บทบาทกระทรวงเกษตรฯ กับยุคสมัยนิเวศป่วน โลกรวน มลพิษท่วม

วิกฤติสิ่งแวดล้อมในไทยเกิดเรื่อยๆ ไม่หยุด โดยเฉพาะเริ่มมีพิบัติภัยขนาดใหญ่ อาทิ วิกฤติมลพิษฝุ่นควัน สารพิษในลุ่มแม่น้ำ แต่บางหน่วยงานยังไม่เห็นลงมือแก้ไขชัดเจน
KEY
POINTS
- กระทรวงเกษตรฯ ถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทน้อยและล่าช้าในการรับมือวิกฤติสิ่งแวดล้อม ทั้งปัญหามลพิษฝุ่นควันและการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ
- ในวิกฤติฝุ่นควันจากการเผาในภาคเกษตร มาตรการของกระทรวงฯ ถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพและไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้
- กรณีสารพิษในลุ่มน้ำโขง-กก กระทรวงฯ ถูกติงว่าละเลยหน้าที่ในการปกป้องดินและน้ำเพื่อการเกษตร โดยขาดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับความเสี่ยงเอง
- มีข้อเรียกร้องให้กระทรวงเกษตรฯ มีบทบาทนำและดำเนินการอย่างจริงจังในการปกป้องภาคเกษตรกรรมจากผลกระทบของปัญหาสิ่งแวดล้อม
ภาวะวิกฤติธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทยอยเกิดไม่ขาดสาย ส่วนหนึ่งมาจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศและบรรยากาศ อีกส่วนหนึ่งมาจากระดับของการผลิตและพฤติกรรมสังคมยังเป็นแบบเก่า ที่ยังปลดปล่อยของเสียและมลพิษเกินขอบขีดที่รับได้ มันถึงเกิดมีข้อตกลง (ที่ตกลงไม่เสร็จ) ว่าด้วยการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งที่สุดแล้วมันก็ไม่ทันกับหายนภัยแปลกๆ ฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน หรืออาการแสดงออกอื่นๆ ของโลกที่เริ่มรวน (ไปแล้ว)
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย แม้จะยังไม่หนักหนาเท่ากับหลายๆ ประเทศ แต่เราก็เริ่มมีปรากฏการณ์วิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมที่กลายเป็นพิบัติภัยขนาดใหญ่ อาทิ วิกฤติมลพิษฝุ่นควัน วิกฤติสารพิษในลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำรวก แม่น้ำกก แม่น้ำสาย ทางภาคเหนือ อันเป็นผลจากการผลิตที่ไม่สมดุลกับนิเวศสิ่งแวดล้อม บวกกับปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ลมฟ้าอากาศ พิบัติดังกล่าวก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
มลพิษฝุ่นควัน-สารพิษในลุ่มน้ำ สองวิกฤติใหญ่ที่ไทยยังรับมือไม่เป็น?!
พิบัติภัย 2 เรื่องที่ยกมา คือ วิกฤติมลพิษฝุ่นควันในอากาศ และวิกฤติสารพิษในลุ่มน้ำขนาดใหญ่ เกี่ยวข้องกับผู้คนนับสิบล้านคน มลพิษฝุ่นเกิดทุกภาคของประเทศยกเว้นแต่ภาคใต้ ขณะที่ลุ่มน้ำโขง-กก ที่เชียงรายก็เรือนล้าน สามารถกล่าวได้ว่าปัญหาสองเรื่องนี้เป็นปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนิเวศ ที่ซับซ้อน นอกเหนือความคุ้นเคยของระบบรัฐราชการไทยที่เคยปฏิบัติกันมา
จริงๆ แล้วมีหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องมากมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ว่า แต่บทความนี้ ขอหยิบเฉพาะบทบาทของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำเสนอเพียงมิติของหน่วยงานเดียว
ด้วยเพราะความผิดหวังต่อหน่วยงานนี้ .. !!
เหตุผลก็คือ ในช่วงที่ผ่านมาของการเกิดวิกฤติมลพิษฝุ่นและสารพิษลุ่มน้ำกก มีหน่วยงานมากมายที่กระโดดเข้าไปแสดงตนเพื่อร่วมแก้ปัญหา แต่ทว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งที่จริงแล้วควรมีบทบาทนำอยู่แถวหน้า แทบจะไม่ขยับเขยื้อนใดๆ สิ่งที่เป็นปัญหากระทรวงเกษตรต้องดำเนินการ ก็ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างที่คาดหวังไว้
กรณีวิกฤติมลพิษอากาศ :
วาระแห่งชาติว่าด้วยการแก้ไขมลพิษด้านฝุ่นละออง 2562 มีแผนปฏิบัติการว่าด้วยการลดการเผาในพื้นที่เกษตรอย่างชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติยังมีการเผาในนาข้าว ไร่ข้าวโพด และพื้นที่เกษตรอย่างต่อเนื่อง
จนเมื่อปี 2567 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนปฏิบัติการวาระแห่งชาติในปี กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้รัฐมนตรีว่าการฯ ชื่อ 'ธรรมนัส พรหมเผ่า' กลับเพิ่งจะมีแคมเปญรณรงค์ไม่เผาภาคเกษตรเอาเมื่อเดือนมีนาคม และผลลัพธ์ยังคงปรากฏจุดความร้อนมากมายในพื้นที่เกษตรภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคอีสานเช่นเดิม
กระทรวงเกษตรฯ พยายามชูบทบาทของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ว่ากำลังช่วยบรรเทาปัญหา ขนาดที่ขึ้นบินต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ยังไม่เกิดวิกฤติมลพิษ แต่นั่นแทบไม่มีผลช่วยบรรเทาอะไรมากในทางปฏิบัติ เพราะการบินด้วยเทคนิคสลายเพดาน inversion บนท้องฟ้าเป็นเทคนิคใหม่ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ตรวจสอบทางวิชาการแท้จริง
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเคยมีการประชุมในวงวิชาการด้านนี้ร่วมกับกรมฝนหลวง ได้ความประมาณว่า แม้จะไม่มีการวิจัยพิสูจน์ยืนยันเป็นแค่การทดลองภายใน แต่เมื่อมีปัญหาก็ต้องพยายามทำกันไปก่อน
กระทรวงเกษตรจึงค่อยๆ ลดการนำเสนอผ่านสื่อ แต่เดิมที่มั่นเหมาะว่าสามารถลดฝุ่นละอองลง 50% เลี่ยงมาใช้ถ้อยคำแบบอื่นที่ไม่มัดตัวเอง แถมการบินเพื่อสลายฝุ่นเมื่อต้นปี 2568 ก็แทบไม่มีผลลัพธ์ที่จับต้องได้ว่ามีผลสัมฤทธิ์ลดฝุ่นได้จริง ปัจจัยที่มีน้ำหนักสุดคือการลดการเผาและจุดความร้อนที่ต้นทางต่างหากที่เป็นปัจจัยหลัก
แต่กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งควรมีบทบาทในการลดจุดความร้อนและการเผาต้นทาง กลับไม่ได้ขยับดำเนินการในเรื่องนี้จริงจัง สถิติจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรของภาคกลาง ภาคอีสาน และเหนือตอนล่าง ยังมากมายเช่นเดิม แถมยังเผาทั้งกลางวันกลางคืนเช่นเดิม
คาดหวังอยากเห็น แผนปฏิบัติการยกระดับการผลิตภาคเกษตรที่ปลอดภัยปลอดการเผาจริง ๆ ที่ไม่ใช่แค่การรณรงค์
กรณีวิกฤติสารพิษลุ่มน้ำกก-โขง ฯ :
ปัญหาการทำเหมืองและการเปลี่ยนแปลงนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย-โขง ทำให้เกิดมีสารพิษ โลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนูเกินมาตรฐาน ทั้งน้ำสาย น้ำกก น้ำโขง พื้นที่ตอนบนของประเทศ แถมอาจมีแนวโน้มว่าจะแพร่กระจายลงลุ่มน้ำโขงลึกลงไปอีกนั้น เหล่านี้เกี่ยวข้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรฯ โดยตรง
แต่เจ้าหน้าที่และหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ กลับมีบทบาทน้อยมากอย่างน่าใจหาย
นอกจากบทบาทน้อยมากแล้ว ผู้ที่มีบทบาทอย่างเกษตรจังหวัดเชียงราย กลับให้เพียงคำแนะนำว่าเกษตรกรสามารถดึงน้ำจากแม่น้ำไปใช้ได้ โดยมีเงื่อนไขให้ปรับปรุงคุณภาพ PH ของดินเสียก่อน ให้แต่คำแนะนำ แต่ไม่มีแอคชันภาคปฏิบัติ ดังนั้นในภาพรวมจึงกลายเป็นปล่อยให้เกษตรกรแบกภาระการป้องกันปัญหาเอาเอง ตามมีตามเกิด
สำคัญที่สุดที่ขาดหายไปจากกระบวนการทั้งหมด ก็คือ บทบาทการปกป้องผืนดิน-คุณภาพดิน เป็นภารกิจที่ถูกละเลยและมองข้าม เพราะอันดับแรกๆ ทุกฝ่ายมุ่งที่ความปลอดภัยของน้ำอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะน้ำประปา ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับน้ำใช้สอยเพื่อการเกษตรน้อยลง และแทบไม่สนใจการปนเปื้อนในดิน ซึ่งดูจะไกลตัวออกไป
แท้จริงแล้ว การปนเปื้อนของสารหนูและธาตุโลหะหนักในดิน เป็นเรื่องใหญ่มาก เดิมพันของมันก็คือ การล่มสลายของการผลิตภาคเกษตรทั้งลุ่มน้ำ ผู้คนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่ผลิต และมูลค่าทางเศรษฐกิจของจังหวัด
ข้อแนะนำให้เกษตรกรดึงน้ำไปใช้ภาคเกษตรโดยตรงสุ่มเสี่ยงมาก เพราะเป็นคำแนะนำที่มุ่งแก้ปัญหาการปนเปื้อนในผลผลิตแบบเฉพาะหน้า ไม่ได้ป้องกันการปนเปื้อนตกค้างในดิน อันเป็นผลระยะยาวที่เดิมพันความเสียหายสูงกว่า
ไม่เพียงเท่านั้น กรมพัฒนาที่ดิน สังกัดกระทรวงเกษตร ฯ ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรง ตาม พ.ร.บ. พัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2551 มีบทบัญญัติให้ป้องกันการปนเปื้อนของสารพิษที่เป็นอันตรายต่อดินหรือทำให้สภาพที่ดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
กระทรวงเกษตรฯ ยังไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่การตรวจสอบคุณภาพน้ำทยอยแถลงผลออกมายืนยันว่า ในน้ำมีสารพิษและโลหะหนักเป็นอันตราย ควรจะปกป้องผลผลิตการเกษตรอย่างไร ท่ามกลางสภาพปัญหาของฤดูการผลิตนี้แบบเฉพาะหน้าและระยะต่อไป ที่เป็นเนื้อเป็นหนังและจับต้องได้มากกว่าถ้อยคำแถลงออกสื่อแค่ให้คำแนะนำ
และต้องมีปฏิบัติการปกป้องนิเวศดินน้ำของลุ่มน้ำกก ลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำสายอย่างไร ดูเหมือนว่ากระทรวงเกษตรยังไม่ได้แสดงบทบาทออกมาเลย
ขออนุญาตติเพื่อก่อ ด้วยความเคารพ!
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







