เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย

เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย

กิจกรรม "เปลี่ยนซ้ำ เป็นจบ ครบรอบ 3 ปี เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ" การรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุเมาแล้วขับของไทย ร่วมกันย้อนรอยเส้นทางความพยายามสร้างความตระหนักให้แก่คนไทยที่ไม่ควรเมาแล้วขับ เพื่อสร้างมาตรการป้องปราม และนำความรู้ บทลงโทษ พร้อมหารือระหว่างภาคี เสริมมาตรการให้เข้มข้นอย่างต่อเนื่อง

กรณีของดาราชื่อดัง ปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์หลังเกิดอุบัติเหตุ ได้กลายเป็นประเด็นที่สะท้อนถึงช่องโหว่ของกฎหมายและพฤติกรรมของผู้กระทำผิด แม้ว่าการปฏิเสธการเป่าจะไม่ทำให้รอดพ้นจากความผิด แต่โทษที่ได้รับกลับเบาจนประชาชนตั้งคำถาม ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไทย เมื่อผู้กระทำผิดในคดีเมาแล้วขับมักได้รับโทษเบา

เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด มูลนิธิเมาไม่ขับ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตภาคีเครือข่ายด้านการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุเมาแล้วขับของไทยจัดกิจกรรม "เปลี่ยนซ้ำ เป็นจบ ครบรอบ 3 ปี เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ" เพื่อร่วมกันย้อนรอยเส้นทางความพยายามสร้างความตระหนักแก่คนไทย ที่ไม่ควรเมาแล้วขับ เพื่อสร้างมาตรการป้องปราม และนำความรู้ บทลงโทษ พร้อมหารือระหว่างภาคี เสริมมาตรการให้เข้มข้นอย่างต่อเนื่อง

เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย

สูญเสียเพราะเมาแล้วขับ ปัญหาที่ไม่จบสิ้น

จักรกฤษณ์ ทิวาศุภชัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึง ประเด็นที่น่าสนใจจากข่าวคราวนี้คือ การปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์ ซึ่งแม้การปฏิเสธการเป่าจะไม่ทำให้รอดพ้นจากความผิด แต่โทษที่ได้รับกลับเบาเกินไปหรือไม่ เพราะในความเป็นจริง โทษสำหรับผู้ที่ปฏิเสธการเป่าคือปรับ 5,000 ถึง 20,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 1 ปี แต่ในทางปฏิบัติโทษที่ได้รับอาจเบากว่านั้นมากเช่น ปรับเพียง 4,000 บาท และจำคุก 2 เดือนพร้อมรอลงอาญา ทำให้ประชาชนอาจรับรู้ว่าการไม่เป่าไม่ได้ทำให้โทษหนักขึ้น 

เวทีถ่ายทอดอีกหนึ่งเรื่องราวสะเทือนใจของ "อิงฟ้า" เด็กหญิงวัย 4 ขวบที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับเมื่อ 9 ปีก่อน ที่จังหวัดระยอง ยังคงเป็นบาดแผลสำหรับครอบครัวของเธอ อุบัติเหตุครั้งนั้นเกิดจากคนขับรถที่เมาสุราจนมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 258 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ได้ขับรถชนและเหตุการณ์นี้ทำให้เด็กหญิงเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุส่วนคุณยายได้รับบาดเจ็บสาหัส

เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย

เสียงสะท้อนจากครอบครัวเด็กหญิงผู้เสียนี้แสดงให้เห็นชัดว่า "เมาแล้วขับ" ไม่ได้พรากแค่ชีวิตเด็กหญิงไปเพียงหนึ่งคนหากเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหายสำหรับครอบครัว

"สิ่งหนึ่งที่มันเป็นความรู้สึกที่สะท้อนก็คือว่าเขารู้สึกว่าทำไมคนที่ชนหลานเขากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนี่ยได้จำคุกแค่ 1 ปี เขาถามว่าแล้วกฎหมายมันคือ 10 ปีรึเปล่า มันแรงกว่านี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถูกเหตุการณ์นี้แบบนี้" ตาของเด็กหญิง กล่าว

เครือมาศ ศรีจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต กล่าวว่า ในเคสของเด็กหญิงอิงฟ้า ผู้ก่อเหตุพยายามที่จะไม่ให้ตำรวจเป่าด้วยการดื่มนมเปรี้ยวหรือกินขนมปัง แต่สุดท้ายก็สามารถตรวจวัดค่าแอลกอฮอล์ได้ที่ 258 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างเคสในจังหวัดตรังที่ชน 5 ศพ แต่ถูกปรับเพียง 3,000 กว่าบาท และจำคุกไม่ถึง 3 ปี สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการชดเชยอย่างยุติธรรม

50 ปีกับการแก้ปัญหาเมาไม่ขับ

แม้มีความพยายามกว่า 50 ปีที่ผ่านมาใน การแก้ไขปัญหาเมาแล้วขับ ของประเทศไทยได้นำมาซึ่งกฎหมายและมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้นปัญหาความสูญเสียบนท้องถนนก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นหนึ่งในปัญหาที่ท้าทายสังคมไทยมากที่สุด ย้อนรอยกลับไปในอดีต การเมาแล้วขับไม่ได้ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรม ไม่มีการจัดการที่เป็นระบบ ไม่มีเครื่องมือตรวจวัดที่ทันสมัย และที่สำคัญคือไม่มีกฎหมายที่แน่ชัดแม้จะมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตทุกวัน แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ถูกผลักดันอย่างจริงจังจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2522 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบกเพื่อกำหนดให้การเมาแล้วขับเป็นความผิด แต่ก็ยังไม่มีการกำหนดเกณฑ์ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ชัดเจนจนกระทั่ง 15 ปีต่อมาในปี พ.ศ. 2537 จึงเริ่มมีการกำหนดว่าหากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย

นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนงบประมาณเพื่อศึกษาและพัฒนาระบบการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นระบบ  ในปี พ.ศ. 2554 มีการทบทวนปรับลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเหลือ 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์สำหรับกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี และในปี พ.ศ. 2560 ก็ขยายมาตรการไปสู่กลุ่มผู้ไม่มีใบขับขี่เพื่อสร้างการป้องปรามที่เข้มงวดขึ้น ตัวอย่างความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาอย่างก้าวกระโดดของหลายประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่ใช้มาตรการลงโทษอย่างหนักและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจนสามารถลดผู้เสียชีวิตจากเมาแล้วขับได้มากถึง 75.9% ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศไทยผลักดันกฎหมายเพิ่มโทษสำหรับผู้ทำผิดซ้ำ 

ในที่สุดวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2565 กฎหมายฉบับใหม่ก็มีผลบังคับใช้ ผู้ที่ทำผิดซ้ำภายใน 2 ปีนับจากวันกระทำความผิดครั้งแรกต้องเจอโทษหนักขึ้นคือจำคุกไม่เกิน 2 ปีและปรับ 50,000 ถึง 100,000 บาท และที่สำคัญคือศาลต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับเสมอ พร้อมสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบขับขี่ตลอดไป 

เทศกาลยิ่งเพิ่มสูญเสีย

แม้กฎหมายจะเข้มขึ้นแต่สถานการณ์ก็ยังคงน่าเป็นห่วงสถิติที่น่าตกใจจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี พ.ศ. 2567 พบผู้ทำผิดซ้ำ 96 คดี แต่ปีถัดมากลับพุ่งสูงขึ้นเกือบ 2 เท่าเป็น 192 คดี นี่คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการแก้ปัญหาต้องไปไกลกว่าแค่การออกกฎหมายเพราะตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมี "ช่องโหว่" ที่ทำให้ความสูญเสียยังคงเกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าปัญหาหลักคือการบังคับใช้ที่ไม่ต่อเนื่อง ทรัพยากรที่มีจำกัด และช่องโหว่ทางกฎหมายที่ทำให้ผู้กระทำผิดหลุดรอดได้ 

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า "ดื่มแล้วขับ" เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ข้อมูลจาก กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ปี 2562–2566 พบว่า มีผู้เสียชีวิตหรือ บาดเจ็บจากดื่มแล้วขับ 284,253 ราย เฉลี่ยปีละ 56,850 ราย หรือคิดเป็นชั่วโมงละ 7 ราย สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 74,733 ล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ที่สถิติสูงขึ้นมาก และจากนโยบายแอลกอฮอล์ที่เปิดกว้าง อาจทำให้แนวโน้มพฤติกรรมการดื่มของคนไทยเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องเร่งมาตรการป้องปรามลงโทษผู้กระทำความผิดโดยเฉพาะความผิดซ้ำกระทำผิดซ้ำเมาแล้วขับ “สสส.เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ทํางานเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ในการสนับสนุนทุกภาคีเครือข่ายให้สามารถที่จะทําตามมาตรการที่เราวางแผนร่วมกันไว้ โดยจะเน้นไปที่การลดพฤติกรรมเสี่ยง การสร้างสภาพแวดล้อมหรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัยในการใช้ท้องถนน ที่สําคัญ คือเน้นการพัฒนาการทํางานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง”

เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย

ช่องว่างของระบบที่ไม่ต่อเนื่อง

ผศ.ดร.กนกพร รัตนสุธีระกุล มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้นำเสนอผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นถึง "ช่องว่าง" สำคัญของระบบที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เกิดผลตามที่ตั้งใจว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการบังคับใช้ไม่ต่อเนื่องจะพบว่าการตั้งจุดตรวจแอลกอฮอล์มักทำในช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่ปัญหาเมาแล้วขับเกิดขึ้น 365 วันต่อปี นอกจากนี้จากการที่ปัจจุบัน กฎหมายกำหนดโทษสำหรับผู้ปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์ไม่หนักมากนักนั่นคือปรับเพียง 4,000 บาท จำคุก 2 เดือน รอลงอาญาทำให้ผู้กระทำผิดบางรายเลือกที่จะ "ไม่เป่า" เพื่อประวิงเวลา เพราะแอลกอฮอล์สามารถลดลงได้ถึง 10-15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในหนึ่งชั่วโมงนอกจากนี้ ผศ. ดร. กนกพร อธิบายว่าฐานข้อมูลของผู้กระทำผิดซ้ำ (CRAM) ของตำรวจยังขาดการเชื่อมโยงกับระบบของอัยการ ศาล และกรมการขนส่ง ทำให้การตรวจสอบประวัติทำผิดซ้ำไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย

ดันเพิ่มโทษเมาแล้วขับผิดซ้ำ

ขณะเดียวกันในการประชุมครั้งนี้ยังมีการเสนอมาตรการเชิงกฎหมายให้เพิ่มโทษสำหรับผู้กระทำผิดซ้ำให้หนักขึ้น โดยมาตรการทางเลือกเสนอให้ใช้มาตรการทางเลือกอื่นๆ เช่น การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม (Community Service) หรือ การติดตั้งอุปกรณ์ Ignition Interlock Device ในรถยนต์เพื่อบังคับให้เป่าแอลกอฮอล์ก่อนสตาร์ทรถ

ณัฐพล สิทธิพราหมณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากการเพิ่มโทษผู้ที่เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำการแก้ไขอุบัติเหตุเมาแล้วขับ จำเป็นต้องมีการกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการ มีการกำหนดตัวชี้วัดแต่ละหน่วยงานที่สอดคล้องกับแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนที่กำหนดให้ต้องลดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเมาแล้วขับ ร้อยละ 10 ต่อปี จนถึงปี 2570 จึงเสนอให้มีการหารือรวมกันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับติดตามอย่างเป็นระบบ

เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย เมาแล้วขับ พฤติกรรมเสี่ยงสร้างความเจ็บช้ำ 'ซ้ำซาก' ของสังคมไทย