‘อีกฟากด้านกระดานหก’ กลั่นชีวิต กอร์ปมุมมอง 'ศิวกานท์ ปทุมสูติ' กวีซีไรต์ ปี 68

กิจกรรมพูดคุยเสวนากับกวีซีไรต์คนล่าสุด 'ศิวกานท์ ปทุมสูติ' กับ บทกวี 'อีกฟากด้านกระดานหก' ที่เพิ่งได้รางวัลไปเมื่อวันจันทรที่ผ่านมา
KEY
POINTS
- 'อีกฟากด้านกระดานหก' คือบทกวีนิพนธ์ที่ทำให้ 'ศิวกานท์ ปทุมสูติ' ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2568
- คำว่า 'กระดานหก' เป็นแนวคิดหลักที่สื่อถึงโลกที่ไม่มีความเป็นกลาง มีสองด้านเสมอ และสะท้อนภาพความไม่สมดุลของอำนาจ
- ผลงานมีความโดดเด่นด้านการใช้ภาษาที่หลากหลาย ตั้งแต่คำพื้นบ้าน ภาษาถิ่น ไปจนถึงการสร้างสรรค์คำใหม่ และการใช้ฉันทลักษณ์ที่รุ่มรวย
- เนื้อหาของบทกวีกลั่นกรองมาจากมุมมองและประสบการณ์ของผู้เขียนที่รู้สึกเวทนาต่อความทุกข์และการเบียดเบียนกันของมนุษย์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คณะกรรมการดำเนินงานรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) จัดกิจกรรมพบนักเขียนซีไรต์ ประจำปี 2568 ศิวกานท์ ปทุมสูติ จากบทกวี เรื่อง อีกฟากด้านกระดานหก
โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร. ตรีศิลป์ บุญขจร ประธานคณะกรรมการตัดสิน รางวัลซีไรต์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธเนศ เวศร์ภาดา กรรมการตัดสิน ร่วมพูดคุย วันที่ 13 กันยายน 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
รองศาสตราจารย์ ดร. ตรีศิลป์ บุญขจร กล่าวว่า อีกฟากด้านกระดานหก เป็นหนังสือที่รุ่มรวยด้วยการเลือกสรรคำ
"กวีมีคลังคำเยอะ ใช้คำหลายระดับมาก ตั้งแต่ระดับที่ง่ายที่สุด ภาษาป่า ภาษาช่างในลำพื้นบ้าน กลอนหัวเดียว ไปจนถึงการสร้างสรรค์คำใหม่ ซึ่งทำให้เห็นว่าภาษาไทยมันสามารถงอกเงยได้ ถ้ารู้เยอะก็ยิ่งสร้างสรรค์ได้หลายมิติ
Cr. Kanok Shokjaratkul
หนังสือเล่มนี้เป็นความร่ำรวยของการใช้ฉันทลักษณ์ กลอน ลำนำพื้นบ้าน มีคำบาลี และการสร้างสรรค์คำ อย่าง อุษยสตรี และมีบทที่ใช้คำง่าย ๆ อย่าง กูกับมึง
โดยส่วนตัวชอบบทที่ชื่อว่า เห่า ที่มาเบรกมาสู่ความเรียบง่าย คนเห็นงู มองมันเป็นศัตรู ก็ฟาดมันซะตายเลย มันก็พ่นพิษงูใส่ตาหมา 2 ตัว มนุษย์มักมองตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งที่จริงแค่ไล่มันไปตามทางของมัน หมาก็อยู่ตามทางของหมา ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
Cr. Kanok Shokjaratkul
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธเนศ เวศร์ภาดา กล่าวว่า คำว่า กระดานหก มันคุมธีมทั้งเล่ม สารที่สื่อคือ ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นกลาง มีทั้ง 2 ฝั่ง มีทั้งด้านดีกับด้านร้าย โลกจะสันติได้คือฟังเสียงหัวใจของทุก ๆ เสียง
"จุดเด่นของเล่มนี้นอกจากเนื้อหาแล้วคือ ฝีมือ มีทั้งภาษาถิ่น อีสาน ใต้ บาลี สันสกฤต สมาส พอมาอยู่กับบทกวีร่วมสมัย มันตีความได้ 2 มุม แบบด้านกลับกันของกระดานหก
เป็นสไตล์ที่ต้องฝ่าด่านคำศัพท์ ยกตัวอย่าง อุษยสตรี ไปหาความหมายของคำนี้อยู่2 วัน เป็นศิลปะการทำให้แปลก ผสมผสานทำให้มันเด่นขึ้นมา มีความหมาย มีจุดมุ่งหมายทางวรรณศิลป์ กระตุ้นคนอ่านให้ตื่นตัว ไม่ใช่อ่านไปเรื่อยเปื่อย มีจุดที่สะดุดตา สะดุดใจ ทำให้เราฉุกคิด
Cr. Kanok Shokjaratkul
บทง่าย ๆ ก็มีหลายบท เช่น บทเห่า, บทตาบอด บทที่ชอบมาก คือ เรือในภาพ อ่านบทนี้ย้อนแล้วย้อนอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเหมือนบทกวีจีน ที่มีทั้งจินตภาพ อารมณ์ ความนึกคิด หลอมรวมกันอยู่ในบทเดียวกัน แล้วซ้อนเข้าไปอีกมิติหนึ่งว่า ไม่ใช่พรรณนาเรือ พรรณนาธรรมชาติเท่านั้น แต่ซ้อนว่ายืนมองศิลปินมองภาพเรือ เมฆกับฟ้าก็ตีลังกาลงมาอยู่ใต้ท้องเรือ เป็นอีกมิติหนึ่ง
เป็นการเสพสุนทรีย์ ไม่ใช่แค่ปล่อยใจไปกับธรรมชาติ แต่ทำให้ฉุกคิดว่าความงามมันอยู่ตรงไหน ความงามไม่จีรังยั่งยืน ศิลปินมองภาพนี้แล้วนึกเห็นภาพใบไม้ อุปลักษณ์เป็นเรือ พลิ้วไปอีกหลาย ๆ หลัก มันอยู่ในจินตนาการจริง ๆ บทนี้โรแมนติกมาก ทำให้คนที่ไม่มีจิตละเอียดชื่นชมความงามได้แบบได้ลึกซึ้ง จิตอันเกษมของมนุษย์เราสามารถสัมผัสความละเอียดอ่อนของธรรมชาติ เพราะความงามมันอยู่กับทุก ๆ สิ่ง ทุกอณู
เล่มนี้จับเสียงได้ว่าเหมือน Symphony มันเชื้อเชิญจริง ๆ แบ่งเป็น 7 ตอน อ่านตอนแรกรู้สึกว่ามันกระชั้นจังเลย ตอนที่ 2 สงครามอะไรต่าง ๆ มันอึมครึมมากแล้วก็ค่อย ๆ ผ่อนคลาย เร่งเร้า อึงอล ให้ครุ่นคิดในตอนท้าย ทำให้เห็นลีลา เห็นทำนอง เห็นจังหวะ
Cr. Kanok Shokjaratkul
เป็นวิธีการรวมเล่มที่คำนึงถึงเสียง จังหวะ อ่านแล้วเหมือนคอนแชร์โต้แบบเจ้าพระยา ที่ปิงวังยมน่านมาแบบอึงอลมากแล้วก็ประสานกันเป็นเสียงเดียวในท้ายสุด มันเริ่มสงบผ่อนคลายตั้งแต่ เรือในภาพ ค่อย ๆ ลงมาทำให้เรานิ่งมองย้อนไป เหมือนฟังเพลง ค่อนข้างชอบเทคนิคมากจริง ๆ
มีบทหนึ่ง หยดน้ำค้างเหนือเม็ดดิน จะเป็นสไตล์แบบวรรณคดี นาน ๆ จะเห็นกวีไล่ภาพส่วนประกอบของเรือน แล้วตั้งคำถามว่า เราจะชื่นชมเฉพาะหยดน้ำค้างหรือ เพราะฐานมันก็สำคัญ
Cr. Kanok Shokjaratkul
อีกบทหนึ่ง ผีงำเรือน มีช่องจั่ว ปั้นลม พูดถึงส่วนประกอบของบ้านที่มีช่องมีรูมีอะไรตรงไหน นกไม่รู้หนูก็รู้ แล้วบอกว่าผีร้ายมันซ่อนอยู่ทุกอณูเลยนะ เหมือนคนแต่งใช้กล้องส่องเข้าไปดูทุกจุดแบบละเอียด ๆ
อีกบทหนึ่ง พูดถึง ทราย แล้วบอกว่าทุกอย่างในโลกนี้มันประกอบกัน ทรายแตกมาจากภูเขา แตกมาจากอะไรต่าง ๆ แล้วอัดทรายเป็นซีเมนต์ ไปเป็นตึก
เล่มนี้มันกลมกล่อม ดึงเราไปมุมนู้นมามุมนี้แล้วก็ต้องคิดต้องใคร่ครวญกับสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา"
Cr. Kanok Shokjaratkul
- กว่าจะมาเป็น อีกฟากด้านกระดานหก
อาจารย์ศิวกานท์ ปทุมสูติ เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเองว่า เป็นนักเดินทาง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม เดินหนีงานตัวเองตลอด ว่าจะก้าวต่อไป เล่มต่อไป บทต่อไป อย่างไร ที่เป็นการแตกดอกออกช่อ เป็นการเดินทางที่ไม่ทำให้ผู้อ่าน ผู้ใกล้ชิด และตัวเรา จะไม่เบื่อตัวเอง นี่เป็นธงของการสร้างงานและการใช้ชีวิต ทุกเล่ม รวมทั้งการเขียนเพลงและการเขียนภาพ เราจะทำอย่างไรที่จะให้ตัวเองยินดีกับการเดินทางก้าวต่อ ๆ ไป
"ที่จริงแล้วตั้งแต่ เมฆาจาริก (2556) เรื่อยมาจนถึง ด้วยก้าวของเราเอง (2562) หรือ ทางจักรา (2559) พยายามจะก้าวจากอารมณ์ที่ขุ่นมัวของชีวิต แต่มนุษย์เรา รวมทั้งตัวเราเอง ก็ก้าวไม่พ้นความเศร้าหมองที่มันแวะเวียนเข้ามา
อีกฟากด้านกระดานหก (2568) ก็เหมือนกับเวทนาอนาคตที่ถูกทำลาย ถูกทำร้าย ถูกประทุษกรรม ไม่ใช่เฉพาะในประเทศของเรา มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เลยบันทึกไว้ว่า ความเศร้า ความเวทนาสาหัสของมนุษย์ ทำไมยังเห็นเบียดเบียนย่ำซ้ำที่อยู่
Cr. Kanok Shokjaratkul
ตั้งแต่วัยเรียนในโรงเรียนที่พวกเราแกล้งกันระหว่างเพื่อน ใครตัวอ้วนมักทำให้เพื่อนตัวผอมกระเด็นกระดอนจากอีกฟากกระดานหนึ่ง วันนี้เราเห็นว่า ตัวอ้วนของอำนาจ มันทำให้ตัวผอมของอุดมคติ อุดมการณ์ กระเด็นกระดอน
มันเป็นภาพซ้อนเดียวกันที่ทำให้เรารู้สึกเวทนาว่าทำไมผู้มีอำนาจ ผู้มีบทบาทพามนุษย์ก้าวย่าง กระทำต่อผู้ตั้งใจดีงามกับชีวิตน้อย ๆ ในโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะสังคมของเรา วันนี้เราได้เห็นผลของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราคนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เขียนหนังสือ เขียนภาพ เขียนบทเพลง เราจะสื่อสารอะไร อย่าง เรื่องไทย-กัมพูชา ผมเขียนเพลงใหม่ โพสต์ใน YouTube ว่า "เด็ก ๆ กลางสายฝน ทำกลางสายฝนร้อนรุ่มด้วยคมกระสุน" ด้วยเวทนาเดียวกันกับ อีกฟากด้านกระดานหก ไปเปิดฟังได้
Cr. Kanok Shokjaratkul
เล่มนี้แต่เดิมชื่อว่า ในดวงใจประเทศ มันน่าจะทำงานกับหัวใจ แต่ภาพที่อยู่ในเล่ม มันมีนัยยะบิดเบี้ยวไป ก็เลยคิดว่า อีกฟากด้านกระดานหก น่าจะทำงานกับคอนเซ็ปต์ของเรื่องมากกว่า เพราะที่เราหลงลืมก็คือ ใจ อีกฟากด้านกระดานหกก็คือ ใจ
พอได้คอนเซ็ปต์ยิ่งชัดก็จัดวางผลกวีที่เราเขียน จากการกระทบใจของเพื่อน เพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมโลกไม่ใช่เฉพาะมนุษย์ รวมทั้งงูเห่าด้วย สุนัขด้วย ต้นหมากรากไม้ นกกาด้วย
เริ่มเห็นร่องรอยของการเดินทาง ก่อนจะมาถึงเรื่อง แสงไฟในกระท่อม คนพลัดถิ่นมาพักเอาอะไรไปแบ่ง มันมาจากเรื่องก่อนหน้านั้นที่พูดถึง หลายซับหลายซ้อนของการผลัดกันมีอำนาจ ตราบใดที่เรายังไปอีกด้านหนึ่งจนขาดดุลยภาพของการไปต่อ
Cr. Kanok Shokjaratkul
ในเล่มแบ่งเป็น 7 ตอน 7 จำนงเบื้องต้นเพื่อผ่อนคลาย 7 จำนงที่ 2 เพื่อให้เห็นการเดินทางของเนื้อสารที่ดำเนินมา แล้วก็ผ่อนคลายลง หรือทิ้งองค์ต่อก็แล้วก็ดับ
ถ้าลองสังเกตให้ดี บทนำ กับบททิ้งท้าย คำปลาย มันเป็นภาพที่เปิดอย่างปริศนาให้ผู้อ่านตื่นเต้นแล้วอยากไปกับเรา ...ฉากซ้อนฉากทัศน์ท้าอุษาแสง ฟากเส้นแวงแฝงเส้นรุ้งคุ้งขอบฝัน
(ตัดภาพมาอีกภาพ) ซากอนุสาวรย์มหาราช ศิลานุสรณ์รัฐชาติในหลุมฝัง... บนรุ้งแวงที่วาง ศักดิ์ และ ศรี วิจิตรหยาดอัสสุชลซึ่งปรนปรีดิ์ โลหิตาธารียังเรื่อยริน...
Cr. Kanok Shokjaratkul
อย่างบท เรือในภาพ เขียนตอนที่บวชอยู่ ปี 2560 เช้าวันหนึ่งมองสระหน้ากุฏิแล้วเห็นเงาเมฆที่อยู่ในน้ำ ใต้เรือใบไม้นั้น เราก็เฝ้ามองอยู่ตั้งแต่เช้า กลางวันก็มอง เย็นก็กลับมามอง อยู่ในวัดป่าในป่าช้า เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างกับเส้นทางสายวิปัสสนา
เมื่อเราลงลงลึกกับมัน เราก็จะเห็นอีกฟากด้านหนึ่งของกระดานในเรา ไม่ใช่ข้างนอกเรานะ ในเรามีมืดมีสว่าง มีเศร้าหมองและเกษมอยู่ในการเดินทาง
ในบท ไม้ผลัดเมือง มีคำว่า อุษยสตรี ต้องดูบริบท บทแรกพูดว่า ไม่มีหรอก ‘รัฐอารยชน’ ที่ ‘ปล้นสุกก่อนห่าม’ ปีนเข้าหอ ไม่มีหรอก ‘พระสังข์’ ที่หวังและรอ ในร่าง ‘เงาะ’ คดงอ-ลวงรูปเงา เห็นก็แต่ ‘โจนาธาน’ และ ‘ติสตู’ จะกอบกู้วิญญาณมนุษย์ขุดรากเหง้า ‘ราษฎรภิวัตน์’ นัดเดินเท้า ไปปักเสาอำนาจราษฎร์ประชา หยุดหวังวาด ‘สัตบุรุษ’ อุษยสตรี...
ถ้าสุภาพบุรุษมากับสุภาพสตรี วีรบุรุษมากับวีรสตรี สัตบุรุษซึ่งไม่เคยมีคู่ ผมก็เลยต้องหาคู่ให้สัตบุรุษเป็นอุษยสตรี
Cr. Kanok Shokjaratkul
อีกฟากกระดานหก ใช้เวลา 3 ปี เม็ดมวลคำสำคัญก็คือว่า คุณหยิบอดีตมาพูดใหม่คุณจะบอกอะไร มันเป็นเรื่องเสี่ยง ถ้าคุณบอกแล้วมันไม่มีอะไรใหม่ คุณก็แค่เล่าประวัติศาสตร์ซ้ำ ผมจึงไม่เล่าประวัติศาสตร์ซ้ำ
ฉันท์หรือกลอนเปล่าหรือร้อยแก้วอะไรก็ตามไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าอาภรณ์นั้นเราห่อหุ้มอะไร ฉันทลักษณ์แบบใด รูปแบบใดได้นำพาอะไรในเรื่องมากกว่า ผมให้ความสำคัญกับข้างในมาก ๆ
บทที่ไม่มีในการพิมพ์ครั้งที่ 1 แต่มีในการพิมพ์ครั้งที่ 2 คือ ดอกรักในดอกรา บทนี้มาจากการมองเห็นราที่กินเรือนจนกระทั่งผุกร่อน สลายตัวจากการประชุมประกอบสร้างเป็นบ้านหลังหนึ่งมันก็กลายเป็นต้นไม้ต้นใหม่
กลายเป็นชีวิตชีวิตใหม่ในโลกใบนี้ มันเป็นปุ๋ยให้เราเกิดใหม่และได้เรียนรู้ หันมามองคุณค่าของรา ก็เห็นบวกเห็นลบในความผัน ... แพ้ชนะหนึ่งใดมิใช่พลัง ท้าอีกฟากรักอีกฝั่งรักอย่างไร
Cr. Kanok Shokjaratkul
บทที่เอาออกจากเล่มพิมพ์ครั้งที่ 1 เพราะมันซ้ำซ้อนกับบางเรื่องที่อยู่ในเล่ม ก็ดึงออก แล้วมีพื้นที่เหลือ ต้องหาบทที่ใช้หน้าเท่ากัน ก็เลยใส่บทนี้เข้าไป"
ปิดท้ายกิจกรรมพูดคุยในวันนี้ ด้วยข้อแนะนำสำหรับคนที่อยากจะเขียนบทกวีได้เก่ง ๆ อาจารย์ศิวกานท์ แนะนำว่า
"การสร้างทักษะนี้ ต้องเริ่มจากการ...
กินครูเป็นอาหารวันละบท
เล่นล้ออรรถรสวันละบท
อ่านเขียนวันละครั้งอย่างแยบยล
แล้วดอกผลจะงอกออกมาจากต้นรัก
ทักษะท่วงทำนองต้องอยู่ในใจของเราก่อน จากนั้นก็นำทักษะที่เรามีมารับใช้ความคิดอ่าน"
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul







