ผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2025 การเมือง & ผู้กำกับอิหร่าน

"เพราะการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ" ผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์จึงต้องขานรับ กับความสำเร็จของผู้กำกับอิหร่าน "จาฟาร์ ปานาฮี"
จัดเสร็จสิ้นกันไปแล้วกับเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 78 ประจำปี 2025 ระหว่างวันที่ 13-24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้ก็มีผลงานจากนานาประเทศเข้าร่วมประกวดจำนวนถึง 22 เรื่อง ส่วนคณะกรรมการตัดสินก็ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ในวงการฯ รวม 9 ราย
ได้แก่ ผู้กำกับ Payal Kapadia จากอินเดีย Dieudo Hamadi จากคองโก Hong Sang-soo จากเกาหลีใต้ Carlos Reygadas จากเม็กซิโก นักเขียน Leïla Sliman จากฝรั่งเศส-โมร็อกโก นักแสดงอิตาเลียน Alba Rohrwacher และ นักแสดงอเมริกัน Halle Berry กับ Jeremy Strong โดยมีนักแสดงหญิงระดับตำนานชาวฝรั่งเศส Juliette Binoche ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัล
หลังจากที่คณะกรรมการทั้ง 9 ท่าน ได้ไล่ชมหนังสายประกวดหลักกันในเทศกาลจนครบทั้ง 22 เรื่อง ภายในคืนวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม วันรุ่งขึ้นก็เป็นพิธีปิดเทศกาล ซึ่งจะประกาศผลทุก ๆ รางวัลกันในทันที ในขณะที่ตลอดทั้งวันทางเทศกาลจะจัดฉายหนังสายประกวดทั้งหมดให้คนที่พลาดได้ตามชมกันอีกครั้ง โดยจะมีหนังเพียงหนึ่งเรื่องเท่านั้นที่จะได้รับรางวัลใหญ่อย่าง ‘ปาล์มทองคำ’ ไป
ว่าแล้วก็ขอไล่รายชื่อหนังเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลจากคณะกรรมการชุดนี้ พร้อมความเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าแต่ละเรื่องมีความโดดเด่น ‘สมมง’ มากน้อยแค่ไหน
เริ่มจาก Special Prize รางวัลพิเศษที่ประกาศออกมาโดยไม่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า คล้าย ๆ รางวัลที่ตั้งขึ้นมาเพื่อ ‘ปลอบใจ’ และ ‘ให้กำลังใจ’ คนทำหนังที่ผลงานยังโดดเด่น แม้จะยังไม่เป็นเลิศถึงขั้นคว้ารางวัลอื่น ๆ ได้ นั่นก็คือภาพยนตร์จากจีนแผ่นดินใหญ่เรื่อง Resurrection ของผู้กำกับ Bi Gan
หนังยาว 160 นาที ที่เป็นเหมือนภาพฝันร้าย ถ่ายทอดจินตนาการไซไฟของปีศาจช่างฝันที่รู้จักกันในนาม fantasmer เมื่อมนุษยชาติต้องเจอกับภาวะหมดสมรรถภาพในการ ‘ฝัน’ ความฝันจึงได้กลายเป็นปรากฏการณ์สุดมหัศจรรย์ และเมื่อสตรีท่านหนึ่ง (รับบทโดย ซูฉี) สามารถหยั่งรู้นิมิตเหล่านี้ได้ เธอจึงเลือกที่จะเข้าไปสำรวจภาวะที่เคยสูญพันธุ์เหล่านี้จากปีศาจหนุ่มตนหนึ่ง
หนังแบ่งภาคออกเป็น 6 ตอน สะท้อนช่วงเวลาประวัติศาสตร์ภาพยนตร์แต่ละยุคสมัย ไล่มาตั้งแต่หนังเงียบแทรกแผ่นคำบรรยายลีลาคล้าย ๆ หนังสยองขวัญ expressionist เยอรมัน แต่ดันมีสีสันสดใสที่ไม่ได้มาจากการย้อม แล้วค่อย ๆ ตะล่อมมาจนถึงยุค digital filmmaking ที่สามารถถ่ายซีนต่อเนื่องยิงยาวได้ถึง 40 นาที ในท่อนก่อนสุดท้าย หากเนื้อหากลับไม่ได้ต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงกันแต่อย่างใด ไม่ต่างจากความฝันที่หลายครั้งก็ยุ่งเหยิงสอดพันกันจนจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้!
หนังเรื่องเดียวที่คว้าไปถึงสองรางวัลใหญ่ในค่ำคืนนั้น ได้แก่หนังจากบราซิลเรื่อง The Secret Agent ผลงานของนักวิจารณ์ที่ผันตัวมาเป็นคนทำหนัง Kleber Mendonça Filho ซึ่งติดโผเป็นผู้คว้ารางวัลการกำกับยอดเยี่ยมในปีนี้
The Secret Agent เป็นหนังเขย่าขวัญอิงการเมืองย้อนยุคกลับไปยังปี 1977 ณ เมือง เรชิเฟ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้กำกับเอง สร้างบรรยากาศ ด้วยหนัง เพลง และการแต่งกายในยุคสมัยนั้น วันที่บราซิลยังถูกปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ Marcelo นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์จึงต้องหนีจาก เซาเปาโล อพยพมาพบบุตรชายที่กำลังโต ณ เมือง เรชิเฟ เมืองที่ศพผู้คนระเนระนาดขาดคนสนใจ เมืองที่นักกิจกรรมหายตัวไปนับร้อย ๆ รายจนหาเบาะแสร่องรอยไม่ได้ กระทั่งวันดีคืนดีก็มีผู้พบท่อนขามนุษย์อุดอยู่ในกระเพาะของปลาฉลาม สร้างความสยองขวัญต่อผู้คนว่านี่คือผลจากกลเกมของน้ำมือใคร!
ในขณะที่ภาพยนตร์เรื่อง Jaws (1975) ของ Steven Spielberg ก็เพิ่งจะลาโรงไป จนต้องนำกลับมาฉายใหม่เอากระแสอีกครั้ง! The Secret Agent เปี่ยมไปด้วยพลังรายละเอียดแห่งยุคสมัยที่ใครที่เกิดทันก็น่าจะยืนยันได้ว่าผู้กำกับ Kleber Mendonça Filho เขาทำได้ถึง พร้อม ๆ กับการสร้างความตึงเครียดผ่านบรรยากาศทางการเมืองที่ทำให้เรื่องสยองขวัญมันช่างใกล้ตัวพวกเราเสียเหลือเกิน!
ส่วนนักแสดงนำ Wagner Moura ผู้รับบทเป็น Marcelo ก็ถูกเชิญให้รับรางวัลการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงชาย ซึ่งก็น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ไปร่วมงานด้วยในค่ำคืนนั้น
ข้างฝ่ายนักแสดงฝ่ายหญิงที่ได้รับรางวัลเดียวกัน ก็ได้แก่ Nadia Melliti จากหนังฝรั่งเศสเรื่อง The Little Sister กำกับโดย Hafsia Herzi
ในเรื่องนี้ Nadia Melliti รับบทบาทเป็น Fatima น้องสาวคนเล็กของครอบครัวมุสลิมเคร่งศาสนา ผู้ค้นพบว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยนแซฟฟิคที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน นำไปสู่ปัญหาคาใจว่าเธอจะเปิดเผยต่อครอบครัวอย่างไร ว่าจะไม่แต่งงานกับผู้ชาย ในขณะที่เธออายุได้ 17 ปี และมีโอกาสได้เผชิญชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยใจกลางกรุงปารีสเป็นครั้งแรก
บท Fatima ของ Nadia Melliti ทำให้เธอต้องแบกหนังเอาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องในฐานะตัวละครนำ แม้ว่านี่จะเป็นการทำงานในฐานะนักแสดงเรื่องเปิดตัวของเธอ จนทำให้คนดูไม่อาจแน่ใจได้ว่าบุคลิกที่นำเสนอในหนัง Nadia กำลังใช้วิชา acting หรือทุกสิ่งคือตัวตนจริงของเธอกันแน่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าตัวละคร Famita ‘ทำงาน’ กับเนื้อหาที่ผู้กำกับหญิง Hafsia Herzi ต้องการเล่าผ่าน The Little Sister เป็นอย่างดี จนไม่มีข้อกังขาใด ๆ ว่าทำไม Nadia Melliti จึงให้การแสดงที่ ‘เหนือชั้น’ กว่านักแสดงหญิงรายอื่น ๆ
รางวัลบทยอดเยี่ยมก็ตกเป็นของหนังที่หลาย ๆ คนชื่นชมว่าสมมาตรฐานการทำงานของคู่พี่น้องเจ้าของรางวัลปาล์มทองคำถึงสองใบ Jean-Pierre และ Luc Dardenne จากเบลเยียม ในหนังเรื่องใหม่ Young Mothers ที่นำเสนอภาพปัญหาชีวิตจากโลกความเป็นจริงของเหล่าวัยรุ่นหญิงที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร และต้องชวนกันมาพักพิงอาศัยร่วมชายคาในสถานอุปถัมภ์มารดาผู้มีบุตรธิดาขณะยังไม่พร้อม
โดยมารดาวัยรุ่นจำยอมเหล่านี้ แต่ละคนก็มีปัญหาชีวิตที่แตกต่างกันไป บ้างก็ถูกผู้ชายทิ้งขว้างไม่แยแสสนใจ บ้างก็อยากจะเริ่มต้นชีวิตการทำงานและมีบ้านไว้พักพิงอาศัย บางก็จำต้องส่งต่อทารกให้คู่สามีภรรยาผู้อุปการะฐานะดีจนต้องร้องไห้ แต่ละคนล้วนมีปัญหาหนักอกอยู่ภายใน ซึ่งทั้งผู้กำกับและเขียนบท Jean-Pierre และ Luc Dardenne ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริงจนชวนปวดใจ ไม่ต่างจากผลงานหัวใจสลายหลาย ๆ เรื่องที่เขาเคยสร้างมา!
รางวัล Jury Prize หรือ ขวัญใจคณะกรรมการ ในเทศกาลปีนี้ คณะ jury เขาตัดใจกันไม่ลงว่าจะสวมมงฯ ให้เรื่องไหน สุดท้ายก็ยอมมอบตำแหน่ง ‘เสมอ’ ให้กับงานที่อุดมไปด้วยความริเริ่มสร้างสรรค์ทางศิลปะใหม่ ๆ สองเรื่องด้วยกัน นั่นคือ Sound of Falling ของผู้กำกับหญิง Mascha Schilinkski จากเยอรมนี และ Sirât ของผู้กำกับชาย Oliver Laxe จากฝรั่งเศส-สเปน
Sound of Falling เป็นหนังเชิงทดลองที่ต้องการนำเสนอภาพชีวิตของตัวละครหญิงสี่รายคือ Alma, Erika, Angelika และ Lenka ที่อาศัยอยู่ ณ บ้านชนบทหลังใหญ่ในเยอรมนีตอนเหนือ ณ สี่ยุคสมัยที่ความเชื่อว่าสตรีมีบทบาทเป็นเท้าช้างหลังยังคงมีอิทธิพลอยู่ยาวนานกว่าศตวรรษ
หนังจึงนำเสนอภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเธอด้วยกรอบภาพ academy ratio อันอึดอัด จัด texture ให้มีความเป็นฟิล์มสมัยโบราณ นำเสนอพฤติกรรมประหลาดภายในบ้าน ราวจะเป็นงานสยองขวัญที่หลอนกันกลางวันแสก ๆ เป็นความแปลกบนความสามัญอันสุดแสนจะ uncanny
ส่วน Sirât นี่ก็ชวนหลอนไม่แพ้กัน หนังหันไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปาร์ตี้คอนเสิร์ตดนตรี electronic กลางทะเลทรายทางตอนใต้ของโมร็อกโก ที่ทุกจังหวะทำนองและเมโลดี้กระหน่ำตีให้ทุกคนได้ออกลีลาโยกย้าย โดยมีบิดาและบุตรชายคู่หนึ่ง กำลังตึงเครียดอยู่กับการตามหาบุตรสาวคนโตที่หายตัวไปในงานคอนเสิร์ตครั้งก่อนหน้า ทว่าไม่มีผู้ร่วมงานรายไหนจำเธอได้
การออกตามหาสมาชิกยอดดวงใจของพ่อลูกคู่นี้ จะกลับกลายเป็นเรื่องที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน เมื่อดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนี้เหมือนมีอาถรรพ์ของท่านมัจจุราช ที่อาจทำให้ทุกชีวิตที่หลงผ่านเข้ามา ไม่สามารถคืนเหย้าได้อย่างมีความสุข
หนังเล่าได้สนุกด้วย narrative ที่ทำลายแทบจะทุกกฎเกณฑ์ จนคนดูไม่สามารถหยั่งเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ นับเป็นการทดลองที่สดใหม่จากคนทำหนังสายเน้นบรรยากาศที่ฝีมือเฉียบขาดจนคว้ารางวัล Jury Prize ไปครองได้สำเร็จ
แต่หนังเด็ดประจำเทศกาลที่เหล่านักวิจารณ์พร้อมใจกันเทคะแนนให้อย่างใกล้เอกฉันท์ ก็คือ Sentimental Value ของผู้กำกับ Joachim Trier จากนอร์เวย์ ซึ่งได้ Renate Reinsve มารับบทนำเป็น Nora ประกบคู่กับ Stellan Skarsgård ในบท Gustav
Gustav บิดาของ Nora เป็นผู้กำกับหนังรุ่นใหญ่ที่ไม่มีผลงานชิ้นโบแดงมานาน เขาต้องการหวนคืนวงการด้วยการทำหนังเล่าประวัติมารดาผู้ตัดสินใจฆ่าตัวตายในบ้านหลังใหญ่ จากบาดแผลแห่งฝันร้ายในฐานะเหยื่อความรุนแรงแห่งพรรคนาซี ในขณะที่ Nora กำลังเป็นนักแสดงละครเวทีชื่อดัง ซึ่งน่าจะทำให้ผลงานเรื่องใหม่ของเขา ‘ปัง’ ขึ้นมาได้ Gustav จึงชวนให้ Nora มารับบทเป็นคุณย่าของเธอเองอย่างไม่เกรงใจ ทั้ง ๆ ที่ Gustav เคยทิ้งครอบครัวไปมีชีวิตใหม่โดยไม่เหลียวแล
แต่บาดแผลในครอบครัว ทำให้ Nora ไม่สามารถเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับโปรเจกต์เรื่องนี้ได้ บทนำจึงต้องตกไปอยู่ในมือของ Rachel Kemp ดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง (รับบทโดย Elle Fanning) ผู้ต้องมนต์ขลังแห่งงานภาพยนตร์ในอดีตของ Gustav จนต้องตอบรับทันทีที่ได้รับการทาบทาม!
ปล่อยให้ Nora ต้องหันไปหาน้องสาว Agnes (รับบทโดย Inga Ibsdotter Lilleaas) เพื่อระบายทุก ๆ ข้อคำถามว่า Gustav ไม่ทราบเลยใช่ไหม ว่าโศกนาฏกรรมมิได้เกิดขึ้นเฉพาะเพียงคุณย่าที่เลือกจะฆ่าตัวตาย หากยังมีความเสียหายที่ไม่อาจเยียวยาได้หลอนอยู่ในนิวาสถานหลังนี้ หลังที่ Gustav เองไม่เคยคิดจะกลับมาให้ความสนใจ!
หนังเล่าเรื่องราวปวดร้าวภายในครอบครัวใหญ่นี้ โดยเจาะจงไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองศรีพี่น้องวัยผู้ใหญ่ที่ต้องแบกรับอะไรไว้มากมายได้อย่างละเมียดละไม เป็นผลงานที่สร้างแรงสะเทือนใจในระดับมหาศาล เหมาะสมยิ่งกับรางวัล Grand Prix เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ประจำปีนี้
มาถึงรางวัลใหญ่ที่ผู้กำกับทุกรายต่างหมายปองอยากได้เป็นเจ้าของ นั่นคือรางวัลปาล์มทองคำ หรือ Palme d’Or ซึ่งในปี 2025 นี้ คณะกรรมการก็มีมติขอมอบให้หนังเรื่อง It Was Just an Accident หนังที่สร้างขึ้นจากความลำบากยากเข็ญในฐานะผู้กำกับที่เคยเป็นนักโทษการเมืองชาวอิหร่านจนเป็นข่าวสะเทือนวงการอย่าง Jafar Panahi!
ซึ่งชัยชนะอันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่ ‘นอนมา’ ถ้าจะไม่ลืมว่านักแสดงหญิง Juliette Binoche ประธานคณะกรรมการตัดสิน เคยอินกับความโกรธเคืองต่อข้อหาทางการเมืองที่จำกัดอิสรภาพของ Jafar Panahi เสมอมา ทุกคนเลยมองออกตั้งแต่หนังเรื่องนี้ยังไม่ได้ฉายเลยว่า It Was Just an Accident ของ Jafar Panahi น่าจะมีโอกาสสูงมาก ๆ ที่จะคว้ารางวัลปาล์มทองคำไปในปีนี้!
เรื่องราวมันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ Jafar Panahi ถูกรัฐบาลอิหร่านจับกุมขังเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 แล้วตั้งข้อหาว่าเขากำลังซุ่มทำสารคดีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล หลังจากที่ Jafar Panahi สร้างผลงานส่งฉายในเทศกาลดัง ๆ ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนได้ชื่อว่าเป็นงาน ‘ชังชาติ’ ป่าวประกาศทุกความไม่เป็นธรรมอันเป็นผลจากการกระทำของรัฐบาลประจานสาวไส้ให้โลกได้รับรู้!
ปีนั้นผู้กำกับอิหร่าน Abbas Kiarostami มีหนังเรื่อง Certified Copy เข้าร่วมประกวดที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ด้วยการแสดงนำของ Juliette Binoche พอดี Abbas Kiarostami จึงกล่าววาจาค่อนขอดรัฐบาลอิหร่านที่เพิ่งจับกุมตัว Jafar Panahi ที่ได้มาช่วยเขาทำหนังเรื่องนี้บนเวทีในห้องแถลงข่าว สร้างความร้าวรานให้นางเอกสาว Juliette Binoche จนไม่อาจกลั้นน้ำตา
ในเวลาต่อมารัฐบาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ Jafar Panahi ทำหนังหรือเดินทางไปร่วมเทศกาลในต่างประเทศเป็นเวลาถึง 20 ปี แต่มีหรือที่อะไร ๆ จะมาหยุดคนทำหนังไม่ให้ตั้งกล้องถ่ายสร้างผลงานได้
หลังโดนแบนเขากลับมีผลงานหนังที่แอบถ่ายออกมาอย่างไม่ขาดสาย ลักลอบส่งไปฉายในเทศกาลสำคัญ ๆ กันอย่างคึกคักคับคั่ง ตั้งแต่เรื่อง This Is Not a Film (2011), Closed Curtain (2013-ปีเดียวกับที่หนังเรื่อง Camille Claudel ของ Bruno Dumont ซึ่ง Juliette Binoche นำแสดงเข้าร่วมประกวดที่เทศกาลเบอร์ลินด้วยกัน แต่ Jafar Panahi เดินทางไปไม่ได้ ทำให้ Juliette Binoche ต้องใจสลายอีกครั้ง!), Taxi Tehran (2015), 3 Faces (2018) และ No Bears (2022)
ก่อนที่คำสั่งแบนเพิ่งจะถูกยกเลิกเมื่อเดือนเมษายน ปี 2023 นี้ It Was Just an Accident จึงนับเป็นหนังเรื่องแรกหลังคำสั่งแบนที่ Jafar Panahi สร้างขึ้นอย่างถูกกฎหมาย และสามารถเดินทางมาร่วมในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ได้ สร้างความยินดีปรีดาแก่ Juliette Binoche อย่างที่สุด!
ความสัมพันธ์เหล่านี้เองที่ทำให้หลาย ๆ คนหยุดคิดไม่ได้ว่า หนังเรื่อง It Was Just an Accident ของ Jafar Panahi ช่างมาได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ชนิดที่ว่าถ้าผลงานออกมาไม่ค่อยจะดี Juliette Binoche ก็น่าจะหาวิธีกล่อมตะล่อมคณะกรรมการให้มอบอะไรสักรางวัลให้ได้ แด่คนทำหนังที่น่าจะ ‘สู้ชีวิต’ อย่างเกินใคร เขาห้ามไม่ให้ทำก็ยังอุตส่าห์สร้างผลงานดี ๆ ออกมาได้ โดยไม่ยอมให้เสียชื่อเสียสปิริตแห่งการเป็น ‘นักทำหนัง’!
แต่ก็นับว่าโชคดีที่ Jafar Panahi เขายังรู้งาน พอผ่านการยกเลิกคำสั่งแบนห้ามทำหนัง เขาก็ตั้งใจเล่าเรื่องราวแนว ‘เอาคืน’ ใน It Was Just an Accident ให้ตัวละครหลักเป็นคนงานในร้านนาม Vahid ที่ขณะกำลังปิดร้าน ชายขาพิการนาม Eghbal ก็เข้ามาขอความช่วยเหลือเมื่อรถยนต์ของเขาพัง ขณะกำลังพาภรรยาและลูกสาวกลับบ้าน
Vahid จำเสียงฝีเท้าของ Eghbal ได้ทันที ว่าชายผู้นี้คือ Peg-Leg เจ้าหน้าที่ที่เคยกระทำทารุณต่อเขาและเพื่อนนักโทษในเรือนจำ หลังถูกนำเข้าซังเตในข้อหาทำตัวเกเรประท้วงเรียกร้องค่าจ้างค้างจ่าย Vahid จึงวางแผนลักพาตัว Eghbal ไปทำร้ายด้วยการฝังทั้งเป็น หากเมื่อ Eghbal แสดงให้เห็นว่า Vahid จำคนผิด เขาจึงขับรถไปตามหมู่มิตรนักโทษที่เคยถูกจองจำร่วมกัน ให้มาช่วยยืนยันว่านี่คือ Peg-Leg ไม่ผิดคน!
It Was Just an Accident จึงเป็นผลงานหนังที่ตั้งใจเปิดโปงความอำมหิตผิดมนุษย์มนาที่เจ้าหน้าที่ทางการเคยกระทำต่อนักโทษการเมืองในอิหร่านได้อย่างเจ็บแสบแบบตรงไปตรงมา สาแก่ใจคนดูในเทศกาล จนหลาย ๆ คนเรียกให้เป็นงานชั้นยอด
หนังเรื่อง It Was Just an Accident จึงยิ่งกว่า ‘รอด’ ในการประกวดของเทศกาล เหมาะสมที่จะประดับด้วยใบปาล์มทองคำเทศกาลคานส์จากตัวสารที่ไม่คิดจะอ้อมค้อม
อย่างไรก็ดี เหล่านักวิจารณ์ก็มิได้พร้อมใจกันยกย่องให้ It Was Just an Accident เป็นงานที่ดีอย่างเอกฉันท์ เพราะท่ามกลางเสียงสรรเสริญเยินยอ บางคนก็ขอใช้สิทธิ์ไม่เห็นพ้อง จนเสียงตอบรับต้องแตกออกเป็นสองฝ่าย
โดยกลุ่มที่ไม่ชอบต่างก็บอกว่าหนัง ‘เล่นง่าย’ และตรงไปตรงมามากเกินไป ชั้นเชิงซ่อนนัยที่ Jafar Panahi เคยใช้ในหนังเรื่องเก่า ๆ ของเขาเลยไม่เหลือแม้แต่เงาในงานชิ้นนี้ แถมวิธีการแสดงของ Ebrahim Azizi ในบท Eghbal ในช่วงไคลแมกซ์ ก็ดูจะร้องแรกแหกกระเชออย่างล้นเกินมากไป น้ำเสียงของหนังจึงดูจะมีแต่การใส่ไฟ ไม่ได้ให้ความละเมียดลุ่มลึกอันเป็นลายเซ็นสำคัญของ Jafar Panahi ในผลงานที่ผ่านมาอีกเลย!
การที่ประธานคณะกรรมการตัดสิน Juliette Binoche เอ่ยชื่อให้ It Was Just an Accident เป็นหนังที่ได้รับรางวัลปาล์มทองคำประจำปีนี้ จึงมีวาระทางการเมืองเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแอบแฝงอยู่ในที ว่าทั่วโลกเขาต่างยกย่องสดุดีให้ Jafar Panahi เป็นผู้กำกับระดับชั้นยอด แล้วทางการอิหร่านจะมาถอดถอนเสรีภาพในการแสดงออกของเขาไปทำไม หากในความเป็นจริงเขากลับสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ
ซึ่งก็นับเป็น ‘หมายเหตุ’ ที่ทรงพลังและน่าประทับใจ จนคนที่ไม่ได้ซื้อไม่ได้ปลื้มไปกับหนัง ก็ยังแอบดีใจที่คณะกรรมการมอบรางวัลปาล์มทองคำให้เขา เพราะเอาเข้าจริง ๆ เขาคู่ควรจะได้รับสิ่งนี้มาตั้งนมนานแล้ว!
รางวัลปาล์มทองคำสำหรับ It Was Just an Accident จึงทำให้ Jafar Panahi เป็นผู้กำกับแถวหน้าที่คว้ารางวัล ...ทองคำสำคัญ ๆ ในวงการประกวดหนังได้อย่างคับคั่งมากที่สุด โดยเฉพาะ...
- รางวัลกล้องทองคำ สำหรับผลงานหนังยาวเรื่องแรก เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 1995 จาก The White Balloon
- รางวัลเสือดาวทองคำ เทศกาลภาพยนตร์เมืองโลการ์โน 1997 จาก The Mirror
- รางวัลสิงโตทองคำ เทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส 2000 จาก The Circle
- รางวัลหมีทองคำ เทศกาลภาพยนตร์เมืองเบอร์ลิน 2015 จาก Taxi Tehran
- รางวัลปาล์มทองคำ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2025 จาก It Was Just an Accident
และอื่น ๆ อีกหลาย ๆ ...ทองคำ จนเกินจะจดจำ กลายเป็นตำนานร่วมสมัยของนักทำหนังผู้ไม่เคยยอมแพ้พ่าย ต่อการปิดกั้นและหยุดยั้งทำลายพลังความคิดสร้างสรรค์ อันเป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาล!