ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

ย้อนรอยภูมิปัญญาไทยสู่เรื่องราว "ข้าวเม่ากู้ชาติ" เผยบทบาทสำคัญของข้าวเม่าตั้งแต่เสบียงทหารโบราณจนถึงการเป็นมรดกวัฒนธรรมที่คนรุ่นใหม่ควรรู้และร่วมรักษา

ในช่วงวันที่ 23-25 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ดิฉันได้เข้าไปทำงานภาคสนาม ที่วัดหาดมูลกระบือ ริมฝั่งแม่น้ำน่าน อ.เมือง จ.พิจิตร

การเดินทางครั้งนี้ไปเพื่อทำวิจัยให้กับ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ในหัวข้อชื่อโครงการ "จัดเก็บข้อมูลภูมิปัญญาจากข้าวหอมมะลิสู่ข้าวเม่า" โดยมีเป้าหมายที่จะขึ้นทะเบียน "ข้าวเม่า" ให้เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขา: ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประเภท: อาหารและโภชนาการ เช่นเดียวกับที่ต้มยำกุ้งเคยได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติสาขานี้ เมื่อปี พ.ศ. 2554

แล้วทำไมต้องเป็นข้าวเม่า? ข้าวเม่าสำคัญอย่างไร

แต่เดิมดิฉันก็รู้จักข้าวเม่าแค่เพียงข้าวเม่าคลุก ข้าวเม่าทอด เป็นขนมอร่อยกินเล่น แต่กินเพลินจะอิ่มจุก แน่นพุงเอาได้ หลายครั้งที่กินข้าวเม่าก่อนเที่ยงแล้ว ข้าวเย็นไม่ต้องกินกันล่ะ อิ่มอร่อย อิ่มนาน พอๆ กับกินข้าวหลามก็ว่าได้

เรารู้กันทั่วว่า ข้าวสำคัญสุดๆ เพราะ "ข้าว" เป็นอาหารหลักของผู้คนในเขตเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ อันได้แก่ ประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ อินเดีย ทิเบต ภูฏาน ฯลฯ

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

พวกคนผมดำ หน้าตามองโกลลอยด์ต่างล้วนกินข้าวมาหลายพันปีทั้งนั้น จนปัจจุบันนี้เมืองไทยเรามีการเพาะปลูกข้าวหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวพื้นเมือง ฯลฯ โดย "ข้าวหอมมะลิ" ถือเป็นสายพันธุ์ข้าวที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับการยกย่องว่าอร่อยสุด เนื่องจากมีรสชาติหอม นิ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง

ข้าวหอมมะลิได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดทั้งระดับเอเชียและระดับโลก ชาวนาไทยท้องถิ่นต่างๆ ชมชอบเพาะปลูกสืบต่อกันมาแต่โบราณ และกระทรวงวัฒนธรรมยังได้ขึ้นบัญชีข้าวหอมมะลิเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556

สำหรับ "ข้าวเม่า" นั้น อาจห่างเหินจากคนรุ่นใหม่ไปบ้าง ดิฉันจึงขออธิบายให้รายละเอียดสักหน่อยว่า ข้าวเม่า คือข้าวที่ทำจากข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า และข้าวเหนียวดำ ที่ยังไม่แก่จัด นำมาคั่วแล้วตำให้เปลือกแตกหลุดออกไป คัดเปลือกออกแล้ว จะเหลือเม็ดข้าวลักษณะแบน นุ่ม สีออกเขียว

ข้าวเม่าจะหอมอร่อยอย่างยิ่งเมื่อทำจากข้าวหอมมะลิ

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

ข้าวเม่ามี 3 แบบ คือ

ข้าวฮ่าง หรือ ข้าวเม่าอ่อน ทำจากเมล็ดข้าวสีเขียวจัด

ข้าวเม่าแบบเขียวอ่อน ทำจากข้าวห่ามที่เปลือกเป็นสีเขียวเข้ม

ข้าวเม่าขาวนวล ทำจากข้าวเกือบแก่ เปลือกเขียวอมน้ำตาล

พอมาสนใจทำวิจัยเรื่องข้าวเม่า ดิฉันก็ได้เริ่มสืบหาความรู้ด้านต่างๆ และได้ข้อมูลสำคัญจาก อ.กฤษฎา บัวนาค นักวิชาการประจำศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรพื้นที่สูง จังหวัดเชียงราย ที่อยู่กับข้าวเม่ามาตั้งแต่เด็ก รู้เรื่องข้าวเม่าดีจากยายย่าและคนเฒ่าในหมู่บ้านอีสาน ประเด็นสำคัญที่ อ.กฤษฎา เล่าให้ดิฉันฟังก็คือ "ข้าวเม่ากู้ชาติ"

ในสมัยโบราณ ข้าวเม่าเป็นทั้งอาหารหลัก และเสบียงกรังติดตัวทหารในยามศึกสงคราม และข้าวเม่ายังเป็นอาหารหลักของพ่อค้าวัวต่างม้าต่างภาคเหนือ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาขบวนพ่อค้าวัวต่างม้าต่างชาวกุลาตองสู้-ไทใหญ่ที่รอนแรมขายสินค้ามาจาก รัฐฉาน พม่า เชียงราย เชียงใหม่ ข้ามทุ่งกุลา ผ่านจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดมุกดาหาร ข้ามเขตชายแดนเข้าไปขุดพลอย ค้าขายพลอยที่เมืองไพลิน ประเทศกัมพูชา สำหรับพวกเขาแล้ว ข้าวเม่าคือเสบียงกรังชั้นดี กินได้ทันที ให้อิ่มท้องโดยไม่ต้องพักแรมหุงหา

คุณยายของอาจารย์กฤษฎา อยู่บ้านม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้เล่าให้หลานๆ ฟังว่า พ่อค้ากุลาเรียกขานข้าวเม่าว่าเป็นเสมือน "ทองคำเขียว" อันมีค่ายิ่ง กินได้จับต้องได้ ต่อชีวิตได้ในขบวนรอนแรม เดินทางไกล และยังใช้เป็นพุทธบูชาสักการะพระสำคัญ เทศกาลสำคัญทางพุทธศาสนา

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

ประชุมกับอ.เดชา ศิริภัทรและทีมงานมูลนิธิข้าวขวัญในการสืบหาข้อมูลเรื่องของข้าวเม่า

ยังมีที่ครูของดิฉัน อาจารย์เดชา ศิริภัทร ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวของประเทศไทย ประธานมูลนิธิข้าวขวัญเล่าอีกว่า ข้าวเม่าเป็นอาหารทางวัฒนธรรม ควบคู่มากับวัฒนธรรมการปลูกข้าวนาปี การทำข้าวเม่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่ข้าวเริ่มมีเมล็ดสีเขียวจัด โดยกลุ่มชาวบ้านที่มาลงแขกลงแรงเก็บเกี่ยวข้าวในท้องทุ่งจะได้กินข้าวเม่าร่วมกัน และข้าวเม่ายังเป็นอาหารหลักในการแลกเปลี่ยนพืชพันธุ์ธัญญาหาร โดยแลกข้าวเม่ากับชุมชนคนปลูกมะพร้าวที่ไม่ได้ปลูกข้าว เพื่อนำมะพร้าวมากิน ใช้ทำข้าวเม่าคลุก

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

อาจารย์เดชายังอธิบายอีกว่า หลายสิบปีมานี้วัฒนธรรมการกินข้าวเม่า ผลิตข้าวเม่าจากท้องทุ่งได้สูญสลายไปมาก พร้อมการเลิกปลูกข้าวนาปี เป็นสภาพที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา เมื่อมีเขื่อนและระบบชลประทานไปถึงหลากหลายพื้นที่ ทำให้มีการปลูกข้าวนาปรัง และระบบเก็บเกี่ยวข้าวเปลี่ยนแปลงไปเป็นการจ้างคนเกี่ยว รถเกี่ยว ไม่ได้ลงแรง จึงไม่มีการทำข้าวเม่าไว้กินร่วมกันในการขอแรงเก็บเกี่ยวข้าวกันอีก จนทำให้ปัจจุบัน การผลิตข้าวเม่ากลายสภาพเป็นการนำข้าวเปลือกไปแช่น้ำให้นิ่ม แล้วตำให้เป็นข้าวเม่า

จากข้อมูลความรู้ของครูทั้ง 2 ท่านนี้ บอกชัดว่า ในอดีตข้าวเม่าเคยใช้เป็นเสบียงกรังอาหารอร่อยของทหารไทยโบราณที่ออกรบรักษาบ้านเมืองมาได้ แต่ที่คนไทยคุ้นเคยกันมากนั้น คือการนำข้าวเม่ามาทำเป็นของหวาน ของกินเล่น ปรุงได้หลายแบบ ดังเช่นข้าวเม่าคลุกนิยมกินกับกล้วยไข่, ข้าวเม่าทอด-เอาข้าวเม่าผสมน้ำตาลและมะพร้าวขูดไปพอกกล้วยไข่ ชุบแป้งให้ติดกันเป็นแพ ทอดในน้ำมันร้อนๆ โรยหน้าด้วยแป้งทอดกรอบ, ข้าวเม่าคั่วกินกับน้ำกะทิของหวานเรียกว่าข้าวเม่าราง, ข้าวเม่าหมี่-นำข้าวเม่าไปทอดให้กรอบแล้วใส่เต้าหู้หั่นชิ้นเล็กทอดกรอบ กุ้งแห้งทอด ถั่วลิสงทอด โรยน้ำตาลทราย กับเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน กินเล่นอร่อยมาก หรือกินจนอิ่มท้องไปได้

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

นอกจากนี้ข้าวเม่ายังเป็นอาหารหลักในการทำกระยาสารท อาหารทางวัฒนธรรม ที่ทำกินกันมากในช่วงสารทไทย แรม 15 ค่ำ ปลายเดือน 10

ปัจจุบันการทำข้าวเม่ายังมีอยู่ในหลายพื้นที่ ทั่วทุกภาคในประเทศไทย แปรรูปไปเป็นอาหารทำจากข้าวเม่าหลากหลาย โดดเด่นมากคือ ข้าวเม่าทอดเงินล้าน ของดีปีละครั้ง ที่วัดหาดมูลกระบือ จังหวัดพิจิตร ที่คนพิจิตรร่วมกันทำบุญทำข้าวเม่าทอดขายในช่วงแข่งเรือยาวหน้าน้ำหลาก สามารถหาเงินเข้าวัดได้เงินปีละเป็นล้านบาท ที่แห่งนี้น่าสนใจยิ่ง พลาดไม่ได้ ดิฉันกับน้องผู้ช่วยวิจัย คุณจำเรียงรดา โมนะ จึงได้เดินทางเข้าไปศึกษาเก็บข้อมูลอย่างละเอียด คุยกับพระและตายายคนตำข้าวเม่า แกะเปลือกข้าวเม่า ฝัดกระด้งข้าวเม่า ในวัดแห่งนี้ เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

นับว่าข้าวเม่าเป็นทั้งพุทธบูชา และอาหารหลักของชาวบ้านไทย ทหารไทยให้กินใช้ รักษาบ้านเมืองมาได้ ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้

ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ดิฉันกับน้องจำเรียงรดา ไปที่วัดหาดมูลกระบือ จ.พิจิตรตั้งแต่เช้า เราพบชาวบ้านและพระจำนวนมาก ราว 60-70 คน มาช่วยกันคั่วข้าวเม่า ตำข้าวเม่า ฝัดข้าวเม่า เลือกเปลือกข้าวเม่าออก เตรียมไว้ทำข้าวเม่าทอด ข้าวเม่าเงินล้านขายในงานแข่งเรือ ในช่วงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งพระทั้งชาวบ้าน คนเฒ่าทั้งหญิงชายเป็นส่วนใหญ่ ชุมนุมร่วมแรงร่วมใจผลิดข้าวเม่ากันอย่างเบิกบานคึกคัก ได้เห็นแล้วดิฉันชื่นใจมาก เรี่ยวแรงของคนกำลังจะแก่ ที่ผ่านร้อนหนาวมานาน ได้กำลังใจสุดๆ จากภาพตรงหน้าของวิถี ชุมนุมคนเฒ่าตำข้าวเม่ากับพระ

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

ด้วยเหตุดังเล่ามาทั้งหมดและจากภาพปรากฏสดๆ ตรงหน้า ทำให้ดิฉันประจักษ์แจ้งชัด ข้าวเม่าสำคัญและโดดเด่นยิ่งนัก ในโลกโบราณเปรียบข้าวเม่าเสมอด้วย “ทองคำเขียว” อยู่ในเสบียงกรังของกองทัพทหารไทยในยามสู้รบรักษาป้องกันชาติบ้านเมือง เพราะควักข้าวเม่าแห้งออกมาเจือน้ำให้นิ่ม กินกับเกลือ น้ำพริก ผัก ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาหุงหา (คงเหมือนมาม่าซองในยุคนี้ด้วยกระมัง) จะเรียกว่าข้าวเม่าช่วยกู้ชาติไทยมาด้วยก็ได้ นับว่าข้าวเม่าเป็นอาหารหลักทางวัฒนธรรมของคนไทยทุกภูมิภาคทุกยุคสมัย

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว

ดิฉันเริ่มแก่และเรี่ยวแรงถดถอย แต่เมื่อมีเหตุให้ได้ทำวิจัยเรื่องข้าวเม่า ก็ดีใจยิ่งนักที่จะได้ทำงานบูชาแม่โพสพที่ดิฉันน้อมกราบเคารพ และได้เก็บเรื่องเล่าข้าวเม่า ของชาวบ้านไทย ที่ดิฉันจะต้องทำทั้ง 4 ภาค เหนือ กลาง อีสาน ใต้ ด้วยหวังว่าการลงทำงานในพื้นที่ กลางทุ่งข้าวที่ดิฉันรักบูชา จะพาให้มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำงานรับใช้แม่โพสพได้ต่อไป

ข้าวเม่ากู้ชาติ ด้วยรักในข้าว