อย่าหยุดแค่ห่านคูเมือง

อย่าหยุดแค่ห่านคูเมือง

ห่านคูเมืองเชียงใหม่ประสบความสำเร็จเกินคาด ในการสร้างแลนด์มาร์ค พักผ่อนหย่อนใจ เติมชีวิตชีวาให้เมือง เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สอดคล้องกับ Urban Reforestation ทั่วโลก

KEY

POINTS

  • โครงการปล่อยห่านในคูเมืองเชียงใหม่ประสบความสำเร็จเกินคาดในการสร้างแลนด์มาร์คและพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ช่วยเติมชีวิตชีวาให้กับเมือง
  • กรณีห่านคูเมืองเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของเมืองใหญ่ทั่วโลกที่หันมาฟื้นฟูธรรมชาติในเมือง (Urban Reforestation) และนำสัตว์กลับมาอยู่ร่วมกับคน
  • เมืองใหญ่อื่นๆ ในไทยอาจลองต่อยอดแนวคิดนี้ โดยพิจารณาเพิ่มองค์ประกอบของสัตว์ในพื้นที่สาธารณะอื่นๆ แต่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีระบบบริหารจัดการที่ดีเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ

เทศบาลนครเชียงใหม่ได้ริเริ่มกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจมาก ด้วยการเอาห่าน 10 ตัวปล่อยลงคูเมืองด้านทิศใต้ ละแวกแจ่งกู่เฮือง-ประตูเชียงใหม่ ประกาศว่าเป็นพนักงานทดลองงานกำจัดจอกแหนวัชพืชแบบธรรมชาติ โดยจัดโรงพักนอนและคอกกั้น สร้างกระแสสนใจมีคนติดตามเรื่องราวจำนวนมาก ทั้งมาเที่ยวชมดูด้วยตนเอง และติดตามในโซเชียลมีเดียจนกลายเป็นไวรัล

การกำจัดวัชพืชด้วยวิธีธรรมชาติเป็นแนวคิดใหม่ของเมืองยั่งยืน แต่ผลพลอยได้ที่มากับปฏิบัติการนี้คือ ความชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวยเติมบรรยากาศเมือง เสาร์อาทิตย์มีผู้ปกครองนำเด็กๆ ไปนั่งชมฝูงห่านตั้งแต่เช้า ทำให้พื้นที่สาธารณะของเมืองที่เดิมก็แค่คูเมืองที่ผู้คนสัญจรผ่าน กลับมาเป็นแลนด์มาร์คจุดสนใจ เติมสีสันนันทนาการลงในพื้นที่สาธารณะ ผลพลอยด้านนี้อาจจะมีคุณค่ายิ่งกว่าวัตถุประสงค์หลักกำจัดวัชพืชคูเมืองด้วยซ้ำไป

ที่จริงห่าน 10 ตัวก็แค่สัตว์เลี้ยงดาดๆ ประเภทเดียวกับเป็ด ไก่ ที่ไม่ได้แปลกประหลาดมากมาย ขนาดต้องขวนขวายไปหาชมในสวนสัตว์ ชาวบ้านในชนบทที่เลี้ยงห่านก็ยังพอมี  แต่ผลลัพธ์ที่ประชาชนกล่าวขวัญออกจากบ้านมาพักผ่อนหย่อนใจดู "ห่านคูเมือง" เป็นการตอบรับที่ดีเกินคาด ก็ด้วยเพราะสิ่งดังกล่าว “ขาดหายไป”  จากชีวิตความเป็นเมือง

อย่าหยุดแค่ห่านคูเมือง  ที่มาภาพ: เชียงใหม่ CM100 ข่าวเชียงใหม่

Urban Reforestation เทรนด์เมืองใหญ่สีเขียว ยั่งยืน ฟื้นธรรมชาติ

เมืองในยุคใหม่ต้องมีสีเขียวและธรรมชาติ เป็นแนวโน้มใหญ่ (mega trends)  ของ Urbanization ในศตวรรษ 21 แนวโน้มสีเขียวและความยั่งยืน กลายเป็นยุทธศาสตร์ของเมืองใหญ่ๆ หลายเมือง ที่หันมาปรับตัวเองให้กลับคืนสู่ธรรมชาติมากขึ้น ศัพท์วิชาการเรียกว่า Urban Reforestation หรือ การทำให้กลับสู่ความเป็นธรรมชาติ Rewilding

มหานครใหญ่ๆ ของโลกที่มุ่งไปสู่แนวทางพัฒนาดังกล่าว เช่น ลอนดอน สิงคโปร์ บาร์เซโลน่า อัมสเตอร์ดัม เบอร์ลิน เม็กซิโกซิตี้ เคปทาวน์ โซล ฯลฯ การจะไปถึงเมืองสีเขียวในระดับดังกล่าวได้ ต้องลงทุนปรับเปลี่ยนโครงสร้างและวิถีแบบเดิมของเมืองอยู่ในน้อย ในลอนดอนเปลี่ยนถนนทั้งสาย สิงคโปร์โดดเด่นมากจาก City in Nature  กรุงโซล ฟื้นลำคลองชองกเยชอน คืนระบบนิเวศแบบเดิมกลับมา  บาร์เซโลน่าได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่นิเวศสีเขียวครอบคลุมทั้งเมืองร่มรื่นมาก ฯลฯ

การที่เมืองใหญ่มุ่งพัฒนาตามแนวทาง Urban Reforestation นั้น สิ่งได้รับกลับมา นอกจากนิเวศต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ยังมีสัตว์ที่สูญหายหลายชนิด กลับคืนมาอยู่ร่วมกับคนในเมือง เช่น ที่สิงคโปร์ มีฝูงนากใช้ชีวิตใกล้ชิดร่วมกับผู้คน นกเงือกที่เคยสูญหายไปก็กลับมา ในยุโรปชัดเจนมากในเรื่องสัตว์ธรรมชาติ ลอนดอนนอกจากมีนกมากมายมาอยู่ในเมืองแล้ว ยังพบสุนัขจิ้งจอกแดงเพ่นพ่านชานเมือง และในสวนสาธารณะของอัมสเตอร์ดัม มีนากกลับมาอยู่ในคลองหลังการปรับปรุงคุณภาพน้ำ  

กล่าวโดยรวมก็คือ เมืองใหญ่ๆ ในโลกเขาตื่นเต้นที่จะแข่งกันทำเมืองกลับมาเขียว และแข่งกันตื่นเต้นที่มีสัตว์ธรรมชาติที่เคยหายไป กลับคืนมาอาศัยในนิเวศป่าเมืองร่วมกับมนุษย์ ขนาดนิวยอร์คซิตี้ เมืองใหญ่วุ่นวายของอเมริกา ยังมีเหยี่ยวหางแดง (red-tailed hawk) และ นกอินทรีหัวขาว (bald eagle) กลับมาใน Central Park ซึ่งทำให้เมืองตื่นเต้น และถือเป็นความสำเร็จในด้านการจัดการนิเวศยุคใหม่

สัตว์ธรรมชาติที่กลับมาอยู่แบบอิสระในเมือง เป็นคนละแบบกับฝูงสัตว์ที่ตั้งใจเลี้ยง ซึ่งแต่ละเมืองใหญ่ๆ ก็มักจะมีกรณีสัตว์เลี้ยงแบบนี้อยู่บ้าง เช่น ห่านแคนาดา หงส์ หรือปลา แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในสวนสาธารณะหรือพื้นที่เฉพาะ 

ห่านคูเมืองเชียงใหม่ อาจเป็นกรณีศึกษาให้เมืองใหญ่ทั่วไทย

เมืองที่มีสัตว์อยู่ร่วมกับคน ทั้งแบบเลี้ยงและแบบปล่อยไปมาอิสระ ต้องมีภารกิจเพิ่มขึ้นมา มีหน่วยที่ดูแลและจัดการสัตว์ อย่างเช่น กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่มีกระรอกจำนวนมากหากินอิสระในเมือง แม้เมืองจะไม่ได้เลี้ยงโดยตรงแต่ก็ต้องมีหน่วยงานคอยดูแลเขาเรียกว่า DC Health, Animal Care and Control

ที่กล่าวมา นั่นเป็นเมืองระดับดีประเภทหนึ่ง ที่เขาแข่งกันเขียว แข่งกันพัฒนาตามแนวทาง Urban Reforestation

สำหรับเมืองใหญ่ในประเทศไทย ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น นั่นก็คือ มีความคิดและเป้าหมายสีเขียวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ขนาดตั้งเป้าให้ไปสู่ Rewilding สัตว์ธรรมชาติที่กลับมาอยู่แบบอิสระในเมือง เป็นเป้าหมายไกลพอสมควรสำหรับเมืองใหญ่ในประเทศไทย 

อย่าหยุดแค่ห่านคูเมือง  ที่มาภาพ: เชียงใหม่  CM108 ข่าวเชียงใหม่

กรณีห่านคูเมืองที่เชียงใหม่ อาจจะเป็นกรณีศึกษาให้กับเมืองใหญ่อื่นๆ พิจารณาความเป็นไปได้ของการยกระดับพื้นที่สาธารณะสีเขียว ที่เดิมมักจะเขียวแต่ต้นไม้ใบหญ้า เป็นไปได้ไหมที่จะพิจารณาเพิ่มองค์ประกอบสัตว์เลี้ยงปล่อยอิสระเข้าไปในพื้นที่สาธารณะดังกล่าว แต่นั่นล่ะ มันก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนการบริหารจัดการ การดูแลทั้งสัตว์และคนเพิ่มเติมขึ้นมา

เติมบางสิ่งบางอย่างที่หายไป เพื่อทำให้ที่สาธารณะ (เฉยๆ)  ให้เป็นพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนทั่วไปเข้าถึงและชื่นชม

อะไรล่ะที่จะเติมลงไป ? ...มันก็มีหลายอย่างได้ รวมถึงสัตว์เลี้ยงในตอนนี้ และสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงมันมาเองเหมือนเมืองใหญ่อื่นที่เขาเริ่มทำ ซึ่งนั่นก็ต้องเตรียมความพร้อมทางนโยบายและการจัดการเตรียมรองรับไว้ด้วย

การบริหารจัดการสัตว์ในเมืองให้ดี คือ กุญแจสำคัญ

อย่าลืมว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนแต่มีมิติด้านที่ไม่พึงประสงค์ เช่น มูล ขับถ่าย อาการดุร้าย หรือการกัดกินพืชไม้ใบหญ้า ตลอดถึงการทำร้ายมนุษย์ อย่างเช่น ฝูงนากที่คนสิงคโปร์ภาคภูมิใจที่กลับคืนมาเติมเต็มระบบนิเวศชายฝั่ง ก็เคยทำร้ายไล่กัดชาวเมือง กวางที่เมืองนาระ ประเทศญี่ปุ่น ก็มีช่วงที่ดุร้ายระหว่างฤดูผสมพันธุ์ เป็นต้น

เหล่านี้เป็นต้นทุนและภาระที่เพิ่มขึ้นมาจากการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะ หากประสงค์ให้มีนิเวศที่สัตว์อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ มันมีความยุ่งยากกว่าปล่อยเป็ดยางสีเหลือง หรือทำสวนหย่อมสวยงาม หรือสร้างรูปปั้นแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของเมืองใหญ่ล้วนมีหน่วยงานด้านนี้อยู่แล้ว จากพื้นที่ฐานด้านสาธารณสุข ดูแมว หมา กำจัดแมลงยุงร้าย ยกระดับมาสู่การจัดการสัตว์อื่นเพื่อนันทนาการและนิเวศสาธารณะ

ดูจากปฏิกิริยาผู้คนในสังคมต่อฝูงห่านในคูเมืองเชียงใหม่ ก็พอมองเห็นว่าการเติมชีวิตน้อยๆ ลงในคูเมืองมันช่วยชุบชูความสดใสของผู้คนได้เพียงใด เมืองที่มีนิเวศแวดล้อมสีเขียว ที่ผู้คนอยู่ร่วมกับทั้งพืชพรรณและสัตว์หลากชนิด เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา

สิงคโปร์เริ่มต้นที่ตั้งเป้าเป็น Garden City ต่อมาไปไกลขึ้นอีกสเต็ปสู่ City in Nature เชียงใหม่อาจจะเริ่มต้นที่ฝูงห่านก็ได้ ...อย่าหยุดแค่ห่านคูเมือง เอาใจช่วยครับ

 

 

 

..........................................

เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ