สิ่งที่ควรจะเกิดมีหลังฤดูฝุ่น 67/68 (ตอน2)

สิ่งที่ควรจะเกิดมีหลังฤดูฝุ่น 67/68 (ตอน2)

แม้ฤดูฝุ่นจะสิ้นสุดลงพร้อมสายฝน แต่ปัญหาฝุ่นควันยังคงเป็นวาระสำคัญที่ต้องแก้ไขอย่างยั่งยืน ผู้เขียนขอนำเสนอความเห็นจากมุมมองภาคประชาชนต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว

KEY

POINTS

  • ไทยยังระบบการจัดการวิกฤติฝุ่นยังไม่ลงตัว มีความซ้ำซ้อนและเปลี่ยนแปลงบ่อย ขาดหน่วยงานหลักที่มีงบประมาณเพียงพอ ทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นแบบเฉพาะกิจและขาดความต่อเนื่อง
  • การใช้งบประมาณยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร มีทั้งส่วนที่เหลือและส่วนที่ขาดแคลน การประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการต่างๆ ยังไม่ชัดเจน และการสนับสนุนทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นในระดับปฏิบัติการยังจำกัด
  • รัฐบาลไทยยังไม่มีผู้บัญชาการหลักที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ ภารกิจทั้งในระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อปรับโครงสร้าง และในระยะเผชิญเหตุ ยังไม่ถูกกำหนดและสื่อสารอย่างชัดเจน

แม้ฤดูฝุ่นจะสิ้นสุดลงพร้อมสายฝน แต่ปัญหาฝุ่นควันยังคงเป็นวาระสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน ผู้เขียนขอนำเสนอข้อคิดเห็นจากมุมมองภาคประชาชนต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว (ข้อ1-5) โดยครั้งนี้จะนำเสนอหลายมุมมองต่อเนื่องในข้อ 6-10 ซึ่งครอบคลุมการจัดโครงสร้างองค์กร งบประมาณและประสิทธิภาพการจัดการ ปัญหาการขาดแม่ทัพใหญ่ในการบัญชาการ ภารกิจที่ต้องดำเนินการทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงวิชาการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในปีต่อๆ ไป

6. การจัดขบวน

การออกแบบโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับปัญหาวิกฤติมลพิษฝุ่นในภาพรวมย่ำแย่และเปลี่ยนไปมา จนถึงปีล่าสุด 67/68 ก็ยังไม่ลงตัว !!! ซึ่งนี่ควรต้องเอามากางดู และปรับแก้ระหว่างปี

ในยุค คสช. ใช้รองนายกฯ สวล. แต่กลไกบัญชาการหลักคือ กอ.รมน. รองผวจ.ฝ่ายทหาร และในระดับภาค ให้ แม่ทัพภาค 3 บัญชาการจังหวัดภาคเหนือ ดังนั้นวิสัยทัศน์กรอบวิธีคิดจึงเป็นไปแบบปราบปรามผู้ก่อการร้าย ปราบปรามจุด hotspot เป็นการเฉพาะกิจ ส่วนกลไกระบบราชการแผนงานยังหลวมๆ แบบเดิม

ที่จะกล่าวในพารากราฟนี้คือของเดิมในอดีตเพื่อให้เห็นพัฒนาการ !  เมื่อก่อนหน่วยงานส่วนกลางที่เกี่ยวข้องจริงจังกับปฏิบัติการไฟป่ามีแต่กรมอุทยานฯ เพราะกรมป่าไม้ถ่ายโอนภารกิจแล้ว ภาคประชาชนเพิ่งมาจี้เรื่องนี้เมื่อราว 4 ปีก่อน ขณะที่ในส่วนของกรมอุทยานฯ เองก็มีปัญหา ยุคโน้น บางป่า

หน่วยที่รับผิดชอบมีแค่ สถานีควบคุมไฟ มีคนนิดเดียว พื้นที่รับผิดชอบก็ราว 2 แสนไร่ ไม่คลุมทั้งเขตป่า หน่วยอื่นเขาไม่มาร่วมแบก เรื่องนี้มันเป็นการเมืองภายในองค์กรด้วย จนกระทั่งอธิบดีอรรถพล ย้ายไปอุทยานฯ ก็ได้สั่งให้มีระบบซีอีโอป่า คือให้ทุกหน่วยมาอยู่ภายใต้หัวหน้าปฏิบัติการคนเดียว

ในปีแรกก็สับสนอยู่บ้างเพราะหอุทยานฯ บางคนไม่รู้เรื่องไฟก็มี เป็นรุ่นน้องวนศาสตร์อ่อนกว่าหัวหน้าสถานีไฟก็มี แต่มันก็สามารุปรับจูนกันภายในมาได้ตั้งแต่ 67 พอปี 68 ที่ผ่านมา ระบบบูรณาการภายในเพื่อเผชิญเหตุขยายวงเป็นคลัสเตอร์ป่า เอาป่าสงวนป่าอนุรักษ์มารวมกัน เติมงบและบทบาทภารกิจให้กรมป่าไม้ มีทสจ.มาร่วมเพื่อประสานไปถึงวงจังหวัด/ปกครอง  

ในส่วนของจังหวัดเดิมนั้น เขาให้ ผู้ว่าฯ เป็นซิงเกิ้ลคอมมานด์ ตาม พ.ร.บ.ปภ. แผนวาระชาติปี 62 เขียนไว้แบบนี้ แต่มันเขียนแบบลอยๆ ทิ้งขว้างให้ผู้ว่าฯ ไปหาทางเอาเองตามบริบทตน แนวทางของแต่ละจังหวัดจึงขึ้นกับประสบการณ์ผู้ว่าฯ จริงๆ

แปลว่าถ้าจังหวัดไหนผู้ว่าฯ โยกย้าย ก็ต้องรอผู้ว่าฯใหม่มาถึง ตุลาคม เพื่อจะทุบโต๊ะว่าแผนจังหวัดปีหน้าจะเดินแบบไหน หลักๆ คือ จะห้ามเผาตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่นั่นแหละ

ขบวนทัพ ที่หมายถึง การจัดโครงสร้างองค์กร มันจึงแปลกๆ มาตั้งแต่ระดับชาติ มีคณะกรรมการระดับชาติจริงแต่ก็แค่อำนวยการชงครม.เพื่ออนุมัติแผนของแต่ละปี บางปีก็กลวงๆ แค่รูปแบบพิธีกรรม ไม่มีผลต่อปฏิบัติจริง หน่วยงานส่วนกลางแต่ละหน่วยก็เลย ตั้งงบ ตั้งภารกิจตามแบบของฉัน ก็ว่าไป เช่น หน่วยทหาร มีภารกิจตกค้างดั้งเดิมมาตั้งแต่ยุค คสช. แผนก็เช่นการส่ง จนท.รณรงค์ ปชส. เขาก็ตั้งงบแบบนี้เรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน

หน่วยอื่นๆ เขาก็ตั้งของเขา ... แต่หน่วยงานหลักคือกรมป่าไม้ ดูแลป่าสงวนไม่ได้ตั้ง เพราะถ่ายโอนแล้ว สตง.ไม่ให้ ขณะที่ อปท.ที่รับถ่ายโอนมา มหาดไทยให้งบอุดหนุนปีละแค่ราว 50 ล้านบาท ไม่พอ การจัดขบวนทัพเพื่อเผชิญเหตุ จึงแหว่งๆ พิกล

หน่วยหลัก เจ้าภาพพื้นที่ไม่มีเงิน รอการเปลี่ยนแปลงเฉพาะแต่ละปีไป เช่นปีนี้ กระทรวงทรัพย์ฯ เสนอ ครม.มีคลัสเตอร์ป่า และของบกลางให้กรมป่าไม้ มันถึงมีเงินมาทำงาน รับเป็นเจ้าภาพในพื้นที่ป่าสงวนได้ ส่วน อปท. ได้งบอุดหนุนเช่นกัน แต่ก็เฉพาะป่าในคลัสเตอร์ตาม มติ ครม.

เห็นไหมว่า ระบบการจัดกระบวนทัพของเรา มันเป็น Ad Hoc/ Temporary ลมเพลมพัดเอาจริงเอาจังแต่ละปี

การถอดบทเรียนปีนี้ รัฐบาล ควรกางระบบออกแบบโครงสร้างองค์กรเพื่อบริหารจัดการมาส่องดู คือไหนๆ พรบ.อากาศสะอาดก็จะออกกลางปี (คงผ่านแหละ) มันต้องมาปรับปรุงระบบกันอยู่แล้ว ก็เริ่มตั้งแต่ถอดบทเรียนเลย คือถอดตั้งแต่โครงสร้างการจัดองค์กร

7. งบประมาณและประสิทธิภาพ

นอกจากงบกลาง ที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับอุดช่องโหว่แบบ temporary ปีต่อปีแล้ว ยังมีงบอีก 3 แหล่งเกี่ยวข้อง ด้วยระบบการจัดองค์กรและการงบประมาณ แบบหน่วยงานส่วนกลางขอของตัวเองไป เราเรียกสั้นๆ ว่า "งบฟังก์ชัน"

ส่วนหน่วยงานภูมิภาคโดยกลุ่มจังหวัดมีงบของตัวเอง เราเรียกสั้นๆ ว่า "งบแอเรีย" และสุดท้ายคืองบท้องถิ่น ที่เล็กจ้อยมาก มีปัญหาเรื่องการรับมอบภารกิจแต่ไม่มีงบ นี่เพิ่งปรับระบบกันโดยให้ท้องถิ่นมีแผนอนุมัติแผน เพื่อจะของบโดยตรงได้เอง

เมื่อก่อน (ย้ำว่าเมื่อก่อน) งบแอเรีย คือแหล่งสูบเงิน ละลายเงิน มีกิจกรรมแต่แทบไม่เกี่ยวกับผลลัพธ์แก้ปัญหา เช่น บางหน่วยขอไปทำฝาย บางหน่วยขอไปทำแนวกันไฟ ทั้งๆ ที่ป่าตรงนั้นมีหน่วยอื่นที่ขอแนวกันไฟจากงบส่วนกลางฟังก์ชั่นมาแล้ว งบแอเรียเขียนไว้เพื่ออบรมเยอะมาก ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งระยะหลังไม่รู้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน?!

สุดท้ายคืองบฉุกเฉินภัยพิบัติ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้ได้ตาม พ.ร.บ.ปภ. งบตัวนี้เแรกๆ เขาไม่กล้าใช้ อย่างที่เชียงราย เกิดมลพิษข้ามแดนแม่สายสูงมาก แต่ดันไม่มีระเบียบรองรับให้ ผวจ.ประกาศเขต เพื่อใช้งบเป็นต้น

ในภาพรวม ... เรายังจัดการประสิทธิภาพการใช้งบ และ ภารกิจ ยังไม่ดี !!!

เช่น กรมฝนหลวง มีงบฟังก์ชั่นของตัวเอง แต่เดิมทำฝนหลวง มาสองปีหลังเพิ่งคิดค้นวิธีโปรยสารเจาะเพดานอากาศ ระบายฝุ่นบนระดับ 2-3 ก.ม. บนฟ้า แต่อ้างอิงการวิจัยของหน่วยงานที่เป็นแค่การวิจัยเบื้องต้น มีจุดอ่อนทางวิชาการอยู่หลายจุด เคยเข้าที่ประชุมนักวิชาการวงใหญ่มาแล้ว เขาก็ยอมรับว่า มีช่องทางไหนทำได้ แก้ปัญหาได้ก็ทำไปก่อน เขาก็บินตั้งแต่ธันวาคมยาวมาเมษายน 5 เดือน

ปีนี้ มันควรต้องมีรายงานประเมินผลสัมฤทธิ์การระบายฝุ่นที่เคลมว่า ระบายออกได้ 50 % แค่ไหน ตรงไหน !!?

ก็เหมือนยุคก่อนโน้น กรม ปภ. เอารถฉีดน้ำขึ้นฟ้า ระดมข้ามจังหวัดมา ค่าที่พัก ค่าน้ำมัน ค่าเบี้ยเลี้ยงมากมาย โดยผลลัพธ์ก็แค่มีน้ำเย็นๆ ตรงแถวนั้น พอปลอบประโลม ไม่ได้แก้ปัญหาจริง ประเทศเราไม่ได้มีงบประมาณมากมายเหลือเฟือนะครับ เพราะเมื่อย้อนไปดูในพื้นที่ จนท.ดับไฟไม่มีโดรน ไม่มีมอเตอร์ไซด์ไต่เขา ต้องใช้รถฮอนด้าแม่บ้านไปใส่ล้อเอง ของ จนท.อาสาสมัคร ใช้งานกัน ไอ้ที่เหลือก็เหลือเฟือ ไอ้ที่ขาดก็ยังขาด !

ประสิทธิภาพ วัดโดยดูจากงบประมาณ+ทรัพยากรที่ใส่ลงไป ก.เกษตร มีโครงการไม่เผาเกษตร เปิดตัวเอิกเกริกมาตั้งแต่ มีนาคม 2567 ยุค รมว.ธรรมนัส นี่ก็พรรคเดียวกันที่รับช่วงมา อยากถามว่า สัมฤทธิ์แค่ไหน ต้องปรับอะไรในการถอดบทเรียนปีนี้และเพื่อความชัดเจนของปฏิบัติการแก้ปัญหาปีหน้า

ปีนี้ ฝ่ายป่าของบมาเพิ่มอัตราจ้างชาวบ้านเฝ้าจุดระวัง เป็นแนวป้องกันที่มีชีวิตและมีสัมพันธ์กับชุมชน เขาว่า ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น รัฐก็ควรประเมินผล ว่าดีจริงไหม เพื่อจะได้หางบยาวๆ ทำตรงนี้ต่อไป...เป็นต้น

8. แม่ทัพใหญ่

รัฐบาลไม่มีแม่ทัพใหญ่เรื่องนี้ แต่เดิมมีรองนายกฯ ประเสริฐ (พท.) ระหว่างศึกตอนที่กรุงเทพฯแดง ก็มี รองนายกฯ+มท.1 อนุทิน (ภท.) ปีนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลง น่าจะได้ พรบ.อากาศสะอาดและ กลไกใหม่ตาม พรบ.ใหม่ขึ้นมา นี่ล่ะช่วงเปลี่ยนผ่านที่น่ากังวล เพราะแนวโน้มของปีหน้า มันไม่แน่ว่าสภาพอากาศจะออกหน้าไหน จะลานีญ่าเข้มกว่าเดิม แบบ 64-65 หรือกลายเป็น เอลนิโย่

เรามีประสบการณ์เชิงสถิติมากพอที่จะบอกว่า ลานีญ่าฝุ่นจะเบา เอลนิโญ่ฝุ่นหนักมาก ส่วนปีปกติ ENSO ก็แดงยาวพ้นสงกรานต์ ควรจะมีการกำหนดยุทธศาสตร์แบบเชิงรุก เชิงรับ ให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศ กำหนดภารกิจวิธีการที่แตกต่างกันไป ไม่ใช่ว่าเคยมีภารกิจแบบไหน ก็ทำแบบเดิม ๆ ซึ่งมันก็พิสูจน์มาแล้วว่า พอเอลนิโญ่มา สถานการณ์เปลี่ยน รัฐก็แพ้ทุกที ดูปี 2566 เป็นตัวอย่าง

แม่ทัพใหญ่ยังไม่มี มีแต่เจ้าภาพคือ กระทรวงทรัพย์ฯ  ที่รับหน้าที่ ชงแผนเฉพาะกิจรายปี เข้าครม.ก่อนพฤศจิกายน ใครจะขออะไรเพิ่มก็ขอผ่าน มติ ครม. ตรงนั้น ซึ่งปีที่ผ่านมา รัฐบาลเองก็ไม่ได้ทำตามมติ ครม. ที่ตัวเองอนุมัติแผนนะครับ ลองไปตรวจสอบทบทวนดีๆ (ด้วยเพราะตกใจไฟเกษตร ฝุ่นกรุงเทพฯ ฝุ่นอีสาน หรือเปล่าไม่รู้)

ถามฝ่ายการเมือง ใครเป็นเจ้าภาพ เจ้าของเรื่อง คนที่กุมสภาพตัวจริง ขอถามจริงๆ คนผู้นั้นต้องแบกภารกิจใหญ่ระหว่างปี ที่จะกล่าวถึงในข้อ (9) ต่อไป

9. ภารกิจ

ภารกิจการแก้ปัญหาวิกฤติมลพิษฝุ่นไทย แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักที่ยากทั้งคู่ คือ 1)ภารกิจการเปลี่ยนโครงสร้าง ปรับการผลิต จัดการปัญหาระหว่างปี และ 2)ภารกิจบัญชาการและบูรณาการระยะเผชิญเหตุ

ยากทั้งคู่ .. เพราะเป็นงานเชิงโครงสร้าง จะเปลี่ยนการผลิตเกษตรอย่างไรให้สะอาดขึ้น (ต้นทุนเห็นๆ) จะเจรจาค่ายรถและฝ่ายนโยบายทิศทาง GDP ส่งออกยานยนต์และพลังงานอย่างไร จะเร่งรัดกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ถือครองที่ทำกินในเขตป่าอย่างไร เป็นต้น

ส่วนงานบัญชาการเผชิญเหตุ ไม่ง่ายเลย ด้วยเพราะระบบราชการไทยเองเป็นอุปสรรค มันแบ่งแท่ง แบ่งภารกิจ แบ่งอำนาจ ระเบียบหยุมหยิม ฝ่ายป่า ฝ่ายปกครอง ฝ่ายเกษตร การสั่งห้ามเด็ดขาดมันสั่งง่าย เพราะห้ามไฟยังไงก็ไม่มีควัน เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แต่ทางสังคมศาสตร์จะห้ามยังไง

ยกตัวอย่างที่แม่ฮ่องสอน เพราะประชากรของเขาอยู่ในเขตป่ากัน 86% คนเกือบทั้งจังหวัดมีที่อยู่ ที่ทำกินในเขตป่านะครับ การจัดการห้ามแบบทื่อๆ ด้วนๆ จากส่วนกลาง จึงทำไม่ได้ที่แม่ฮ่องสอน

การบริหารจัดการห้ามไฟ ทำได้ในระดับหนึ่ง เช่นที่แอ่งปาย ปางมะผ้า ปีนี้ดีขึ้นกว่าเดิมชัดเจน แต่ก็ห้ามเด็ดขาดไม่ได้ ไฟทำกินที่ต้องกระมิดกระเมี้ยน ฝ่ายปกครอง ฝ่ายป่า หลิ่วตาให้เผากัน กลัวเจ้านายส่วนกลางรู้ มันไม่เกิดผลดีอะไร เพราะเป็นการหลอกตัวเอง ในระหว่างปี 2568 จากนี้ไป พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม แต่ละหน่วย แต่ละเซ็กเมนท์ทำอะไร รัฐบาลโดยแม่ทัพปราบฝุ่น ควรสั่งให้ชัด ให้สังคมรู้

เช่น ให้กระทรวงเกษตรร่วมกับจังหวัด ทำแผนที่แปลงเกษตรใช้ไฟปี 67/68 ออกมา ไม่ใช่ลงโทษเขานะ แต่เพื่อเป็นเป้าหมายบริหารจัดการยกระดับวิธีการผลิตใหม่

เช่น กระทรวงอุตฯ ไปจัดการวิธีแก้อ้อยเผาไฟแบบยั่งยืน ที่รัฐไม่ต้องควักเงินอุดหนุนให้ทุกปี พอไม่มีเงินก็เผาต่อ

เช่น ให้แต่ละจังหวัด ทำแผนพื้นที่จุดอ่อน ที่ปีนี้ยังมีไฟมากมาย (และซ้ำซาก) ทุกจังหวัดมีจุดอ่อน แต่ไม่เคยมีการถอดบทเรียนแวะวางแผนแก้เชิงยุทธการ ด้วยเพราะส่วนกลางสนใจแค่ สถิติจุดความร้อนรวม

ภารกิจระหว่างปีเป็นเรื่องใหม่ แต่จำเป็น

10. มอบโจทย์วิชาการรับปี 69

วช. มีงบวิจัยฝุ่นเยอะ ควรมีงานที่สอดคล้องและสนุบสนุนโจทย์แก้ปัญหา ที่ใช้งานได้จริง ปีนี้ ค่าฝุ่นในแอ่งเมืองใหญ่ๆ ทางเหนือดีขึ้น ถามว่าเพราะอะไร? เขาก็ตอบกันแบบทุบดินว่าเพราะห้ามเผา คนส่วนใหญ่จะเข้าใจแค่นั้น

ที่จริงงานวิชาการควรจะอธิบายให้ลุ่มลึกกว่าได้ เช่น ในช่วงก.พ.-ต้นมี.ค. ที่ค่าฝุ่นแอ่งเชียงใหม่ดีงาม มันมีไฟในพื้นที่ต้นลมขนาดไหน มีน่ะมีแน่ แต่มีน้อย แล้วที่น้อยน่ะน้อยแค่ไหน วันละกี่จุด เพื่อให้เห็นสเกลของแหล่งกำเนิดที่พอควบคุมได้ ต้นฤดูมีไฟแค่ไหน ที่ยังไม่ก่อให้เกิดปัญหา และพอกลางฤดู มีจุดความร้อนกี่จุด ที่ทำให้แอ่งทั้งแอ่งเริ่มแดง พฤติกรรมลมของแต่ละแอ่งเมือง ตั้งแต่ธันวาคมมา เปลี่ยนแปลงอย่างไร

ที่กรุงเทพฯ ชัดเจนมาก ว่าเหตุปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดมลพิษส้มแดง ปัจจัยฤดูเปลี่ยน ความกดอากาศ กำลังลม ขนาดของแหล่งกำเนิดรายทาง ... งานเหล่านี้ เป็นโจทย์และคำถามที่รอคอยคำตอบ ที่เชื่อว่าประชาชนอยากรู้ รัฐสามารถกำหนดเป้าหมายได้นะครับ งานวิชาการที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหา ปี 2569 ต้องมีเรื่องและหัวข้ออะไรบ้าง? รัฐบาลคงต้องเร่งหาคำตอบให้ได้ในเร็ววัน