มุมมองความคิดเชิงบวกจาก ท่านดาไลลามะ แสวงหาความสุขที่ยั่งยืน

มุมมองความคิดเชิงบวกจาก ท่านดาไลลามะ แสวงหาความสุขที่ยั่งยืน

ข่าวที่ท่านดาไลลามะ ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดทั้งทางการเมืองและทางศาสนา (Tibetan Buddhism) ของทิเบตฉลองอายุครบ 90 ปี และเตรียมตัวหาดาไลลามะองค์ต่อไปหลังจากที่ท่านสิ้นไปแล้ว

ทำให้นึกถึงคำสอนของท่านที่พุทธศาสนิกชนไทยควรนำมาขบคิด บังเอิญผมได้รับหนังสือที่เพิ่งออกใหม่จากเพื่อนต่างประเทศ ชื่อ Voice for Voiceless ของท่านดาไลลามะเล่าเรื่องการต่อสู้ตลอดชีวิตหลังจากหลบหนีจากทิเบตในปี 2502 (ทิเบตถูกบุกยึดโดยจีนในปี 2493) 

ทั้งหมดรวมกันเป็นแรงบันดาลใจให้ขอนำสิ่งที่ท่านได้เขียนไว้ และผมได้เคยกล่าวถึงนานมาแล้วมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง เนื้อหามาจากหนึ่งในหนังสือหลายสิบเล่มที่ท่านได้เขียนไว้คือ The Art of Happiness (1998) หนังสือเล่มนี้เคยติดอันดับยอดขายสูงสุดของ New York Times เป็นเวลา 97 อาทิตย์ต่อเนื่องกัน

ท่านบอกว่าในขั้นพื้นฐานความสุขที่ยั่งยืนมิได้เกิดจากปัจจัยภายนอก เฉพาะในเวลาสั้น ๆ เท่านั้นที่คนอาจมีความสุขจากการได้บริโภคมากขึ้นหรือได้รับบริการจากสินค้าที่สร้างความสะดวกสบาย

แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลับไปมีความสุขในระดับปกติที่ตนเองคุ้นเคย ตัวอย่างเช่นการถูกลอตเตอรี่ ความสุขจะพุ่งขึ้นในเวลาอันสั้นและกลับไปสู่ระดับปกติ ทั้งหมดนี้มิใช่ความสุขที่ยั่งยืน

ความสุขที่ยั่งยืนเกิดจากปัจจัยภายในซึ่งได้แก่ สภาพจิตใจ การฝึกจิตให้เป็นไปในทางบวกจะทำให้บรรลุถึงสภาพจิตใจที่พึงปรารถนา มีอยู่ 3 ลักษณะอันจะอำนวยให้เกิดความสุขที่ยั่งยืนดังต่อไปนี้

ลักษณะแรก การเห็นอกเห็นใจอย่างมีความเมตตากรุณา (compassion) ซึ่งหมายถึงสภาพจิตใจอันไม่มีความก้าวร้าว กล่าวคือมีสภาพจิตที่ต้องการให้ผู้อื่นหลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ศัตรู หรือแม้แต่สัตว์

ลักษณะที่สอง การใส่ใจในเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง ซึ่งหมายถึงการแสวงหาความหมายของชีวิต (spirituality) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของการนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเนื่องจากทุกศาสนาต้องการให้ผู้นับถือมีความสุข แต่ความจริงของชีวิตก็คือทุกคนไม่ว่าจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม

เราสามารถกระทำความดี มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างมีความเมตตากรุณา และดูแลสนใจห่วงใยผู้อื่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตที่มีความหมายได้ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อลงมือกระทำก็จะทำให้เราเย็นลง มีความสุขและความสงบในชีวิตมากขึ้นอย่างแน่นอน

ลักษณะที่สาม ต้องมีจิตใจที่อ่อนปรับตัวได้ (supple mind) ความทุกข์เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกคนต้องประสบเพราะเป็นธรรมชาติของชีวิต คนเอเชียยากจนจนใกล้ชิดกับความทุกข์มากกว่าคนในโลกตะวันตก ซึ่งถึงแม้จะมองว่าความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่มักมองว่าตนเองเป็นเหยื่อของ “สิ่งเลวร้ายที่มองไม่เห็น”   แต่ความจริงก็คือ ความทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือความแก่และความตาย) 

ถ้ามองหาสิ่งที่จะโทษเมื่อเกิดความทุกข์ และมองว่าเป็นสิ่งผิดธรรมชาติและไม่เป็นธรรม เราก็จะหาความสุขไม่ได้ อย่างไรก็ดีหากมีจิตที่อ่อนปรับตัวได้ก็จะสามารถมองโลกในลักษณะ อื่นได้ ความสุขก็จะมีมากขึ้น การมีสภาพจิตใจที่ตระหนักว่าความทุกข์เป็นธรรมชาติ จะทำให้เราสามารถเผชิญกับมันและวิเคราะห์หาสาเหตุได้ (เช่น ตนเองอาจเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุก็ได้) จะทำให้เรามีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น

 

 

สิ่งที่ท่านดาไลลามะเน้นก็คือ การมีสภาพจิตที่เป็นบวกและหลีกเลี่ยงการคิดในทางลบเสมอ เช่น การมีความโกรธและความกลัวเพราะสองสิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคสู่การมีความสุขในชีวิต

การมีสภาพจิตทางบวก (เช่น ความรัก ความเห็นอกเห็นใจอย่างมีเมตตากรุณา ความอดกลั้น และความมีใจคอที่กว้างขวาง) เปรียบเสมือนยาที่จะไปกำจัดทัศนคติ ความรู้สึก และพฤติกรรมซึ่งไม่เป็นคุณ

การจะมีสภาพจิตดังกล่าวได้มิได้เกิดขึ้นข้ามวันข้ามคืน หากเปลี่ยนแปลงทีละเล็กน้อยจากการฝึกฝนปฏิบัติทางจิตอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญก็คือหากต้องการมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้นต้องตั้งใจอย่างมุ่งมั่นและลงมือปฏิบัติ

บุคคลผู้ปรารถนาความสุขที่ยั่งยืนต้องเข้าใจว่า ความสุขเกิดจากข้างใน มิใช่มาจากปัจจัยภายนอก ความโกรธและความเกลียดชังเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการมีความสุข เพราะมันบั่นทอนความสงบแห่งจิตใจ อีกทั้งทำลายวิจารณญาณของเราและมักนำไปสู่การกระทำที่ทำให้สถานการณ์เลวลง และทำให้โกรธยิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุปก็คือ การคิดในเชิงบวกโดยมีความเห็นอกเห็นใจอย่างมีความเมตตากรุณา การสนใจในเรื่องการแสวงหาความหมายของชีวิต และการมีจิตใจที่อ่อนปรับตัวได้ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะฝึกปฏิบัติจิต ก็จะทำให้มีชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืน