กิ่งก้านใหม่ของ 'ไกลบ้าน': คุยกับ 'ฟาโรส' เรื่องสำนักพิมพ์และคอมิกส์เล่มแรก

ชวนคุยกับ ‘ฟาโรส’ ณัฏฐ์ กลิ่นมาลี ว่าด้วยกิ่งก้านใหม่อย่างสำนักพิมพ์ ABÚBOGO และคอมิกส์เล่มแรก ภายใต้ ‘จักรวาล FAROSE’
คงไม่เกินจริงไปนัก หากจะบอกว่า ‘FAROSE’ และ ‘ไกลบ้าน’ คือหนึ่งในช่องและรายการในยูทูบที่ได้เราได้ยินชื่อบ่อยครั้งมากที่สุดชื่อหนึ่ง
ว่ากันว่าความนิยมของช่องที่เพิ่มมากขึ้นมาจากสาระความรู้ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่าง ‘ไม่ยัดเยียด’ ด้วยน้ำเสียงและภาษาเฉพาะตัวที่เน้นสื่อสารกับคอมมิวนิตี้ของตัวเอง หรือที่เรียกกันว่า ‘ชาวช่อง’
วันนี้ นอกจากรายการไกลบ้าน, People You May Know, ช่างเชื่อม ฯลฯ รวมถึงอีเวนต์ใหญ่ประจำปีอย่าง FaraTALK ที่กดบัตรยากพอๆ กับคอนเสิร์ตศิลปินดังแล้ว
ล่าสุดกระโดดสู่วงการหนังสือ โดยเปิดตัวหนังสือคอมิกส์ ‘FAR FROM HOME : The Dawn of the Mortal Quest’ และ สำนักพิมพ์ ABÚBOGO ที่เปิดพรีออเดอร์ไปได้แค่ 5 วัน ยอดจองทะลุไปถึง 15,000 เล่ม จนต้องปิดก่อนกำหนด
‘กรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย’ ชวนไปนั่งคุยกับ ฟาโรส - ณัฏฐ์ กลิ่นมาลี เกี่ยวกับ ‘กิ่งก้านใหม่’ ในจักรวาลแห่งนี้ รวมถึงมุมมองต่อทิศทางในอนาคต
ได้ยินว่า โปรเจกต์ ‘FAR FROM HOME’ เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เล่าถึงจุดเริ่มต้นให้ฟังได้ไหม
มันมีหลายความรู้สึก อย่างเรื่องที่เล่าในไกลบ้าน อีพีที่ 134 ไปว่าเป็นเรื่องการเก็บกระดูกของแอนนี่ (หนึ่งในดาราหลัก) อันนี้ก็เรื่องหนึ่ง
อีกเรื่อง คือ ความรู้สึกว่าถ้าเราจะทำอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือ ก็อยากเปิดตัวด้วยหนังสือที่คนอาจจะนึกไม่ถึง และเรารู้สึกว่ามีอย่างหนึ่งที่น่าทำคือ ‘คอมิกส์’ เพราะชอบส่วนตัวอยู่แล้วด้วย ประกอบกับตอนที่ไปฝรั่งเศส ทางแถวนั้นหรือเบลเยียม วงการคอมิกส์เฟื่องฟูมาก จะมีสำนักพิมพ์ มีโรงเรียนสอนเต็มไปหมด
พอมาสำรวจอุตสาหกรรมนี้ในไทยก็พบว่าคนไทย ศิลปินไทยมีความสามารถในด้านนี้เยอะมากเลย แต่ว่ามันไม่มีโอกาส อุตสาหกรรมนี้มีความแห้งเหี่ยว ซึ่งฟาเป็นคนเห็นความสามารถของคนแล้วเราเสียดาย ก็เลยคิดว่าการครั้งนี้จะเป็นโปรเจกต์ที่ดี
บวกกับอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘ไกลบ้าน’ ก็ร้อยกว่าเทปไปแล้ว ทำจนมีเพื่อนจากไปแล้ว.. ‘ความไกลบ้าน’ มันมีอะไรอยู่ เรามองว่าน่าสนใจถ้ามันจะเปลี่ยนถ่ายไปสู่อีกฟอร์แมตหนึ่ง หมายถึงว่ามันเคยเป็นฟอร์แมตที่เป็นวิดีโอมาตลอด ตอนนี้ถ้ามันอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง มันจะเป็นไปได้ไหม ซึ่งต้องยอมรับว่าวันนั้นที่ทำไม่ได้คิดว่ามันจะทำได้หรือไม่ได้ แค่อยากลอง
แน่นอนพูดให้ใครฟังทุกคนก็จะส่ายหน้าบอกว่ามันน่าจะเจ๊ง ลงทุนเยอะ แต่พอเราสนใจ เราก็เริ่มหาข้อมูลเองว่าต้องทำอะไรบ้าง สุดท้ายก็พบว่ามันเป็นไปได้
ไอเดียตั้งสำนักพิมพ์มาพร้อมๆ กับตัวหนังสือเลยไหม?
ให้ทาย (ยิ้ม)
หนังสือมาก่อนค่ะ.. ส่วนสำนักพิมพ์เนี่ย ด้วยความที่เพื่อนพี่น้องทำกันเยอะ แล้วเรารู้สถานการณ์ว่ามันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการคิดว่าอยู่ๆ ทำเรื่องสำนักพิมพ์มันเป็นอะไรที่แบบโห สวนกระแสมาก แบบว่าโลกบ๊ายบายสิ่งพิมพ์ไปนานแล้ว
แต่ว่าพอมันเกิดโปรเจกต์คอมิกส์ขึ้นมา เอาตรงๆ มันคือเรื่องเงิน เพราะว่าเราลงทุนไปเยอะ พอลงไปเยอะมากเราก็มานั่งคิดว่าตอนขายจะขายอย่างไร
เลยได้ทราบว่า วงการนี้รายได้ 100% มันแบ่งไปให้ผู้จัดส่งเท่านี้ เหลือเท่านี้ สุดท้ายเหลือมาที่เรา 7% 10% หรือ 12% แค่นี้เอง แล้วฉันลงเงินไปเยอะมาก ทำไมเราต้องไปเสียเงินค่าขาย เราต้องได้มันร้อยเปอร์เซ็นต์
พูดตรงๆ เลยว่ามันเป็นธุรกิจ มันเป็นเงินที่เราลงทุนไป เพราะฉะนั้นเราต้องได้คืนมา ก็เลยเปิดเอง
แล้วมันคงไม่เปิดมาเพื่อจะทำเล่มนี้เล่มเดียว ก็ไปนั่งเช็กว่ามันมีอะไรอีกที่เป็นวัตถุดิบ ก็พบว่า นี่ไง ‘แก๊งดาราช่อง’ เพื่อนพี่น้องทั้งหลาย เขาก็เป็นอาจารย์ เป็นนักวิชาการ เป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ เขียนหนังสือดี มีความชอบแบบปรัชญา ประวัติศาสตร์ และศิลปะ
หลังจากการที่เราได้ทดลองจัดอีเวนต์กับชาวช่อง ก็ได้เห็นว่ามันมีดีมานด์ ก็เลยรู้ว่ามันก็น่าลองแหละ คนเขียนก็มี คนอ่านก็น่าจะรออยู่
ถ้านับว่าการทำคอมิกส์กับสำนักพิมพ์เป็นอีกหนึ่งจุดเลี้ยว ชีวิตที่ผ่านมา คุณผ่านมากี่จุดเลี้ยวแล้ว
ชีวิตเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (นิ่งคิด...)
ย้ายที่เรียนหนังสือ กำลังมีเพื่อนอยู่ อ้าวโดนย้ายอีกแล้ว ย้ายทั้งครอบครัว เราก็ต้องปรับตลอดเวลา
ตอนเด็กไม่รู้ตัวเลย พอโตขึ้นถึงรู้ตัวว่า อ้าวตายแล้ว การที่เจอความเปลี่ยนแปลงตลอดเป็นสิ่งที่ดีหรือนี่ (หัวเราะ) ตอนเด็กจะรู้สึกว่าอยากอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้ ทำไมเจอความเปลี่ยนแปลงแบบนี้
แต่การย้ายจังหวัด การย้ายที่เรียน มันทำให้พอโตขึ้น เราเป็นคนปรับตัวง่าย เพราะฉะนั้นถามว่าเลี้ยวกี่ครั้ง ตอบไม่ได้ เราเลี้ยวเยอะมาก
หนังสือก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เลี้ยว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นทางเลี้ยวใหญ่มาก เปรียบทั้งหมดเป็นเหมือน ‘ต้นไม้’ ดีกว่า แล้วหนังสือก็คือกิ่งหนึ่งของต้นไม้ แล้วถ้าวันหนึ่งสมมติมันไปไม่ไหว มันก็ตายไปกิ่งเดียว แก่นลำต้นก็น่าจะยังคงอยู่ (ยิ้ม)
แล้วรับมือกับกิ่งที่มันตายไปอย่างไร
รับได้อย่างไรหรอ (นิ่งคิด...)
ตอบยากมากเลยอ่ะ เพราะว่าก็เป็นคนที่รับได้อยู่แล้ว (หัวเราะ)
ก็แค่ต้องเอากิ่งที่ตายไปแปรรูปมั้ง ถ้ามันจะไม่รอด มันจะกลายเป็นอย่างอื่นได้ไหม จะตัดทิ้งก็ตัดได้ แต่ถ้ามันจะเปลี่ยนกลายเป็น ระแนงได้ไหม เอาไปทำอย่างอื่นได้ไหม มันก็คือวิธีคิดว่าทุกอย่างมีการลงทุนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาก็อาจจะปรับสิ่งนั้นไปเป็นอะไรสักอย่าง
หลายๆ ครั้งที่งอกกิ่งใหม่ขึ้นมา เพราะเริ่มอิ่มตัวกับกิ่งเดิมหรือเปล่า?
ยอมรับเลยว่ามันก็ต้องมี แต่ว่าในวันที่มีความรู้สึกนี้ขึ้นมา เราก็ต้องบาลานซ์ความรู้สึกตัวเองว่า แล้วเรามีความสุขอยู่ไหม แน่นอน ตอบได้ว่ามี แต่ว่าในความเบื่อนี้ โอเค ถ้ามีความสุขที่จะทำอยู่ แต่เมื่อมันเบื่อด้วย ก็ต้องเปลี่ยนในเชิงรายละเอียด ไปหารสชาติใหม่ๆ
เราเชื่อว่า ทุกอย่างมีช่วงเวลาของมัน มีคนถามว่าทำไมไม่สอนหนังสือต่อ เราก็ตอบได้ว่า 10 ปีที่ฉันทำตรงนั้นฉันเต็มที่กับมันแล้ว เราเต็มที่กับมันมาก เราจัดเต็มทุกอย่าง คอร์สเรียนออกแบบอย่างดี เราได้เห็นเด็กหลายสิบรุ่นเก่งขึ้น มันก็รู้สึกว่าเราทำได้ดีแล้ว เราก็ทำอย่างอื่นบ้าง ชีวิตไม่ได้เกิดเพื่อทำสิ่งนี้อย่างเดียวตลอดไป
แปลกไหม (หัวเราะ)
แต่จะบอกว่าสิ่งที่เราคิดมันสวนกระแสมาก เพราะในยุคนั้นพอคนเริ่มเป็นติวเตอร์ เขาก็จะมีอาจารย์ต้นแบบที่ต้องไปให้ถึง แต่ถามว่าเราเห็นภาพนั้นไหม เราไม่มีเลย เรารู้สึกว่าเดี๋ยวฉันก็เปลี่ยน
ข้อดีของการที่คิดอย่างนี้คือ เราจะไม่ ‘ฟอสซิลตัวเอง’ หมายถึงว่าไม่ทำให้ตัวเองเหมือนทำงานไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าเราจะทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุด ณ ช่วงเวลานี้ เพราะเรารู้ว่าในเวลาหนึ่งเราจะไม่ทำมันแล้ว แล้วมันกลายเป็นสิ่งที่ดี มันเริ่มรู้สึกแบบรีเฟรชกับตัวเองว่าฉันได้ไปสเต็ปใหม่แล้ว
ในทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจ มีความกลัวว่า มันจะออกมาไม่ดีไหม?
มันต้องมีภาพอยู่แล้ว เพราะว่าเราทำงานมันก็ต้อง Hope for the Best แต่ Prepare for the worst คิดไว้แล้วว่าเจ็บตัวแค่ไหน เจ็บแค่นี้รับได้ไหม ถ้ารับได้ทำ แต่ว่า Hope for the Best ก็คือเราก็อยากจะให้คนได้เอ็นจอย
ณ วันนี้ การที่มีคนให้ความสนใจเยอะมันแน่นอนเหมือนเราก็เราก็ดีใจอยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่เราต้องดูมากกว่าก็คือแล้วงานนี้มันดีจริงไหม เพราะฉะนั้นเราก็อยากให้คนได้สนุกกับการได้เสพเล่มนี้ ได้เสพโปรเจกต์นี้
น่ากลัวไหม ที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่ตอนที่อายุเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แหม ออกข่าวนี้ไป เดี๋ยวคนจะคิดว่าไม่ทำยูทูบแล้ว (หัวเราะ)
ไม่หรอก เพราะการที่เราเปลี่ยน มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แม้ว่าความรู้สึกจะเป็นอย่างงั้น แต่จริงๆ แล้วถ้าวิเคราะห์ดูดีๆ มันจะมีสิ่งเก่าที่ตกทอดเป็นมรดก มันจะมีแกนเดิมเพื่อไปเริ่มสิ่งใหม่
ยกตัวอย่างเช่น การทำพอดแคสต์ หรือเล่าเรื่องต่างๆ เราไม่ได้ขายหน้าตา (หัวเราะ) เรามาเน้นที่ตัวคอนเทนต์จริงๆ พอเรามุ่งเรื่องคอนเทนต์จริงๆ จริงๆ แล้วมันซับซ้อนมาก เพราะว่าข้อมูลใครก็มีอยู่ แต่ว่าการเล่าเรื่องแต่ละคนไม่เหมือนกัน
จากที่เล่ามาทั้งหมด มีเพื่อนเคยบอกว่า การที่เรามีสกิลประมาณหนึ่งในการสรุป ตั้งคำถาม ตั้งคำถามชวนคิด สรุปความคิดรวบยอดให้กลายคอนเทนต์แล้วมาพูดในรายการได้ สกิลทั้งหมดมาจากการสอนหนังสือ
หลายๆ อย่างในช่วงเวลาการสอนหนังสือ มันไม่ใช่เลิกสอนแล้วมันหายไปเลย มันก็อยู่ในตัวเรานั่นแหละ
เพราะฉะนั้นถ้าใครชมว่าทำไมจัดรายการแล้วสนุกน่าฟัง ก็จะบอกว่าเราน่าจะโชคดีที่เราผ่านการเทรนนิ่งผ่านการสอนหนังสือมา
มันคือสกิลเดิม มันยังตกตะกอนอยู่ข้างใน มันยังเหลืออยู่ แล้วมันก็เอามาใช้ทำอะไรต่อได้
อยากชวนคุยเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง PC (Political Correctness) บ้าง จากที่ติดตามไกลบ้านหลายๆ ตอน ดูเหมือนจะค่อนข้างระวังคำพูดไม่ให้กระทบเชิงลบต่อกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งอยู่เสมอ ทั้งหมดมันคือความตั้งใจไหม
(นิ่งคิด...)
ถ้าถามว่า PC ไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ มันก็มีเรื่องที่เราเห็นด้วย ว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็มีเรื่องที่ยอมรับว่าเรารู้สึกว่า มากไปก็มี
ต้องขอบคุณที่เห็นว่ามีการเลี่ยง คือมีการพยายามจะทำจริง...
เอาแบบนี้ หลักๆ ก็คือพยายามจะเลี่ยงการโดนด่า ต้องเริ่มเล่าว่า เวลาที่เราทำงาน เราทำกันหนักมาก แล้วก็โดนด่าทีหนึ่งมันเสียทุกอย่าง
เวลาเราเดินทางไปต่างประเทศ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เราเดินทางมันก็เหนื่อย ต้องเก็บคอนเทนต์ นัดหมายเพื่อนที่เขาก็ต้องรอวันหยุดมาเจอกัน แล้วไปเดินถ่าย บางทีฝนตกถ่ายไม่ได้ เก็บฟุตกลับบ้านก็ยาก มันมีอะไรเยอะกว่านั้น มันเหนื่อย กลับมาถึง ต้องมานั่งตัดงานอีก บางทีมีลูกค้าอีก เราทำเยอะมากกว่าจะออกมาหนึ่งตอน
เราก็คิดแล้วว่า ถ้าประโยคนี้มันจะทำให้ทั้งหมดที่ทำไปโดนด่าหมดเลย เราไม่ใส่ดีกว่า
คือ เหนื่อยตั้งนาน 50 นาทีที่ทำออกมา จะใส่แค่ประโยคสองประโยคให้มันขำ แต่อีก 50 คนบอกว่าไม่ขำ แล้วด่า แถมเขาก็จะมองข้ามอีก 45 นาทีที่เหลือไปเลย เราว่ามันไม่แฟร์ เราเหนื่อยตั้งนาน ทำไมเราต้องมาโดนด่าเพราะประโยคนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นตอบแบบไม่โลกสวยเลยก็คือว่าไม่ได้อิน PC แต่ไม่ชอบโดนด่า
สุดท้าย มองภาพ ‘FAROSE’ ในเชิงธุรกิจอย่างไรบ้าง อยากจะโตไปแบบไหน
ถ้าเป็นเรื่อง ‘คน’ รู้สึกว่า ณ วันนี้ แฮปปี้กับจำนวนเท่านี้ เพราะฉะนั้นการขยายมันอาจจะต้องขยายไปในเชิงของช้อยส์มากกว่า พูดง่ายๆ ก็คือฝั่งมีเดีย เราอาจจะทำเท่านี้กัน ณ วันนี้ เราแตกกิ่งไปทางอื่นๆ ไหม เช่นวันนี้เราทำโปรดักชั่นเฮ้าส์ โปรดักชั่นเฮ้าส์ก็จะเป็นอีกทีมหนึ่ง สำนักพิมพ์ก็จะเป็นอีกทีม แบ่งเป็นทีมเล็กๆ มันจัดการง่ายกว่า แต่ไม่ได้แปลว่าวันนี้จะเอาคนมาทำสตูดิโอเป็น 100 คน เราว่าเพราะว่าหลายๆ อย่าง capacity ของมันก็ถูก maximize เรียบร้อยแล้ว
การที่มีจำนวนคนดูอยู่เท่านี้ เราไม่สามารถออนวันละ 3 เทปได้ เพราะมันจะไปแย่งวิวกันเอง เราก็ต้องบอกว่าเดือนนี้ประมาณ 8 ถึง 10 คนดูกำลังรู้สึกพอดี รู้สึกรีแลกซ์ไม่มากไปไม่น้อยไป
ส่วนขนาดของทีม ก็ให้คุยกันแล้วรู้เรื่องทั่วถึง ถ้ามันใหญ่ขึ้นแล้วมันสูญเสียแบรนด์แวลู เราจะต้องคิดหนักมากเลยว่าจะต้องยอมทำสิ่งนั้นหรือเปล่า







