บททดสอบ 9 เดือน ของ ‘บิล จาง’ ผู้บริหารจาก OMODA & JAECOO กับเส้นทางความสำเร็จใน ‘ตลาดไทย’

บททดสอบ 9 เดือน ของ ‘บิล จาง’  ผู้บริหารจาก OMODA & JAECOO กับเส้นทางความสำเร็จใน ‘ตลาดไทย’

คอลัมน์ The Thought Leaders ของ กรุงเทพธุรกิจ ชวนพูดคุยกับ คุณ บิล จาง Country Director ของ OMODA & JAECOO แบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) จากจีนเกี่ยวกับเรื่องการทำงานภายใต้วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง และแผนในการดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางในการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ พวงมาลัยขวาไปต่างประเทศ

KEY

POINTS

  • บิล จาง เริ่มต้นภารกิจด้วยการศึกษาตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างความเข้าใจและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
  • วางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวให้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวา (SEA Gateway) โดยเตรียมสร้างโรงงานและศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศ
  • มุ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าผ่านบริการหลังการขายที่แข็งแกร่ง โดยร่วมมือกับ DHL เพื่อการจัดส่งอะไหล่ที่รวดเร็ว พร้อมขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศ

คอลัมน์ The Thought Leaders ของ กรุงเทพธุรกิจ ชวนพูดคุยกับ คุณ บิล จาง Country Director ของ OMODA & JAECOO แบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) จากจีนเกี่ยวกับเรื่องการทำงานภายใต้วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง และแผนในการดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางในการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ พวงมาลัยขวาไปต่างประเทศ

มาอยู่เมืองไทยได้กี่เดือนแล้วครับ รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง

มาได้เกือบ 9 เดือนแล้วครับ ต้องบอกเลยว่าชอบมาก ทั้งในเรื่องงานและการใช้ชีวิต เทียบกับจีนแล้ว เมืองไทยอากาศดีกว่า สนุกกว่า และที่สำคัญคือคนที่นี่ทุกคนทำงาน
กันอย่างเต็มกำลัง (ยิ้ม)

ถ้าจำไม่ผิด คุณมาพอดีช่วงที่ OMODA & JAECOO เริ่มเข้าตลาดไทยเมื่อปีที่แล้วใช่ไหม

ใช่ครับ ผมมาตอนที่บริษัทเราเพิ่งเปิดตัวได้ประมาณ 1-2 เดือน ช่วงงาน Motor Expo พอดี

บททดสอบ 9 เดือน ของ ‘บิล จาง’  ผู้บริหารจาก OMODA & JAECOO กับเส้นทางความสำเร็จใน ‘ตลาดไทย’

ก่อนมารับตำแหน่ง Country Director ได้เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

สิ่งแรกที่ต้องทำคือศึกษาตลาดให้รอบด้านครับ ต้องทำความเข้าใจว่าคนไทยชอบอะไร ชอบรถแบบไหน มองแบรนด์จีนยังไง รวมถึงมองรถของแบรนด์เราอย่างไร นอกจากนี้ยังต้องประสานงานกับสำนักงานใหญ่ในจีนเพื่อขอการสนับสนุนและนำผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดมาให้ลูกค้าชาวไทย

จากการศึกษาตลาดที่ทำ พบอะไรน่าสนใจบ้าง

แม้ว่าผมจะยังพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่กำลังหัดอยู่นะครับ (ยิ้ม)

เลยต้องไปติดตาม social media โดยเฉพาะ Facebook ไปกดติดตามกลุ่มต่างๆ ของแบรนด์เรา รวมถึงของคู่แข่งด้วย แล้วก็คุยกับ KOC (Key Opinion Consumer) ของเราเป็นประจำ เพื่อทำความเข้าใจพวกเขาให้มากขึ้น

OMODA & JAECOO เข้าสู่ตลาดไทยเมื่อไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ลูกค้าตอบรับอย่างไรบ้าง

ลูกค้าส่วนใหญ่รู้สึกว่าแบรนด์และรถของเรามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยเฉพาะลูกค้า JAECOO 6 EVเขาบอกว่าเวลาขับออกไปข้างนอก คนจะหันมามองแล้วถามว่า "นี่รถอะไร แบรนด์อะไรเหรอ"

ทุกดีไซน์ของเราพยายามสร้างความรู้สึกเท่และมีเอกลักษณ์ให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าของเรารู้สึกว่ากำลังขับรถที่พิเศษและแตกต่างจากคนอื่น

บททดสอบ 9 เดือน ของ ‘บิล จาง’  ผู้บริหารจาก OMODA & JAECOO กับเส้นทางความสำเร็จใน ‘ตลาดไทย’

OMODA & JAECOO มีแผนตั้งโรงงานในไทยเพื่อใช้ประโยชน์จากประเทศไทยในฐานะ SEA Gateway ช่วยอธิบายหน่อยว่า SEA Gateway คืออะไร และวางแผนทำอะไรในเมืองไทย

ผมคิดว่าระดับการผลิตของไทยอยู่ในขั้นสูง เมื่อเทียบกับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราเชื่อว่าตลาดนี้มีศักยภาพมาก

อีกอย่างคือไทยมีนโยบาย EV 3.5 ซึ่งหมายความว่า Chery เลือกที่จะมาผลิตในท้องถิ่น โดยเน้นไปที่รถ BEV พวงมาลัยขวาและด้วยคุณภาพการผลิตของไทยที่สูง เราจะใช้โรงงานแห่งนี้ส่งออกไปยังตลาดรถมือขวาในต่างประเทศ นั่นคือแนวคิด SEA Gateway

ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มีแผนขยายธุรกิจในไทยอย่างไร

ระยะสั้นเราเน้นการนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเข้ามาในตลาดไทย คือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น

ขั้นต่อไปคือการผลิตรถยนต์ทั้งคันในประเทศ โรงงานจะสร้างเสร็จในปีนี้ ที่สำคัญรถของเราเป็นรถประกอบ และคาดว่าคันแรกน่าจะสำเร็จได้ในปีนี้เช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นเราจะตั้งศูนย์ R&D ที่นี่ ผมคิดว่าแต่ละตลาดมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน อย่างที่เราคุยกันว่าวัฒนธรรมไทย ลูกค้าไทย หรือแม้กระทั่งสภาพถนนของเรา ล้วนแตกต่างจากตลาดอื่นๆ โดยสิ้นเชิง เราจึงต้องตั้งศูนย์ R&D เพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดและความต้องการของลูกค้า

สำหรับอนาคต อาจจะ 5-10 ปี เราอาจเน้นการส่งออกรถของเราไปยังตลาดอื่นๆ ให้ OMODA & JAECOO ที่มีป้าย "ผลิตในประเทศไทย" ไปสู่ตลาดขับรถทางขวามือในต่างประเทศ

บททดสอบ 9 เดือน ของ ‘บิล จาง’  ผู้บริหารจาก OMODA & JAECOO กับเส้นทางความสำเร็จใน ‘ตลาดไทย’

สุดท้าย บริการหลังการขายของ OMODA & JAECOOเป็นอย่างไร

เรื่องอะไหล่และขนส่ง เราเลือกทำงานร่วมกับ DHL Thailand เพราะคิดว่าเป็นบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพและประสบการณ์ระดับโลก เราใช้เทคโนโลยีและระบบโลจิสติกส์ของเขา รับประกันได้ว่าอะไหล่จะส่งถึงลูกค้าในเวลาที่เร็วที่สุด

ตอนนี้ในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง เราส่งอะไหล่ถึงลูกค้าได้ภายใน 1 วัน ส่วนทั่วประเทศส่งได้ภายใน 3 วัน โดยเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่

อีกเรื่องหนึ่งคือการขยายเครือข่าย ตอนนี้เรามีโชว์รูม 50 แห่ง และตั้งเป้าหมายไว้ที่ 70 โชว์รูมทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้

ที่สำคัญ โชว์รูมของ OMODA & JAECOO ไม่ได้มีไว้แค่ขายรถหรือโชว์อย่างเดียว เรายังมีจุดบริการหลังการขายและสิ่งอำนวยความสะดวกในการบำรุงรักษา บริษัทมีข้อกำหนดและมาตรฐานที่ชัดเจนสำหรับงานบริการหลังการขาย

ยิ่งกว่านั้น เรายังมีศูนย์ฝึกอบรมมาตรฐานสูงให้กับช่างที่ดูแลงานบริการหลังการขาย เราให้การฝึกอบรมพื้นฐาน 6 เดือนสำหรับบุคลากรใหม่ก่อนเริ่มงาน และยังเปิดหลักสูตรฝึกอบรมอีกหนึ่งปีให้พนักงานเพื่อเพิ่มทักษะในการซ่อมรถ