ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

ภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง ถูกนำมาศึกษาและให้ความสนใจ เพราะมองดูแล้ว มันไม่ใช่แค่ภาพประดับ แต่คือภาพสะท้อน และแสดงออกถึงอะไรบางอย่าง

KEY

POINTS

  • ภาพสัตว์ในเอกสารโบราณยุคกลาง (Manuscript) ไม่ใช่แค่ภาพประดับ แต่เป็นสัญลักษณ์ซับซ้อนที่สะท้อนความเชื่อ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในยุคนั้น
  • สัตว์แต่ละชนิดถูกใช้สื่อความหมายที่หลากหลาย เช่น กระต่ายหมายถึงการพลิกกลับของอำนาจ (ผู้ถูกล่ากลายเป็นผู้ล่า) หอยทากสื่อถึงคติธรรมเรื่องความอดทนหรือความตาย และสุนัขเป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคม
  • ภาพวาดเหล่านี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ขอบกระดาษ (Marginalia) ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือแสดงออกถึงการต่อสู้เชิงอำนาจระหว่างชนชั้น การสะท้อนวิถีชีวิต และเป็นเครื่องเตือนใจทางศีลธรรม

เอกสารสื่อสารในยุคกลาง หรือ Manuscript ที่มีทั้งข้อความและภาพประกอบ สร้างสรรค์ขึ้นด้วยความตั้งใจมีเจตนาจะสื่อสารบางสิ่งบางอย่างให้คนในยุคนั้นได้รับรู้

แต่เมื่อมาศึกษาในภายหลังกลับพบว่า บางภาพมีความประหลาด และน่าสนใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้สร้างต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างมากกว่าที่เห็นในภาพ

พัชรพร ศุภผล นักศึกษาปริญญาโท สาขาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เห็น Manuscript บทสวดสรรเสริญพระเจ้า แต่มีภาพคนโชว์ก้นอยู่ด้วย หรือ บทสวดสรรเสริญพระเจ้า แต่มีภาพการต่อสู้กัน หรือภาพสัตว์ ทำให้ต้องตีความกว้างกว่าแค่คำศัพท์ในพจนานุกรม นำมาซึ่งความสนใจศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

จึงชวน ผศ.ดร.เอกสุดา สิงห์ลำพอง ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และ ดร.มิ่ง ปัญหา อาจารย์สาขาภาษาและวรรณคดีอังกษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมพูดคุยกันในงานเสวนาวิชาการ Animals Killer : สู้ สัตว์ ความลับ และความปรารถนา ของชีวิตยุคกลาง วันที่ 6 กันยายน 2568 ณ โรงละคร กาลิเลโอเอซิส

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

Cr. Kanok Shokjaratkul

  • ศิลปะยุคกลาง ภาพสะท้อนสังคมและมนุษย์

ผศ.ดร.เอกสุดา สิงห์ลำพอง กล่าวว่า ใน Manuscript (เอกสารสื่อสารในยุคกลาง) จะมี Marginalia ภาพวาดด้านข้างหรือริมขอบของหนังสือ เป็น คัมภีร์ศาสนา ผลิตโดยศาสนาคริสต์

"ในช่วงแรกเริ่มของสมัยกลาง คริสต์ศตวรรษที่ 3-5 การผลิตคัมภีร์ได้เริ่มต้นขึ้น เนื่องจากยังไม่มีเครื่องพิมพ์ จึงใช้วิธีคัดลอกด้วยลายมือ

คำว่า Manuscript มาจากภาษาลาติน manu แปลว่า by hand และ script แปลว่า สิ่งที่ถูกเขียนขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นงาน hand-made

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

Cr. Kanok Shokjaratkul

การคัดลอกทำกันใน อาราม (Monastery) พระสงฆ์จะอยู่กันอย่างสันโดษ การผลิตคัมภีร์ด้วยลายมือถือเป็นบทบาทสำคัญอย่างหนึ่งในวินัยของนักบวช ที่ดำเนินชีวิตตามคติ ora et labora คือ pray and work

พวกเขาจะสวดมนต์วันละหลายชั่วโมงและคัดลอกคัมภีร์ในหอสมุด หรือ scriptorium เนื้อหาหลักคือ คัมภีร์ไบเบิล ทั้ง Old Testament และ New Testament และเพลงสดุดี

หนังสือที่เรียกว่า Psalter การคัดลอกจะใช้ลายมือที่สวยงามเรียกว่า calligraphy มาจากภาษากรีก calli ที่แปลว่าสวยงาม และ graphia ที่แปลว่าการเขียน

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

Cr. Kanok Shokjaratkul

นอกจากตัวบทแล้ว ยังมี ภาพประกอบ เพิ่มความสุนทรีย์ สะท้อนความเป็นงานศิลปะศักดิ์สิทธิ์  ภาพประกอบก็มีหลายแบบ เช่น

Border (กรอบ) ลวดลายพืชพรรณต่างๆ

Miniature ภาพประกอบหลัก

Initial ตัวอักษรขึ้นต้นบทที่วาดอย่างวิจิตร

Marginalia ภาพเล็กๆ บริเวณขอบกระดาษ หรือ margin

Bas-de-page แถบภาพด้านล่าง

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

ความน่าสนใจคือ การตีความ ทำไมเนื้อหาศักดิ์สิทธิ์ถึงมี ภาพการต่อสู้ หรือภาพแปลกประหลาดที่เรียกว่า Grotesque เช่น สัตว์หัวเป็นนกตัวเป็นสิงโต หรือภาพบุคคลที่เปลือยก้น ซึ่งไม่เข้ากับตัวเนื้อหาโดยตรง การตีความเหล่านี้เป็นหน้าที่ของนักวิชาการ

เดิมที Manusсript ถูกสร้างขึ้นภายในอาราม แต่เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ยุโรปมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการค้าครั้งใหญ่ ทำให้ Manuscript กลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริโภคแบบ Conspicuous Consumption เพื่อแสดงความศรัทธา ความร่ำรวย และ connection

มีการจ้างผลิตคัมภีร์เหล่านี้เป็นสมบัติส่วนบุคคล หรือเป็นของขวัญ เช่น ของขวัญแต่งงาน

จากหนังสือเพลงสดุดี มาถึงปลายศตวรรษที่ 14 ก็เปลี่ยนเป็น Book of Hours ทำให้หลุดพ้นจากอารามไปสู่มือของชนชั้นสูง เช่น ราชสำนัก หรือพ่อค้าที่ร่ำรวยขึ้นมาจากการค้าที่เฟื่องฟู

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

Cr. Kanok Shokjaratkul

เมื่อมีความต้องการมากขึ้นก็เกิดอาชีพ Artist เพราะพระสงฆ์ทำงานไม่ทัน โดยมีการแบ่งหน้าที่เป็น Scribe (คนคัดลอกคัมภีร์) และ Illuminator (คนวาดภาพประกอบ)

กลุ่มที่เรียกว่า East Anglian จะอยู่ในแถบ East Anglia ทางตะวันออกของอังกฤษ เช่น Norwich, Suffolk เนื่องจากอยู่ใกล้ฝรั่งเศส จึงมีการถ่ายเทและผลิตร่วมกัน

บางเล่มเขียน Calligraphy ทั้งหมดที่ฝรั่งเศส แล้วส่งมาที่อังกฤษเพื่อวาดภาพต่อ อย่างเล่ม Smithfield Decretals เป็นหนังสือรวบรวมกฎของพระสันตะปาปา

พัชรพร  ศุภผล เล่าว่า ในช่วงราวศตวรรษที่ 12 Manuscript ยังไม่ถูกวาดเต็มขนาดนี้ จะเน้นที่การวาดตัวอักษรและ Initial การเติมภาพประกอบด้านล่างหรือขอบต่าง ๆ จะมาสมบูรณ์ในศตวรรษที่ 13

"เล่มที่นำมาวันนี้คือ Luttrell Psalter และ Rutland Psalter เป็นเล่มที่มีพัฒนาการทางศิลปะครบถ้วนแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือ สัตว์ประหลาด ๆ

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

Cr. Kanok Shokjaratkul

เริ่มจาก Luttrell Psalter เป็นหนังสือเพลงสดุดี ผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 13 เชื่อกันว่าเป็นสมบัติสืบทอดของพรียอร์แห่ง Irnham ภาพประกอบวาดโดยจิตรกรนิรนาม 5 ลายมือ มีความแปลกประหลาด เช่น รูปคนเปลือยก้น 

นักวิชาการท่านหนึ่งตีความว่าภาพคนเปลือยก้นนี้มีลักษณะเหมือน พระเยซู สันนิษฐานว่าไม่ได้เป็นการดูหมิ่น แต่เป็นการทำให้คนชะงักเพื่อเรียกสมาธิกลับมาขณะสวดมนต์

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

แต่ก็อาจตีความได้ว่าการที่ชนชั้นล่าง (จิตรกร) ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการโต้ตอบกับชนชั้นสูง (ผู้เขียน) นอกจากภาพเปลือยก้นแล้ว ยังมีภาพการปะทะกันระหว่างคนกับสัตว์ที่เปลือยก้นด้วย

Luttrell Psalter มีความสวยงามและมีชื่อเสียงมาก มีฉบับจำลองเยอะ ผู้ว่าจ้างคือ Geoffrey Luttrell ขุนนางจาก Lincolnshire นักวิชาการมองว่าเล่มนี้แสดงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้ว่าจ้างกับจิตรกรและอารักษ์ เพราะมีการจ้างให้วาดชีวิตประจำวันของเขาและผู้คนในหมู่บ้าน และวาด Sir Geoffrey แต่งตัวเต็มยศชุดออกรบ มีภรรยาและลูกสะใภ้ยืนส่ง

การจ้างวาดที่สื่อสารกันอย่างใกล้ชิด ทำไม่ได้ในราชสำนักหรือขุนนาง เพราะ Manuscript ในราชสำนักมีกรอบที่เข้มงวด ไม่สามารถวาดสิ่งที่พิลึกพิลั่นได้ นักวิชาการบอกว่านี่อาจเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากขุนนางที่เป็น New Man (New Money) ที่จ้างงานและทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมา

เล่มนี้จะวาดวิถีชีวิตของผู้คน ชาวบ้าน และตัวเขาเอง เหมือนเป็น Documentary ในยุคนั้น เช่น ภาพกีฬามวยปล้ำด้วยเท้า, ภาพโรงน้ำที่มีการวางจับปลาไหล, ภาพเกษตรกรรมและวัฒนธรรมท้องถิ่น

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

มีลูกเล่นที่น่าสนใจคือตรงเท้าของนักมวยปล้ำจะตรงกับภาษาละตินที่แปลว่า เท้า ด้วยความตั้งใจ ในช่วงพิธีอดอาหาร ผู้คนจะงดทานเนื้อสัตว์แต่ทานปลาไหลได้ ภาพการวางจับปลาไหลจึงถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันที่ถูกบันทึกไว้"

  • กระต่าย

เป็นรูปที่หลายคนรู้จักกันดี ใน Manuscript หลายเล่ม จะมีภาพกระต่ายสู้กับหมาบ้าง สู้กับอัศวินบ้าง หรือสู้กับอัศวินที่ขี่หอยทาก ดูเหมือนเป็นสัตว์รักสงบที่เกรี้ยวกราด นิยมวาดเป็นรูป กลับหัวกลับหาง (World turned upside down)

"กระต่ายเป็นสัตว์ที่ถูกล่า ทั้งเพื่อกินและทำเป็นเครื่องแต่งกาย การนำเสนอกระต่ายใน manuscrip จึงเป็นการพลิกกลับบทบาทจากผู้ถูกล่าให้กลายเป็นผู้ล่า" 

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

ในช่วงศตวรรษที่ 12-13 การล่าสัตว์ถูกจำกัดด้วย กฎหมายป่าไม้ (Forest Law / Royal Forest Law) เป็นกฎหมายที่กษัตริย์และชนชั้นสูงมีสิทธิ์ในการล่าสัตว์ในป่าที่กำหนดไว้ ในขณะที่ชาวบ้านถูกห้าม กระต่ายจัดเป็น game animal ที่ชนชั้นสูงสามารถล่าได้

"รูปนี้มาจาก Rutland Psalter ของ Geoffrey Luttrell ซึ่งวาดวิถีชีวิตของเขา สันนิษฐานว่าเป็น warren หรือพื้นที่เลี้ยงกระต่ายของเขาเอง ซึ่งเลี้ยงไว้ขายหรือกิน

การมี warren ของขุนนางเป็นการแสดงความเป็นส่วนตัวที่ชาวบ้านเข้าไม่ได้

ด้วยความต้องการเนื้อกระต่ายของชาวบ้านที่ไม่สามารถล่าในป่าได้และถูกห้ามเข้า warren ของขุนนาง จึงเกิดการ ขโมยล่า (Poaching) ขึ้น คือมีคนรับจ้างเข้าไปล่ากระต่ายใน warren ของขุนนาง

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

Cr. Kanok Shokjaratkul

นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคการล่าโดยปล่อยพังพอนเข้าไปไล่กระต่ายออกมานอกพื้นที่ เพื่อจะได้ล่าโดยไม่ผิดกฎหมาย เป็นการต่อสู้และท้าทายอำนาจของชนชั้นนำไปด้วยในตัว

"ภาพกระต่ายใน Smithfield Decretals เล่มนี้เป็นหนังสือบันทึกกฎหมายของพระสันตะปาปา Smithfield ในศตวรรษที่ 19 และก่อนหน้านั้นในยุคกลาง เป็นย่านค้าสัตว์ ยุคที่ไม่มีตู้เย็น สัตว์ต่าง ๆ เช่น หมู วัว กระต่าย จะถูกต้อนเข้ามาในเมืองเพื่อฆ่า ไม่ใช่ฆ่าแล้วนำเข้ามาเพราะจะเน่า 

Smithfield จึงเป็นย่านที่ใช้เลี้ยงและซื้อขายสัตว์ รวมถึงมีโรงฆ่าสัตว์ ในสมัยนั้นจะอยู่นอกเขต กรุงลอนดอน และถูกมองว่าเป็นพื้นที่สกปรก วุ่นวาย" อาจารย์มิ่งอธิบาย

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

Smithfield Decretals ได้รับการว่าจ้างจากใครบางคนที่เข้าใจว่าเป็นบิชอป นักบุญ Bartholomew ที่ปรากฏในบางภาพเหลือแต่กล้ามเนื้อเพราะโดนทรมานด้วยการถลกร่างเป็นวิธีลงโทษของชาวคริสต์ที่ถูกกดขี่ในสมัยโรมัน นักบุญท่านนี้เป็นนักบุญประจำของคนทำอาชีพฟอกหนัง ธุรกิจค้าหนัง และสัตวแพทย์

แม้ Smithfield จะถูกประท้วงเรื่องความสกปรกและเสียงดังมาตลอด แต่ก็เพิ่งปิดตัวไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว การที่มันยังอยู่ได้นานขนาดนี้สะท้อนว่าธุรกิจการฆ่าสัตว์และชำแหละสัตว์เป็นเศรษฐกิจที่สำคัญมากในสมัยกลาง เพราะ Manuscript เหล่านี้ไม่ได้วาดบนกระดาษ

แต่วาดบน vellum ซึ่งทำจากหนังสัตว์ เช่น หนังแกะ หนังแพะ ที่นิยมที่สุดคือ หนังลูกวัวอ่อน ซึ่งซึมซับน้ำหมึกได้ดีที่สุด ดังนั้น Smithfield จึงเป็นศูนย์กลางที่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากการบริโภคของคริสตจักร และราชสำนักเพื่อการบันทึก

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

ในศตวรรษที่ 19 ชนชั้นสูงเริ่มหมดอำนาจและเงิน จึงเพาะสัตว์ไว้ล่าและขายด้วย ชนชั้นกลางในเมืองเมื่ออยากกินอาหารประเภท game animal ก็จะไปซื้อที่ตลาด เช่น Smithfield แทนที่จะไปล่าเอง"

กระต่าย มีขนหน้าท้องสีขาว คล้ายกับ ขน Mink ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายของชนชั้นสูง ทำให้มีการออกกฎหมาย Sumptuary Law เพื่อควบคุมการใช้จ่ายเครื่องแต่งกาย และแยกแยะว่าใครคือชนชั้นสูงที่แท้จริง ใครเพิ่งร่ำรวย เพราะขนกระต่ายเมื่อนำมาทำชุด จะแยกไม่ออกจากขน Mink ทำให้เกิดความสับสน

กฎหมายจึงระบุว่าหากใครจะใส่ขน Mink หรือขนกระต่าย ต้องเป็นอัศวินระดับ Knight ที่มีเงินเดือน 200 ปอนด์ขึ้นไป กระต่ายจึงถูกนำมาใช้ในการแบ่งชนชั้นด้วย

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

  • หอยทาก

เมื่อถึงหัวข้อนี้ ผู้เสวนาเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมฟังได้แสดงความคิดเห็นด้วยคำถามว่า ท่านคิดว่า หอยทาก หมายถึงอะไร

คำตอบที่ได้คือ ความเกียจคร้าน, มรณะ, ความเชื่องช้า, คนแก่ชรา, อันตราย, ศัตรูชุดเกราะ, อร่อย, ยารักษาโรค, ความพยาบาท

อาจารย์เอกสุดา กล่าวว่า สิ่งที่ทุกท่านนำเสนอมานั้น ไม่มีอะไรผิดหรือถูก เพราะความหมายหรือรหัสของภาพเหล่านี้มาจากการใช้ความคุ้นเคยของแต่ละวัฒนธรรมในการตีความ ใน Manuscript ก็เช่นกัน มันมีตำราที่เรียกว่า Bestiary รวมเรื่องสัตว์ในตำนาน

"หอยทาก เป็นอาหารที่คนยุโรปในสมัยโบราณกิน อย่างในหนังสือ Naturalis Historia ของ Pliny the Elder สมัยโรมันโบราณ ซึ่งเป็นต้นเค้าของ Bestiary ในสมัยกลาง ก็พูดถึงวิธีขุนหอยทากให้เนื้อชุ่มฉ่ำ

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

พอเข้าสู่สมัยคริสต์ศาสนา สัตว์เหล่านี้ก็กลายเป็น Allegory หรือสัญลักษณ์ทางคริสต์ศาสนา เช่น หอยทากกับกระต่ายก็มีความหมายเปลี่ยนไปจากสมัยโรมัน ภาพเหล่านี้สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลกธรรมชาติ

หอยทาก หากตีความตามกฎของสัญลักษณ์ทางคริสต์ศาสนา มันแปลได้หลายอย่างขึ้นอยู่กับบริบท จากการสังเกตธรรมชาติ หอยทากช้า ความเชื่องช้านี้อาจแปลว่า ความอดทน คือไม่ให้ชาวคริสต์ที่ดีผลีผลามตัดสินใจอะไรที่ใช้อารมณ์ แต่ให้ไตร่ตรองให้ดี

ในอีกมิติหนึ่ง ภาพอัศวินสู้กับหอยทาก อัศวินเป็นตัวแทนของฝ่ายทางโลก คือนักรบ ชนชั้นนำ เป็นปุถุชน ที่มาต่อสู้กับสัญลักษณ์ความอดทนอดกลั้น หรือความมีสติสัมปชัญญะ จึงกลายเป็นคติธรรมว่าอย่าทำตามแบบอัศวินที่ต่อสู้กับความอดทนอดกลั้น หรือความแข็งแรง (เพราะหอยทากแบกบ้านไว้บนหลัง)

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

พัชรพรเสริมว่า หอยทาก มีคนตีความเยอะมาก มีทั้งความเชื่องช้า ความเกียจคร้าน คุณต้องเอาชนะความเกียจคร้านด้วยการต่อสู้กับมัน

"ในบางภาพที่อัศวินแพ้ก็แสดงว่าคุณพ่ายแพ้ นอกจากอัศวินแล้ว ยังมีรูปพระที่กลัวหอยทาก ยกมือไหว้ อาจหมายถึงความอดทน และบอกว่าคุณต้องต่อสู้เอาชนะความอดทนในการศึกษาพระธรรม อย่าไปยอมแพ้มัน

การตีความก่อนปี 2000 ว่าหอยทากอาจเป็นตัวแทนของ ชาว Lombard เยอรมันที่มารุกรานอิตาลีในศตวรรษที่ 8 เหมือนหอยทากที่น่ารังเกียจ แต่ถูกมองว่าแคบไปจึงถูกปัดตกไป

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

อีกอันหนึ่งตีความว่า หมายถึง ความตาย เพราะมีบทสดุดีที่พูดถึงวันพิพากษาว่า ความตายเหมือนหอยทากที่ละลายไปกับเปลือก การที่อัศวินเผชิญหน้ากับหอยทากจึงเป็น มรณานุสติ ว่าคุณจะต้องเผชิญกับความตายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโรคระบาด ทำให้ภาพเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าจะต้องเจอความตาย

ในขณะเดียวกัน ความเชื่องช้าของหอยทาก อาจมองว่าเป็น ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอดทน เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่อัศวินยึดถือ คือความภาคภูมิใจ ความอวดโอ้อหังการ การปะทะกับหอยทากจึงเป็นการปะทะกับคุณธรรมที่ตรงข้ามกัน"

"ในเล่มนี้ยังมี ภาพหอยทากลากเรือ ด้วย ซึ่งไม่ได้แบกแค่เปลือกของมัน แต่ลากเรือทั้งลำ เรือมีความน่าสนใจในเชิง Iconography หรือวิทยาสัญลักษณ์ ถ้ามองแค่เรื่องพละกำลังก็จบไป แต่ถ้าตีความเพิ่มเติม อยากชวนให้ทุกคนคิดว่าหอยทากที่ลากเรือได้มีความหมายอย่างไร" อาจารย์เอกสุดาให้ข้อสังเกต 

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

"ในเรือก็มีคนพาย แต่ในภาพสัตว์นำพาคนไป ดังนั้นมันอาจไม่ใช่แค่สัตว์ แต่เป็นหลักธรรมหรือคติอะไรบางอย่าง หากเทียบกับ Allegory ก็คือเรื่องของ ความอดทน อดกลั้น หรือความพยายามอุตสาหะ ที่จะนำพาไป"

อาจารย์มิ่ง กล่าวว่า ภาพหอยทากกับอัศวินดังมากจนมีคอลัมน์ใน BBC อธิบาย แต่ก็สรุปแค่ว่าเป็น the world turned upside down

"เมื่อค้นภาพหอยทากในยุคกลางอื่น ๆ ก็พบภาพหอยทากที่โผล่หัวเป็นหมาจิ้งจอกหรือสัตว์อื่น ๆ หอยทากอาจเป็นเครื่องมือที่ชวนให้คนคิดว่า คนคือร่างกายเปลือยเปล่า ส่วนอัศวินคือคนที่ต้องการเครื่องมือมาผนวกกับร่างกายที่เปราะบางเพื่อความปลอดภัย

ในภาพนี้ คนลอยน้ำไม่ได้ ว่ายน้ำไม่ได้ จึงต้องมีเรือเป็นเครื่องมือช่วยเดินทาง คนสมัยก่อนมองสัตว์เป็นเหมือนเนื้อที่มีอะไรบางอย่างมาประกอบตลอดเวลา เหมือนเปลือกหอยทากที่หลุดออกมาได้"

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

Cr. Kanok Shokjaratkul

อาจารย์เอกสุดา เสริมว่า หอยทาก คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ฉุกคิดว่ามันมีองค์ประกอบอื่น ๆ นอกเหนือจากกายเนื้อของเรา จริง ๆ แล้วเราต้องการอะไรอีก

เรือ เป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ในการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง อาจเป็นการเดินทางในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการพาจิตวิญญาณไปสู่สวรรค์ เพราะ text นี้เป็นเรื่องทางศาสนา ผลิตขึ้นภายใต้วัฒนธรรมของชาวคริสต์ในสมัยกลางที่เคร่งครัดมาก และสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือตายโดยไม่ได้ขึ้นสวรรค์

หอยทาก อาจบอกว่า เครื่องมือของคนก็แพ้หอยทาก หอยทากอยู่ได้ในที่ชื้นแฉะ แต่คนต้องลงมาลากเรือไม่งั้นไปไหนไม่ได้ หรืออาจเป็นการโยกย้ายถิ่นฐาน การอพยพ เปลือกกับเรือสีเดียวกัน เหมือนบ้านที่ต้องอาศัยเรือในการโยกย้าย มองเป็นเรื่องการเคลื่อนที่ของคนก็ได้"

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

  • สุนัข

สัตว์ที่คุ้นเคยกับมนุษย์มากที่สุด นี่คือภาพ Royal Lady Coach ผู้หญิงชนชั้นสูงกับสุนัข สุนัขเป็นภาพสะท้อนของ ชนชั้นสูง และ สถานะทางสังคม ได้อย่างชัดเจน

"ในภาพเราจะเห็นผู้หญิงชนชั้นสูงนั่งรถม้าโดยมีสุนัขอยู่ด้านล่าง และมีผู้รับใช้อุ้มสุนัขส่งให้อีกตัวหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงการเลี้ยงสุนัขในฐานะสัตว์เลี้ยงคู่ใจ เป็นเครื่องประดับ หรือเครื่องเสริมยศ เพื่อบอกว่าฉันรวย ฉันมีสิทธิพิเศษ

ในสมัยกลางจะมีการเพาะหมาให้ตัวจิ๋ว ๆ ภาพนี้ศตวรรษที่ 14-15 จะมีชนชั้นสูงกับสัตว์เลี้ยงเล็ก ๆ 

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

  • หมาป่า

ในคัมภีร์ไบเบิล หมาป่าชั่วร้าย เป็นศัตรู มันคุกคาม กระหาย ทำร้ายคน แม้จะไม่หิว มีเรื่องเล่า นิทานหนูน้อยหมวกแดง หมาป่าในชุดแกะที่แอบเข้ามากินแกะ สะท้อนถึงความกลัวหมาป่าที่จะมาโจมตีชุมชน

ในช่วง Little Ice Age ศตวรรษที่ 10-14 มีอากาศหนาวเย็นและหาอาหารยาก ทำให้สัตว์ป่าออกมาหาอาหารมากขึ้น และกระตุ้นความหวาดกลัวของคน

กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น ชาร์เลอมาญ ถึงกับตั้งคณะล่าหมาป่า และมีกฎหมายให้เงินรางวัลแก่ผู้ที่ล่าหมาป่าได้ การล่าอย่างหนักนี้ทำให้หมาป่าสูญพันธุ์ไปจากยุโรป ด้วยความกลัวว่าจะเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายหรือทำงานกับซาตาน

ในตำนานโรมัน โรมูลุสและเรมุส ผู้ก่อตั้งกรุงโรม ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่หมาป่า ตราแผ่นดินของโรมก็ยังเป็นรูปแม่หมาป่ากำลังให้นมเด็กสองคน แสดงให้เห็นว่า ในแง่หนึ่ง หมาป่าก็เป็นผู้สร้างอารยธรรมมนุษย์ และช่วยมนุษย์ทำการเกษตรกรรมและเลี้ยงแกะ เป็นรากฐานของการพัฒนาอารยธรรม หมาป่าจึงเป็นสัตว์ที่ได้รับทั้งความรังเกียจ ความหวาดกลัว และความเคารพยำเกรงไปพร้อม ๆ กัน" อาจารย์เอกสุดา กล่าว

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

  • คนเปลือยกายเผชิญหน้ากับหมาป่า

ภาพคนเปลือยกายเผยก้น ในบริบทนี้ ถูกตีความว่าเป็นการบ่งบอกถึง ความอ่อนแอ และ ความเปราะบาง ของมนุษย์ ที่ไม่มีสิ่งใดปกป้อง สิ่งมีชีวิตที่ไร้เขี้ยวเล็บ ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก

พัชรพร เล่าว่า ในศาสนาคริสต์ การเปลือยกายยังเชื่อมโยงกับบาปและความอับอาย

"การเปลือยกาย เปลือยก้นคือ สลายความเป็นมนุษย์ เพราะถ้าเมื่อไรใส่เสื้อผ้าคือการสถาปนาวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ให้กับตนเอง

ภาพปีศาจหลายภาพใน Manuscript มักมีภาพใบหน้าอยู่ที่ก้น เพราะมีความเชื่อว่าก้นคือทางออกของสิ่งชั่วร้าย

แนวคิดนี้สะท้อนในวรรณกรรมเรื่อง Bisclavret ในศตวรรษที่ 12 เล่าถึงอัศวินที่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเมื่อถอดเสื้อผ้า และกลับเป็นมนุษย์เมื่อสวมเสื้อผ้า

การถอดเสื้อผ้าจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่สภาวะ ป่าเถื่อน ไร้อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม การเปลือยก้น เป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้ายหรือปีศาจได้ด้วย"

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

  • หมี

คนยุคกลางมองว่า หมี เหมือนคน เพราะยืนสองขาได้ ลำตัวตั้งตรงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ที่ศีรษะมุ่งสู่สวรรค์ และเวลาผสมพันธุ์ จะใช้ท่ากอดกันเหมือนคน ตัวผู้จะให้เกียรติตัวเมียที่ตั้งท้อง เมื่อคลอดลูกออกมาเป็นก้อนกลม ๆ แม่หมีจะใช้ปากปั้นให้เป็นรูปร่างคล้ายกับพระเจ้าสร้างโลกและมนุษย์

หมีจึงเป็นเหมือน พระเจ้าจำลอง ที่มีอำนาจในการสร้าง การจำศีล (hibernate) ของหมีก็ยังถูกเชื่อมโยงกับการเกิดใหม่และการเติบโต

ในขณะเดียวกัน หมีก็เป็นสัญลักษณ์ของความป่าเถื่อน ความดุร้าย ตรงข้ามกับความเป็นเมืองหรืออารยธรรมมนุษย์

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

ภาพนี้คือภาพ Bear-baiting คือการจับหมีมาให้สุนัขรุมกัด เป็นกิจกรรมบันเทิง ที่ได้รับความนิยมมากในยุคกลางถึงศตวรรษที่ 19 ผู้คนจะนั่งดูเหมือนการแสดงละคร

สะท้อนแนวคิดว่ามนุษย์เป็น ศูนย์กลางของจักรวาล แสดงถึงอำนาจของมนุษย์ในการควบคุมสัตว์ป่าที่ดุร้าย แม้กระทั่งสัตว์ที่เหมือนพระเจ้าจำลอง

มีการล่าหมีอย่างหนักเพื่อทำกิจกรรมนี้ ทำให้หมีในอังกฤษเกือบสูญพันธุ์ จนต้องนำเข้าหมีจากประเทศอื่น แม้หมีจะมีความเหมือนมนุษย์และเชื่อมโยงกับเทพเจ้าบางองค์ (อาร์เทมิส) แต่ในบริบทนี้ก็ยังถูกลดสถานะให้เป็นเพียงเครื่องมือความบันเทิงและสัญลักษณ์ของอำนาจที่มนุษย์มีเหนือธรรมชาติ"

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

  • หมู

หมูป่า ถูกจัดเป็นหนึ่งใน สัตว์ร้ายที่ดุร้าย (Beast of the Forest) และอยู่ในกฎห้ามล่า อาจารย์เอกสุดา อธิบาย

"หมูป่าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายมาก ในสมัยกลางจนถึงศตวรรษที่ 19 มีคนเสียชีวิตจากการถูกหมูป่าขวิดมากกว่าถูกฆาตกรรมเสียอีก

ในรูปนี้ เป็นรูปของอัศวินเซนทอร์ ที่ร่างข้างล่างเป็นกวาง มีหางเหมือนไก่ เป็นความแปลกประหลาด ใครที่จะมาปราบหมูป่าที่มีความชั่วร้ายนี้ได้ต้องไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายเหมือนกัน

หมูป่า มักปรากฎอยู่ในตำนานต่าง ๆ ส่วน หมูเลี้ยง ถูกมองเป็นเครื่องมือรีไซเคิลของคนยุคกลาง เพราะมันกินทุกอย่างที่เป็นเศษอาหารหรือขยะที่มนุษย์ไม่ต้องการ

ในสมัยก่อน ลอนดอน จะมีระบบเลี้ยงหมูแบบ free-range ปล่อยให้หมูเดินกินเศษอาหารตามท้องถนนและทุกอย่าง ไม่มีการซื้ออาหารให้หมู มีการผูกกระดิ่งและทำเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นหมูของใคร (เช่น ของโรงพยาบาลเซนต์แอนโทนี เพื่อนำเนื้อไปแจกคนยากไร้)

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

ในหนังสือ Book of Hours ซึ่งเป็นปฏิทินกิจวัตรประจำวันของชนชั้นสูง จะมีภาพประกอบของ Labor of the Month ในเดือนพฤศจิกายน เป็นภาพการให้อาหารหมูด้วยลูกโอ๊ก

มีคนคอยเขย่าต้นโอ๊ก ให้หมูกิน นี่คือระบบการควบคุมและเลี้ยงดูหมูเพื่อขุนให้อ้วนก่อนจะเชือดในเดือนมกราคม หรือช่วงคริสต์มาส แสดงให้เห็นถึงวัฏจักรชีวิตของหมูที่ถูกเลี้ยงเพื่อเป็นอาหาร

มีความเชื่อว่า หมู เกี่ยวข้องกับความสกปรกและตัณหา เป็นบริวารของแม่มดหรือสิ่งชั่วร้าย เป็นสิ่งที่แม่มดนำมาใช้ทำของ"

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง

สรุปได้ว่า สัตว์ ในศิลปะยุคกลางไม่ได้เป็นแค่ภาพประดับ แต่เป็น ภาพสะท้อนที่ซับซ้อน ของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มองสัตว์ในหลายมิติ ทั้งในฐานะเพื่อนร่วมทาง สัญลักษณ์ ภัยคุกคาม ทรัพยากร และเป็น กระจกสะท้อน ความเป็นมนุษย์ของเราเอง

ภาพสัตว์ยังเป็น เครื่องมือในการแสดงออก ความคิด ความรู้สึก ความเชื่อต่าง ๆ ในยุคกลาง 

การตีความความหมายของสัตว์ในยุคนั้น จึงเป็นภาพที่เต็มไปด้วยบริบททางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และศาสนาที่หลากหลาย

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง .

ค้นหา ‘ความหมาย’ ของชีวิต จากภาพ ‘สัตว์’ ในศิลปะยุคกลาง