จับตา ‘แลนด์บริดจ์’ กับการฟังเสียงโลก และประชาชนในพื้นที่

ตัวแทนภาคประชาชนจาก 3 พื้นที่ของประเทศไทย ลุกขึ้นมาปกป้องบ้านเกิดและทรัพยากร จากโครงการขนาดใหญ่ ที่ไม่เคยรับฟังเสียงของพวกเขา
KEY
POINTS
- โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง หากมีการก่อสร้างจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตอย่างรุนแรงจากการถมทะเลกว่าหมื่นไร่ ทำลายระบบนิเวศทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งทำมาหากินของชาวประมง และเขตสงวนชีวมณฑลระนองที่เตรียมขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
- แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น เกาะพยาม และแนวปะการัง มีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากโครงการ
- มีการใช้กฎหมายพิเศษ (พ.ร.บ. SEC) เพื่อยกเว้นกฎหมายสิ่งแวดล้อม และกระบวนการประเมินผลกระทบ (EIA) ถูกวิจารณ์ว่าไม่ครอบคลุมและกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชน
ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ และมีอยู่ตลอดของประเทศไทย คือ นโยบายของภาครัฐที่มุ่งผลักดันโครงการขนาดใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมหรือฟังเสียงประชาชนในพื้นที่
ก่อให้เกิดผลกระทบกับทุกสิ่ง ไม่ว่า วิถีชีวิต ทรัพยากร ธรรมชาติ แหล่งอาหาร แหล่งท่องเที่ยว พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อรักษาสิ่งที่อุดมสมบูรณ์ให้คงอยู่ต่อไปจนถึงรุ่นลูกหลาน
แลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลกำลังผลักดันสร้างเส้นทางขนส่งสินค้าเชื่อมระหว่างทะเลฝั่งอ่าวไทยที่ จ.ชุมพรกับทะเลฝั่งอันดามันที่ จ.ระนอง แทนการขุดคลอง
โดยจะมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกสองฝั่ง มอเตอร์เวย์ขนาดใหญ่ และทางรถไฟรางคู่ เพื่อเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในเอเชีย คาดว่าจะเปิดประมูลได้ปลายปี 2568
มีรูปแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) โดยภาคเอกชนจะรับผิดชอบการก่อสร้างและการบริหารจัดการ
แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีมากมายมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการถมทะเล การสร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ป่า และผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่
Cr. Kanok Shokjaratkul
-
Stop! Land Bridge
"ระนอง เป็นจังหวัดที่มี น้ำแร่ ดื่มได้ มีคนมาใช้รักษาตัวจากอาการอัมพฤกษ์อัมพาต มี ภูเขาหญ้า ที่ทั้งภูเขามีแต่หญ้า ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย มีเกาะที่สวยงามมากมาย มีปะการัง ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำดู และมีอาหารทะเลที่สดมาก
แต่ตอนนี้กำลังจะมีโครงการ แลนด์บริดจ์ (Land Bridge) เกิดขึ้นที่ระนองและชุมพร เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าจากฝั่งอันดามันไปอ่าวไทย โครงการนี้จะถมทะเลที่ระนองประมาณ 7,000 ไร่ และที่ชุมพรอีก 6,000 กว่าไร่"
รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนอง เล่าให้ฟังในงานเสวนา 'บ้านใหม่ใกล้ฉัน : เหมืองแร่ ป่าคาร์บอน แลนด์บริดจ์ กับความเสี่ยงการไล่รื้อ' หัวข้อ เสียงจากแผ่นดิน : เมื่อ ‘บ้าน’ (อาจ) ไม่ใช่ที่ปลอดภัย
ในงาน Bangkok Climate Action Week 2025 โดย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เพื่อบอกว่า 'สิทธิในที่อยู่อาศัย คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน' เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
Cr. Kanok Shokjaratkul
"เรากังวลมาก ว่านี่คือการพัฒนาที่ถูกทางแล้วหรือ เพราะมันจะทำลายทรัพยากรทางทะเลทั้งหมด ปลาที่ชาวบ้านหากินอยู่ทุกวัน ส่งไปขายถึงกรุงเทพฯ และต่างประเทศจะหายไปหมด แล้วพี่น้องชาวประมงที่หากินกับทะเลมาตลอดชีวิตจะทำอย่างไร
การศึกษาผลกระทบ หรือ EIA ของเขาครอบคลุมแค่รัศมี 5 กิโลเมตรจากท่าเรือ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในทะเล ทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยได้รับรู้ข้อมูล เพราะบ้านของพวกเขาไม่ได้อยู่ในทะเล แต่ทะเลคือพื้นที่ทำมาหากินของพวกเขา
ชาวระนองทั้ง 5 อำเภอมีเรือประมงและออกไปหากินในบริเวณนั้นทั้งหมด รวมถึงพี่น้องชาติพันธุ์มอแกนด้วย
ที่น่าเจ็บใจคือ หน่วยงานที่มาศึกษาบอกว่าทะเลระนองเป็นเหมือนทะเลร้าง มีแต่ปลาทรายตัวเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีสัตว์น้ำ จึงสามารถสร้างโครงการได้ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ทะเลผืนนี้เลี้ยงคนมาไม่รู้กี่รุ่นแล้ว
Cr. Kanok Shokjaratkul
นอกจากนี้ยังจะมีการ ขุดลอกทะเล ลึกลงไปอีก 19 เมตร ยาว 12 กิโลเมตร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางน้ำและการกัดเซาะชายฝั่งอย่างมหาศาล
โครงการนี้ไม่ได้มีแค่ท่าเรือ ยังมี นิคมอุตสาหกรรม อีก 3,000 กว่าไร่ อ่างเก็บน้ำ อีก 9-13 แห่ง โดยอ้างว่าจะมาแก้ปัญหาภัยแล้ง ทั้งที่สโลแกนของระนองคือ ฝน 8 แดด 4 หมายความว่า เป็นจังหวัดที่มีฝนตกเกือบทั้งปี ชัดเจนว่านำไปใช้ในนิคมอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพื่อชาวบ้าน"
ซึ่งโครงการขนาดใหญ่อย่างนี้ ปกติจะสร้างไม่ได้ง่าย ๆ เพราะจะติดข้อกฎหมายเรื่องอุทยาน ป่าไม้ และอื่น ๆ อีกมาก
"แต่ภาครัฐทำได้ เพราะมีกฎหมาย พ.ร.บ. SEC (พระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ : Southern Economic Corridor) ออกมา สามารถยกเว้นกฎหมายเหล่านั้นได้ทั้งหมด
สามารถเปลี่ยนพื้นที่สีเขียวของระนองให้เป็นพื้นที่สีม่วงสำหรับสร้างนิคมอุตสาหกรรมได้ทันที สามารถนำเข้าแรงงานต่างชาติได้ 100% และใช้สกุลเงินของตนเองได้ ทำให้คนในพื้นที่ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย
Cr. Kanok Shokjaratkul
ที่สำคัญคือ พื้นที่นี้เป็น เขตสงวนชีวมณฑลระนอง ที่กำลังเตรียมประกาศเป็นมรดกโลก แต่กำลังจะถูกทำลาย เกาะพยามที่อยู่ห่างจากจุดสร้างท่าเรือแค่ 800 เมตรก็จะได้รับผลกระทบจากทิศทางน้ำที่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงจนอาจไม่เหลือสภาพเดิม"
เขตสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) คือ พื้นที่ระบบนิเวศบนบก และ/หรือชายฝั่งทะเล ที่ได้รับการประกาศจากโครงการมนุษย์และชีวมณฑลขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO Man and the Biosphere - MAB) ประกอบไปด้วยพื้นที่แกนกลาง พื้นที่กันชน และพื้นที่รอบนอก
ในประเทศไทยมีทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ สะแกราช จ.นครราชสีมา, แม่สา-คอกม้า จ.เชียงใหม่, ป่าสักห้วยทาก จ.ลำปาง, ระนอง จ.ระนอง. ดอยเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564
โดยเขตสงวนชีวมณฑลที่เกี่ยวข้องกับทะเลมีแห่งเดียว คือ เขตสงวนชีวมณฑลระนอง
รสิตา เล่าว่า การออกมาคัดค้านโครงการของรัฐ ทำให้คนในพื้นที่มองเป็น แกะดำ มองเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมเสียสละ
Cr. Kanok Shokjaratkul
"ทั้ง ๆ ที่เรากำลังปกป้องทรัพยากรเพื่อทุกคน มีหน่วยงานความมั่นคงมาเยี่ยมที่บ้านบ่อย ๆ มาถามว่าไปไหน ทำอะไร เป็นการคุกคามรูปแบบหนึ่ง
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ การเลือกปฏิบัติและการกีดกัน โดยเฉพาะกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ไทยพลัดถิ่นที่ไม่มีบัตรประชาชน พวกเขาไม่ได้รับหนังสือแจ้งข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับโครงการ และไม่กล้าออกไปเรียกร้องเพราะกลัวถูกจับ
ทั้งที่พวกเขาคือกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่ไปประกอบอาชีพอื่นได้เลยนอกจากทำประมงชายฝั่ง
เวลาบริษัทจัดเวที ตำรวจเป็นร้อยคนมาคุ้มกันบริษัท แต่ฝั่งชาวบ้านกลับถูกตรวจค้นกระเป๋าอย่างละเอียด แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงของรัฐกำลังดูแลใครกันแน่
ทางออกและข้อเรียกร้อง อันดับแรก ต้องยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และ พ.ร.บ. SEC ที่กำลังจะเข้าสภา สอง.โครงการ Land Bridge จะต้องไม่เกิดขึ้น
ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องมีการจัดเวทีพูดคุยกันอย่างจริงจังระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ นักการเมือง และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันออกแบบทิศทางการพัฒนาภาคใต้ที่ทุกคนได้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่กลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม"
Cr. Kanok Shokjaratkul
-
เกาะพยามกับความเสี่ยง
ลองมาฟังเสียงชาวมอแกนตัวแทนจากเกาะพยาม จ.ระนอง ดูบ้าง ก้อย ทะเลลึก เล่าว่า ชาวมอแกนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ พ.ศ. 2500 สมัยนั้นเกาะอุดมสมบูรณ์มาก ป่าไม้ สัตว์ป่า สัตว์น้ำ หาง่าย
"แต่ตอนนี้เรากังวลมากว่าถ้ามีท่าเรือเกิดขึ้น ชาวบ้านจะไปหากินที่ไหน การถมทะเล 7,000 ไร่ จะทำลายทรัพยากรทั้งหมด นักท่องเที่ยวเขามาที่นี่เพื่อดำน้ำดูปะการัง ดูปลาการ์ตูน ไม่ได้อยากมาดูตู้คอนเทนเนอร์
ในทะเลแถบนี้มีทั้งพะยูน มีวาฬ มีสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ถ้าสร้างท่าเรือขนาดใหญ่นี้ขึ้นมา ชาวบ้านอาจถึงขั้นจบชีวิต เพราะที่ทำกินไม่มี ที่อยู่อาศัยก็กำลังจะถูกขับไล่
Cr. Kanok Shokjaratkul
ชีวิตคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ลำบากพอแล้ว ไม่อยากให้รุ่นลูกรุ่นหลานต้องมาลำบากไปกว่านี้อีก ผมขอร้องเถอะครับ อย่าถมทะเลระนองเลย
ทางออกและข้อเรียกร้อง ขอให้ภาครัฐหยุดโครงการ Land Bridge ขอให้ช่วยกันรักษาทะเลและธรรมชาติไว้ให้ลูกหลานได้อยู่ดีกินดี
ทะเล คือ ชีวิต คือแหล่งอาหารและรายได้ของพวกเรา ถ้าถูกทำลายไป อนาคตข้างหน้าก็จะไม่เหลืออะไรเลย เราจะสู้ต่อไปเพื่อลูกหลาน"
Cr. Kanok Shokjaratkul
-
ไม่เอาเหมืองแร่
สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในพื้นที่ติดทะเลเท่านั้น แต่ยังเกิดบนภูเขาด้วย การพัฒนาที่มองข้ามเสียงของประชาชน
พวกเขาไม่ได้ขัดขวางความเจริญ แต่กำลังคัดค้าน ความเจริญที่ไร้เหตุผล จึงลุกขึ้นมาพิทักษ์สิทธิของชุมชนและทรัพยากร ก่อนที่จะไม่มี บ้านที่ปลอดภัย ให้พวกเขาได้อยู่อาศัยอีกต่อไป
วิไลพร ขยันกิจเพิ่มพูน เยาวชนจาก เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำลา ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้าน โครงการเหมืองแร่ฟลูออไรต์ ต.สันติคีรี อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน เล่าว่า หมู่บ้านของเธออยู่บนดอย กำลังจะมีโครงการเหมืองแร่ฟลูออไรต์เข้ามา ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านแค่ 300 เมตร
"ตอนแรกก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะเขาบอกว่าจะมาสร้างถนน สร้างไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ให้ แต่พอกลับมาอยู่บ้านทำให้รู้ว่าผลกระทบมันร้ายแรงมาก ทั้งปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ ปัญหาแรงงานข้ามชาติ ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
ชุมชนของเราต่อสู้คัดค้านเรื่องนี้มาเกือบ 4 ปีแล้ว
Cr. Kanok Shokjaratkul
สิ่งที่กังวลคือ ผลกระทบทางกายภาพโดยตรงต่อชีวิตและความปลอดภัย พื้นที่ที่จะทำเหมืองอยู่ติดกับหมู่บ้าน ถ้ามีการระเบิดเหมือง แรงสั่นสะเทือนอาจทำให้บ้านเรือนพังเสียหาย หรือเกิดอุบัติเหตุกับชาวบ้านที่กำลังทำไร่ทำสวนอยู่บนพื้นที่สูงชันได้
นอกจากนี้ ธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็จะถูกทำลาย จากภูเขาที่มีต้นไม้เต็มไปหมด ก็จะกลายเป็นภูเขาหัวโล้น
ทางออกและข้อเรียกร้อง อยากฝากถึงภาครัฐว่า อย่าแบ่งแยกพวกเรา เพียงเพราะเราเป็นคนบนดอยหรือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์
พวกเราอยู่กับป่า แต่ไม่เคยทำลายป่า เพราะเราหากินกับป่า ขอให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ขอคัดค้านไม่ให้มีเหมืองแร่เกิดขึ้นในหมู่บ้านอย่างเด็ดขาด"
Cr. Kanok Shokjaratkul
ทางด้าน สมศักดิ์ โชติเกษตรกุล ชาวปกาเกอะญอ ตัวแทน เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำลา เสริมว่า เราอยู่กับป่ามาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายกว่า 200 ปีแล้ว เราแค่อยากให้ชาวบ้านได้อยู่ในสภาพเดิม คือได้อยู่กับป่า ได้อยู่กับน้ำ เหมือนที่เคยเป็นมา
"ที่แม่ลาน้อย เราต่อสู้เรื่องเหมืองแร่มาตั้งแต่ปี 2534 การเข้ามาของเหมืองแร่เมื่อ 30 ปีก่อน ไม่ได้สร้างผลกระทบแค่จากกระบวนการทำเหมือง
แต่ยังนำมาซึ่งปัญหายาเสพติด ปัญหาการลักขโมยวัวควายของชาวบ้าน ปัญหาสารเคมีจากกระบวนการแต่งแร่ถูกปล่อยลงลำน้ำ ทำให้ชาวบ้านที่ใช้น้ำและหาปลาต้องล้มป่วยและเสียชีวิตไป
ที่ผ่านมาเรายื่นเอกสารคัดค้านไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่ อบต. อำเภอ จนถึงส่วนกลาง แต่เรื่องก็เงียบหายไปเป็นสิบปี จนวันนี้พวกเราต้องลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง เพราะถ้าเหมืองกลับมา ปัญหาก็จะหนักกว่าเดิมแน่นอน"
Cr. Kanok Shokjaratkul
-
หยุดคาร์บอนเครดิต
ที่ จ. ภูเก็ต ชุมชนที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับธรรมชาติกำลังถูกคุกคามจากโครงการพัฒนา ทำให้ บ้าน ของพวกเขาไม่ปลอดภัยและไม่ใช่ที่ของพวกเขาอีกต่อไป
" โครงการคาร์บอนเครดิต คือความไม่เป็นธรรม คนที่สร้างปัญหาโลกร้อนคือกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่คาร์บอนเครดิตกลับทำให้พวกเขาสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
แล้วผลักภาระความรับผิดชอบในการแก้ปัญหามาให้คนในชุมชน ซึ่งเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยต้องแบกรับ"
พิเชษฐ์ ปานดำ จากเครือข่ายประมงพื้นบ้านและชุมชนชายฝั่งอันดามัน ที่กำลังเผชิญกับโครงการคาร์บอนเครดิต เล่าให้ฟัง
"สิทธิชุมชน ที่เคยได้รับการยอมรับในรัฐธรรมนูญปี 40 ก็ถูกลดทอนลงเรื่อย ๆ จากผู้ที่มีอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการมีส่วนร่วม ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง พื้นที่และบริษัทถูกเลือกไว้เรียบร้อยแล้ว
Cr. Kanok Shokjaratkul
การลงพื้นที่ของพวกเขาเป็นเพียง พิธีกรรม บางชุมชนถูกเอาเงิน 200,000 บาทมาจูงใจ โดยมีหน่วยงานที่ชาวบ้านเคารพนับถือพามา ทำให้ต้องยอมรับโครงการไปโดยไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง
ผมมีข้อเสนอสั้น ๆ สองข้อ หนึ่ง.ต้องหยุดโครงการคาร์บอนเครดิตทันที สอง.ต้องผลักดันเรื่อง สิทธิชุมชน ให้กลับมามีผลบังคับใช้จริงจัง
อาจจะผ่านการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ชุมชนมีอำนาจในการจัดการชีวิตและทรัพยากรของตนเองอีกครั้ง"
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul
ฟังเสวนาจบลงแล้ว สรุปได้ว่า 1.การรับรองสิทธิในที่อยู่อาศัยต้องมีความชัดเจนในกฎหมาย
2.ต้องมีการปฏิรูปกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และ EHIA ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย มีการรับฟังความคิดเห็นของทุกคนอย่างแท้จริง
3.ต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ หรือกีดกันกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไป เพราะการพัฒนาที่แท้จริงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพในสิทธิของคนในพื้นที่
4.มีข้อเสนอให้ทบทวน นโยบาย กฎหมายการปฏิรูปที่ดิน กฎหมายอื่น ๆ ที่ไม่เป็นธรรม เช่น กฎหมาย SEC, กฎหมายที่เกี่ยวกับป่าไม้, กฎหมายเหมืองแร่
กฎหมายเหล่านี้ควรถูกนำมาพิจารณาและทบทวนใหม่ทั้งหมด รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐก็เป็นเรื่องสำคัญ
Cr. Kanok Shokjaratkul
เพราะ หัวใจของการพัฒนา คือ ชาวบ้าน ดังนั้น การพัฒนาที่ยั่งยืนและทั่วถึงจะต้องมาจากการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน
ต้องมีการจัดเวทีหารือร่วมกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มาจากความต้องการของคนในพื้นที่จริง ๆ
ต้องเคารพสิทธิของทุกคนในพื้นที่ เสียงของพี่น้องในชุมชน จะต้องถูกได้ยินและนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul







