จะมีการทูตเชิงรุก กรณีเหมืองสารพิษข้ามแดนเมื่อไหร่ ?

ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในเมียนมา ปนเปื้อนในแม่น้ำหลายสายทางภาคเหนือของไทย แนวทางการทูตแบบค่อยเป็นค่อยไปของรัฐบาล ยังไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและยั่งยืน
KEY
POINTS
- เกิดปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในเมียนมา ส่งผลให้สารปรอทและโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำสายสำคัญทางภาคเหนือของไทย
- แนวทางการทูตแบบค่อยเป็นค่อยไปของรัฐบาลไทย ที่ใช้เจรจากับเมียนมายังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน โดยยังคงตรวจพบการปนเปื้อนอย่างต่อเนื่อง
- ผู้เขียนเสนอให้ไทยพิจารณาใช้ "การทูตเชิงรุก" หรือ "การทูตเสียงแข็ง" เพื่อกดดันให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยยกตัวอย่างความสำเร็จของสิงคโปร์และมาเลเซียในกรณีปัญหาหมอกควันข้ามแดน
ประชาชนชมชอบการทูตเชิงรุกของ รมว.ต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) เกี่ยวกับกรณีพิพาทชายแดนกับกัมพูชา (แถลงเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับรัฐบาลใหม่ตั้งแต่ยังไม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
การทูตเชิงรุกมีหลายระดับ ที่จริงถ้อยแถลงตอบโต้แบบตรงไปตรงมา บอกไปเลยที่ท่านแถลงไปนั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกเป็นแบบนี้ ท่านทำไม่ถูกนะ โดยใช้ภาษาที่เป็นทางการผ่านเวทีสหประชาชาติวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐกัมพูชา เช่น กล่าวหาว่า “บิดเบือนข้อมูล” “แสดงตนเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า” “ละเมิดอธิปไตย” ฯลฯ เป็นแค่ระดับ 2 จากบันได 8 ขั้น
ระดับการตอบโต้จากเบาไปหาหนักแปดระดับที่ว่า ประกอบด้วย ระดับการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ < การทักท้วงอย่างเป็นทางการ < การกดดันเชิงสถาบันเช่นการยื่นประท้วง หรือบอยคอต < การลดระดับความสัมพันธ์ < มาตรการตอบโต้รูปธรรม เช่น ขับทูต หรือ คว่ำบาตร < การตัดสัมพันธ์ทางการทูต < มาตรการตอบโต้ต่อความมั่นคง เช่น ซ้อมรบ > การใช้กำลัง
ถ้อยแถลงของ รมว.สีหศักดิ์ เข้มๆ อยู่แค่ระดับ 2 เท่านั้น แต่ประชาชนชอบ เพราะมันแปลกแบบนานๆ เจอที ...ดูเหมือนว่าการต่างประเทศของไทยไม่ใคร่จะแสดงอะไรแบบบู๊ๆ ให้เห็นมากนัก ส่วนใหญ่เล่นบทเพื่อนบ้านใจดี ระมัดระวังตัวมาตลอด
เปิดเคสการทูตเชิงรุกในต่างประเทศ ผลักดันจนแก้ปัญหาได้จริง แต่ยังคงสัมพันธ์เช่นเดิม
ที่จริงแล้วการทูตเสียงเข้ม เล่นหนักแต่อยู่ในกรอบ.. ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาด การโต้แย้งถกเถียงเจรจาด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นจากปกติ ขอให้อยู่ในกรอบเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และส่วนใหญ่ไม่ได้นำมาซึ่งการแตกหักร้าวฉานขยายออก
กรณีใกล้ตัวในอาเซียนเมื่อสองทศวรรษก่อนระหว่างเหตุ มลพิษหมอกควัน ข้ามแดน จากเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ข้ามไปรบกวนสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งมันย่ำแย่จริง โรงเรียนปิด เฟอรี่ต้องหยุด หมอกขาวขุ่นปิดเกาะทั้งเกาะ ในตอนนั้นสิงคโปร์ใช้การทูตเชิงรุก เสียงแข็งกับอินโดนีเซีย ไม่ใช่แค่ระดับสองที่นำเรื่องเข้าที่ประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน แต่ผลักดันให้มีกลไกพหุภาคีตั้งเป้า ASEAN Haze Free ใช้ทวิภาคีกดดัน
ยกตัวอย่างเช่น เสนอส่งหน่วยดับไฟเข้าไปช่วย ยังมีระดับการทูตเสียงแข็งที่หนักยิ่งกว่าระดับสอง คือ ใช้การฟ้องร้องเอกชน และโต้เถียงผ่านสื่อระหว่างรัฐมนตรี ที่ไม่ใช่เวทีทางการแต่เป็นการโต้กันแรงๆ แบบทะเลาะด้วยซ้ำ
ปัญหานี้ค่อยๆ คลี่คลายลงเรื่อยๆ เพราะอินโดนีเซียเอาจริง จะด้วยการถูกกดดันจากเพื่อนบ้านแรงๆ หรือการมองเห็นปัญหาด้วยตนเองก็ตามที ที่สำคัญก็คือ ระดับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน สิงคโปร์ มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
การทูตเสียงแข็ง เป็นกลไกปกติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายรู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่ เรื่องที่ต้องเอาจริง และฉันไม่ยอมนะอย่างเป็นทางการและอยู่ในกรอบสากลยอมรับ อุปมากับการเสียบสกัดแบบแฟร์เพลย์ในเกมฟุตบอล แรงในเกม ไม่ใช่ทำฟาวล์
กรณีปัญหาเหมืองสารพิษ แก้เกมด้วยการทูตเชิงรุกได้ไหม?
ปัญหาหมอกควันข้ามแดนที่ช่องแคบมะละกาเมื่อสองทศวรรษก่อน เป็นปัญหาลักษณะเดียวกับสารพิษจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ที่ส่งผลกระทบ ข้ามมาถึงจังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย และลุ่มน้ำโขง ก็คือ กิจกรรมที่ส่งผลกระทบวงกว้างข้ามแดนระหว่างเพื่อนบ้าน ซึ่งจะว่าไป ปัญหามลพิษอากาศเกิดแค่ช่วงเวลาสั้นๆ มีขนาดความรุนแรงน้อยกว่า
สารพิษที่แพร่มาทางสายน้ำข้ามแดน ส่งผลกระทบวงกว้างต่อนิเวศ พืชพันธุ์ สะสมในดิน แพร่ต่อไปถึงลุ่มน้ำโขง ร้ายแรงกว่ากันชัดเจน
สิงคโปร์ มาเลเซีย เลือกใช้การทูตเสียงแข็ง กดดันด้วยวิธีการต่างๆ ไปยังรัฐบาลอินโดนีเซียโดยตรง ขนาดมีรัฐมนตรีตอบโต้ผ่านสื่อ และการฟ้องร้องบริษัทเอกชนที่ไปลงทุนในสุมาตรา
ปัญหาสารพิษข้ามแดนแพร่ตามสายน้ำมาจากการทำเหมืองแร่ที่ไม่รับผิดชอบได้รับการพิสูจน์ยืนยันโดยหน่วยงานของรัฐมาตั้งแต่ต้นปี เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันสามารถแพร่ขยายไปยังห่วงโซ่อาหาร แพร่ต่อไปยังลุ่มน้ำโขงเป็นพื้นที่กว้างขวางมาก
และเมื่อมองไปยังต้นเหตุการทำเหมืองในเขตพื้นที่อิทธิพลชนกลุ่มน้อยชายแดน มีทุนไม่ทราบสัญชาติหนุนหลัง และก็ไม่มีหลักประกันว่ารัฐบาลเมียนมาร์ ที่เนย์ปีดอมีอำนาจทางนโยบายต่อพื้นที่การทำเหมืองของชนกลุ่มน้อยหรือไม่ แค่ไหน ปัญหามีความซับซ้อนมาก
ไทยใช้การทูตแบบค่อยเป็นค่อยไป กับปัญหาเหมืองแร่สารพิษ ?
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยที่ผ่านมากลับคิดแตกต่างจากสิงคโปร์ มาเลเซีย โดยการเลือกใช้ท่วงทำนองทางการทูตแบบค่อยเป็นค่อยไป ที่ผ่านมามีการประชุมร่วมกับรัฐบาลเมียนมาร์โดยตัวแทนระดับรัฐมนตรีไปแล้ว
แนวทางข้อเสนอของไทยคือ ขอให้เมียนมาร์ปรับปรุงการทำเหมืองไม่ให้เกิดผลกระทบแพร่ลงมา สาธารณะรับรู้ผลการเจรจาแค่หัวข้อ ไม่มีรายละเอียดของแนวทาง เครือข่ายประชาคมผู้รับผลกระทบยังแสดงความแคลงใจตลอดมา ว่า การทำเหมืองแบบเปิดและขยายตัวอย่างรวดเร็วจากภาพดาวเทียมที่ปรากฏ จะต้องใช้มาตรการปรับปรุงขนาดไหนเพื่อควบคุมผลกระทบในระดับที่ข้ามแดนและแพร่กระจายในลำน้ำสาธารณะเกินมาตรฐาน
จนบัดนี้กรมควบคุมมลพิษ ได้ตรวจสารปรอทและโลหะหนักในลำน้ำกก น้ำสาย และลำน้ำโขง ต่อเนื่องมาตั้งแต่มีนาคม-กันยายน 2568 รวม 10 ครั้ง ผลก็คือ พบสารปรอทในแม่น้ำทุกครั้ง ยกเว้นครั้งล่าสุดสารปรอทอยู่ในระดับมาตรฐานในแม่น้ำกก แต่แม่น้ำสายยังเกินมาตรฐาน
ภาคประชาคมมองว่าแม้สารพิษจะหายไปในรอบนี้ แต่อาจด้วยฝนตกน้ำมาก หรือ ทางเหมืองแหล่งต้นทางหยุดการปล่อยสารแพร่ออกมาเพราะถูกจับตา ยังไม่มีความแน่นอนและความเชื่อมั่นยั่งยืน
กรมควบคุมมลพิษ ยังไม่กล้าสรุปว่าสถานการณ์ดีขึ้นแบบชัดเจน
กรมควบคุมมลพิษวิเคราะห์ข้อมูลว่า ผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำและตะกอนดินอย่างต่อเนื่อง แม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ยังมีสีน้ำตาลแดง มีค่าความขุ่นสูง ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน ยกเว้นแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ทุกจุดตรวจวัด พบค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.011 - 0.022 มก./ล.)
นอกจากนั้น จากผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมในฤดูฝน ตั้งแต่พายุวิภาช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 มีฝนตกต่อเนื่องปริมาณน้ำท่ามาก อาจเจือจางให้ค่าโลหะหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนค่าที่เกินมาตรฐานในบริเวณแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก อาจเนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งกำเนิด จนทำให้การเจือจางด้วยปริมาณน้ำท่ายังไม่มากพอที่จะลดการปนเปื้อน ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้
ถ้อยแถลงของกรมควบคุมมลพิษเองก็ยังไม่กล้าสรุปว่าสถานการณ์ดีขึ้น แม้จะมีมาตรการเจรจาระหว่างประเทศไปแล้ว
หากว่าเมื่อพ้นฤดูฝน เข้าสู่หนาว-แล้ง ปริมาณน้ำลดลงมาเป็นปกติ และยังพบสารโลหะหนัก สารปรอทแพร่ออกมาเช่นเดิม ถึงเวลาหรือยังที่รัฐได้ทบทวนมาตรการท่วงทำนองและท่าทีเจรจาใหม่ เมื่อถึงเวลานั้นการทูตเสียงแข็งแบบที่สิงคโปร์ - มาเลเซีย ประสบความสำเร็จควรจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง รออยู่ในแฟ้มกลยุทธ์
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







