เมื่อ 'ความสามัคคี' คือพลัง 'สู้เหล้า' กับเรื่องราว 'คนใจเพชร' ที่ร่องเคาะ

ที่ตำบลร่องเคาะ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง มีเรื่องเล่าที่เป็นมากกว่าแค่เรื่องราวของชุมชนที่พยายาม "งดเหล้า" แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนของคนในชุมชน ภายใต้ความเป็น "ชุมชนเข้มแข็ง"
สำหรับชุมชนเล็กๆ ในภาคเหนือแห่งนี้ ได้กลายเป็นพื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลง ผ่านการขับเคลื่อนโครงการลดปัจจัยเสี่ยงด้าน แอลกอฮอล์ อย่างจริงจัง
จากคนที่เคยดื่มหลายคนในชุมชน วันนี้พวกเขาเลือก "หย่าขาด" จาก "เหล้า" เกิดเป็น "เรื่องเล่า" คุณภาพชีวิตที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่น ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ ยังมีอีกหลาย "แรงหนุน" มาการบูรณาสานพลังทุกภาคส่วนในชุมชน
ก้าวแรก ความสำเร็จ "งดเหล้างานศพ" 100%
ผลจากการขับเคลื่อนโครงการลดปัจจัยเสี่ยงนี้ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมหลายอย่าง ยกตัวอย่าง อาทิ งานบุญ งานศพปลอดเหล้า สามารถทำได้ถึง 100% ในพื้นที่อำเภอวังเหนือ โดยเฉพาะในงานศพที่ไม่มีการเลี้ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เต็มพื้นที่
มีร้านค้าสีขาว กว่า 30 ร้าน ที่ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด รวมถึงงดขายในช่วงเข้าพรรษาด้วย การลดจำนวนนักดื่ม การพัฒนาหลักสูตรสร้างภูมิคุ้มกันจิตสำนึกในโรงเรียนให้เด็กและเยาวชน
ทำให้เทศกาลงดเหล้าเข้าพรรษาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ที่นี่สามารถชักชวนให้คนร่วมงดเหล้าได้ถึง 2,069 คน ซึ่งส่งผลให้จำนวนนักดื่มลดลง และลดการบาดเจ็บจากโรคตับที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้มาก
ทศพล จักรบุญมา นายอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง กล่าวถึงความสำคัญของความร่วมมือที่นำมาสู่ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เผยว่า ก่อนหน้านี้ การดื่มเหล้าในงานศพมักนำไปสู่อุบัติเหตุจากการขับขี่รถกลับบ้าน และการทะเลาะวิวาทในงาน แต่การตัดสินใจงดเหล้าในงานเศร้าเหล่านี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่งเริ่มต้นจากการสร้างรัฐธรรมนูญตำบล ซึ่งเป็นกฎกติกาของชุมชนร่วมกัน พอเราไม่เลี้ยงในเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1.) เราลดในเรื่องของอุบัติเหตุ ที่สำคัญเราสามารถลดได้ทั้งเรื่องของการสูญเสีย 2.) ยังลดในเรื่องค่าใช้จ่ายของเจ้าของงาน
"หูตาสับปะรด" อีกกลไกเลิกเหล้า
อีกหนึ่งความเข้มแข็งของร่องเคาะเกิดจากการสร้างระบบการเฝ้าระวังกันเอง โดยการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
นงเยาว์ ประชุมชิต รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบลร่องเคาะ กล่าวว่า ได้มีการเปิดเวทีประชาคมหารือร่วมกับชาวบ้าน ออกเป็นระเบียบตำบลร่องเคาะว่าด้วยการรักษาความสงบเรียบร้อยและสร้างความเข้มแข็งในชุมชน พ.ศ. 2553 (มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2564) ถือเป็นมาตรการชุมชน โดยชุมชนจะมีการแจ้งเตือนกันเอง หากพบการแอบดื่มเหล้าในงานบุญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานบุญแห่เข้าวัด จะไม่มีการดื่มหรือขายเหล้าเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนดื่มเหล้าในงานที่มีการกำหนดไว้ ชุมชนจะใช้มาตรการปรับเงินจำนวน 2,000 บาท ซึ่งเงินนี้จะถูกนำเข้าหมู่บ้าน ชุมชนมีมาตรการเฝ้าระวังที่เข้มข้น โดยมีการตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านและอสม. ดูแล 5 ครอบครัวต่อคน หากพบเห็นการกระทำที่ผิดกฎ สมาชิกจะถ่ายคลิปวิดีโอเพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นเสมือนการใช้มาตรการตาสับปะรด ช่วยสอดส่องดูแลอย่างถี่ถ้วน
"โรงเหล้าเถื่อน" เรื่องท้าทาย
คนเหนือมักมีความผูกพันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามความเชื่อและประเพณี ซึ่งการแก้ปัญหาเรื่องของพฤติกรรม เช่น การดื่ม หากปรับพฤติกรรมอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่อีกหนึ่งกลไกที่จะช่วยให้คนเลิกดื่มได้นั้น คือการปรับสภาพแวดล้อม
ในแง่ของด้านความเชื่อและประเพณี ร่องเคาะจึงเลือกใช้บทบาทของพระสงฆ์ในการปรับความเชื่อ ให้ใช้เหล้าในปริมาณน้อยเชิงสัญลักษณ์เพื่อประกอบพิธีแทน
นงเยาว์ ยอมรับว่า การจัดการโรงกลั่นทำได้ยาก เพราะผู้ประกอบการมีการจัดตั้งโรงเหล้าถูกกฎหมาย ส่วนบางรายมีเส้นสาย หรือเป็นญาติพี่น้องกับคนในชุมชน จึงมีความเกรงใจ อย่างไรก็ตาม องค์กรในพื้นที่ก็ยังคงพยายามประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้ามาดูแลและควบคุมต่อเนื่อง
"หนีเหล้าเข้าป่า"
เรื่องราวของ "คนหัวใจเพชร" สู่ผู้พิทักษ์ป่า นนท์ โตนะโพธิ์ หรือลุงนนท์ ที่ใช้เวลา 40 ปีคลุกคลีอยู่กับเหล้า แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมา "หักดิบ" เลิกดื่มอย่างเด็ดขาด
นนท์ โตนะโพธิ์ เผยว่า ดื่มมาตั้งแต่อายุ 13 ปี จนถึง 53 ปี ก่อนเลิกดื่มผ่ายผอมน้ำหนักเหลือเพียง 30-40 กิโลกรัม ตอนนั้นร่างกายตนอ่อนแอมากมีเหงื่อออกตลอดเวลา แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดจากความสำนึกที่ว่า ญาติพี่น้องหลายคนมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี เช่น เป็นครูบาอาจารย์ การที่เขาอยู่ในสภาพเมามายจึงสร้างความไม่สบายใจให้กับครอบครัว ญาติพี่น้องเป็นเจ้าเป็นนาย เราเป็นลูกเป็นหลานไปเมานอนเรี่ยราดเละเทะอยู่ มันมีความหมายสำหรับเปิ้น ก็เลยตัดสินใจเลิก
เมื่อตัดสินใจหักดิบเลิกเหล้า นนท์เลือกหนีเข้าป่า เพื่อตัดวงจรแบบเดิม ๆ เป็นเวลาประมาณ 45 วัน เขาเอ่ยว่าหากยังอยู่ในชุมชน ก็ไม่อาจตัดขาดจากเหล้าได้ เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ มักจะมีเพื่อนฝูงชักชวนไปดื่มตลอดเวลา เมื่อไม่มีอะไรทำในป่า เขาใช้เวลาปลูกต้นไม้และทำการอนุรักษ์ป่า พอกลับออกมานอกจากเลิกเหล้าได้ ผลลัพธ์ทันตาคือสุขภาพที่แข็งแรงคืนกลับมา ยิ่งการได้ทำงานใช้แรงและเดินในป่า สัมผัสกับธรรมชาติทำให้สุขภาพของเขายิ่งดีขึ้น วันนี้นนท์กลับมาแข็งแรงยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกัน
กลับใจ เพราะ "หนูอายเขา"
สมมิตร กระทาง อีกหนึ่งในภาพสะท้อนของนักดื่มสายหนักแห่งร่องเคาะในอดีต เขาเล่าว่ามีชีวิตที่จมอยู่กับน้ำเมามานานหลายสิบปี แต่กลับมาพบชีวิตใหม่ได้ด้วยแรงผลักดันจากครอบครัว เริ่มดื่มตั้งแต่ 16-17 ปี มาจนถึงอายุ 31 ปี ตลอดกว่าเกือบ 20 ปี ตนดื่มหนักหน่วงถึงขั้นไร้สติ เวลาเมาจุดต่ำสุดคือตนเมาไม่ได้สติ จนต้องทรุดนั่งนอนหมดสภาพกองอยู่กับพื้นดิน
"ตัดเลยไม่หยิบ ไม่ไม่ดื่มเลย หลังจากเลิกดื่มได้ เกิดความมหัศจรรย์กับร่างกายอย่างมาก นอกจากสุขภาพดีขึ้น ความดันโลหิตที่เคยเป็นก็หายไปโดยไม่ต้องพึ่งยาอีก ร่างกายที่เคยผอมเหลือเพียง 30 กว่ากิโลกรัม กลับมาแข็งแรง น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 66 กิโลกรัม และที่สำคัญที่สุดคือลูกสาวและลูกชายของเขาก็ไม่ดื่มเหล้าตามรอยพ่อ ดีนะเพราะที่พ่อเลิกถ้าถ้าพ่อไม่เลิกนี่หนูนี่อายเขา ลูกสาวกล่าวอย่างภูมิใจเมื่อพ่อเลิกได้"
ต้องปรับทั้งพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม
วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยกล่าวว่าปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มเหล้ามาก การสูบบุหรี่จัด หรือการเสพติดที่รุนแรง การปรับพฤติกรรมส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการปรับสภาพแวดล้อมควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ซึ่งในการดำเนินการนี้ ทุกภาคส่วนในสังคมต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอำเภอ อบต. โรงเรียน และวัด
ความเข้มแข็งของการเป็นชุมชน "จัดการตนเอง" ยังส่งผลต่อการขับเคลื่อนสุขภาวะเรื่องอื่นๆ โดย มีการจัดตั้ง ธนาคารขยะและกองทุนฌาปนกิจขยะ โดยชุมชนมีรายได้จากการจัดการขยะกว่า 700,000 บาทภายในระยะเวลาเพียงปีกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านอื่นๆ ของร่องเคาะด้วย
เมื่อชุมชนเข้มแข็ง ทุกอย่างเป็นไปได้
ความสำเร็จของการลดปัจจัยเสี่ยงในวังเหนือมาจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรการทางสังคมและจิตวิญญาณ โดยใช้ความเชื่อทางประเพณีและศาสนาเข้ามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในงานบุญบางอย่างที่คนเหนือเชื่อว่า การสืบขวัญต้องมีเหล้าไหหนึ่งก็ปรับให้เป็นเพียงเครื่องประกอบพิธีขนาดเล็กแทน นอกจากนี้ยังมีการนำประสบการณ์ของผู้ที่สูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือผู้ที่ประสบปัญหาจากเหล้า มาแบ่งปันกันในเวทีกลาง เพื่อสร้างความตระหนัก ภายใต้กลไกสำคัญคือ มีการสร้างรัฐธรรมนูญตำบล เพื่อใช้เป็นกฎกติการ่วมกันในการลดเหล้าในงานศพ ชุมชนต้องจัดการตนเองให้เข้มแข็งก่อนแล้วถึงค่อยจะทำได้ ซึ่งในอนาคตต่อไป เราสามารถทำอย่างอื่น ได้หลายมิติมากขึ้นค่ะ อย่างเช่นด้านสิ่งแวดล้อมเราก็ทำได้แล้วในวันนี้







