝุ่นในกรุงเทพฯ สูงเกินมาตรฐานต่อเนื่อง ได้ยกระดับมาตรการ
ต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทยในขณะนั้น ได้ประกาศห้ามเผาเด็ดขาดและเน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัด กำชับห้ามมีการเผาที่โล่ง แต่ปรากฏว่า การลอบเผาก็ยังเกิดขึ้นทั่วไป สำหรับการลอบเผาในป่าอาจจะคุมไม่ได้ เพราะเป็นเขตป่าที่ตรวจตราและเข้าถึงได้ยาก แต่การเผาที่เกษตรริมถนนก็ยังเกิดขึ้นทั่วไป แถมยังเผาลามข้ามคืนซึ่งสามารถมองเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า
ซึ่งนั่นก็พอเข้าใจได้ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะฝ่ายปกครอง จำเป็นต้องแสร้งหลับตาข้างหนึ่ง หากเอาผิดจริงกับเกษตรกร จะกลายเป็นความเดือดร้อนกับราษฎรที่เคยชินกับพฤติกรรมนี้ อีกทั้งรัฐเองก็ไม่ได้เตรียมมาตรการบรรเทาปัญหารองรับมาก่อน เช่น หากไม่ให้เผา ได้เตรียมรถไถกลบไว้ทดแทนให้ เป็นต้น จึงทำให้สถิติการเผาหลังคำสั่งห้ามเด็ดขาด คือการเผาในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ก็ยังมากมายเช่นเดิม ทั้งภาคกลาง ภาคอีสาน
จับตารัฐบาล จะมีมาตรการใดแก้ปัญหาการเผาภาคเกษตร ?
ในปีนี้ ภาคอีสานจะเป็นที่น่าจับตา ด้วยเพราะเป็นฐานเสียงเลือกตั้งของพรรครัฐบาล ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อยุบสภาหาเสียงเลือกตั้ง สิ่งที่น่าจับตาสำหรับฤดูการเผาปี 2568/2569 ที่จะเริ่มหนาแน่นตั้งแต่พฤศจิกายนเป็นต้นไป ก็คือ รัฐจะมีมาตรการเช่นไรกับการเผาที่โล่ง โดยเฉพาะภาคเกษตรในภาคอีสาน
รากปัญหามลพิษฝุ่นควันประการหนึ่งก็คือ ความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ Conflict of Interest ระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคม กระบวนการผลิตทางการเกษตร ยังประโยชน์ให้กับเกษตรกรก็จริง แต่ฝุ่นควันไฟผลพวงของมันก่อผลกระทบต่อประชาชนอีกกลุ่มในเมือง ง่ายๆ เช่น เผาที่ภาคอีสาน ลมหนาวหอบมาภาคกลาง
จากนี้ ควรให้ความสนใจว่ารัฐบาลจะมีมาตรการและปฏิบัติเช่นไรกับปัญหาการเผาภาคเกษตรในฤดูนี้ เวลาที่เหลือเพียงสั้นๆ ก่อนถึงฤดูเก็บเกี่ยว ได้เตรียมการรองรับต่างๆ เช่น มาตรการทดแทนการเผา มาตรการบริหารการเผา (ชิงเผาโดยขออนุญาตและกำหนดช่วงเวลาระบายอากาศดี) มีความพร้อมแค่ไหน อย่างไร เพราะเป็นพื้นที่แหล่งกำเนิดใหญ่ที่มีผลกระทบและถูกละเลยมองข้ามมานาน
หากรัฐทำไม่ทันตามแผน (ที่เคยอนุมัติมาตรการให้เร่งรัฐจัดการเผาภาคเกษตรตั้งแต่ปี 2567) รัฐต้องแสร้งหลิ่วตาให้มีการเผามากมายภาคเกษตรต่อไปด้วยเพราะใกล้เลือกตั้งมาตรการห้ามจะมีผลต่อคะแนนนิยม ในมิติการแก้ปัญหามลพิษฝุ่นควันของรัฐก็จะล้มเหลว กลายเป็นดาบย้อนมาฟาดใส่ตัวเองอีก
อย่าลืมว่าการเผาเกษตรในภาคอีสาน ที่มีการเมืองเกี่ยวข้องแน่นอน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เคยมี ส.ส.เพื่อไทย เป็นแกนนำชาวไร่อ้อยประท้วงรัฐบาลเพื่อไทย แพทองธาร ด้วยกันเอง ที่ไปปิดโรงงานและยุติการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ นี่เป็นตัวอย่างความละเอียดอ่อนของการเผาภาคเกษตรในอีสาน ที่เป็นหนังตัวอย่างเพิ่งผ่านมาไม่นาน
ปัญหามลพิษฝุ่นควันมีรากเหง้าจากความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ Conflict of Interest ..การเผาภาคเกษตรนี่ชัดเจน..จะเลือกยังไง
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







