บริหาร WARRIX สไตล์ ‘ฮิม-วิศัลย์’ ผู้นำที่ปลุกแบรนด์กีฬาไทยด้วยกลยุทธ์ ‘License Marketing’

บริหาร WARRIX สไตล์ ‘ฮิม-วิศัลย์’ ผู้นำที่ปลุกแบรนด์กีฬาไทยด้วยกลยุทธ์ ‘License Marketing’

"คอลัมน์ The Thought Leaders ผู้นำทางความคิด" ชวนพูดคุยกับ "วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล" เพื่อเข้าใจวิธีคิด การบริหารงาน การรับมือกับความล้มเหลว และสูตรแห่งความสำเร็จที่อาจขัดกับกระแสหลักในปัจจุบัน

สุภาพบุรุษที่กำลังเดินเข้ามาในสตูดิโอด้วยกางเกงยีนส์และเสื้อกีฬาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงและสายตาที่เปี่ยมความมั่นใจและมุ่งมั่น คือ "วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล" ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX แบรนด์กีฬาสัญชาติไทยที่ทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา

หากพิจารณาจากภาพลักษณ์ภายนอก เราอาจเห็นเพียงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทว่าเบื้องหลังนั้นซ่อนเรื่องราวของเด็กชายวัย 14 ปีที่ต้องเผชิญความท้าทายของธุรกิจครอบครัว บทเรียนอันเจ็บปวดที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่มีวินัยเหล็ก มุ่งมั่นจนเรียกได้ว่า "เสพติดความสำเร็จ" และกล้าเรียกตัวเองว่าเป็น "เผด็จการทหาร" ในการบริหารองค์กร

การจะเข้าใจวิธีคิดของนักธุรกิจผู้นี้ ต้องเริ่มจากข้อเท็จจริงที่ว่า เขาปฏิเสธแนวคิดเรื่อง work-life balance อย่างสิ้นเชิง เพราะเชื่อว่า "คนที่ทำงานสบายตอนหนุ่มสาว จะลำบากตอนแก่" และสำหรับเขา ความสุขไม่ได้มาจากการแบ่งเวลา แต่มาจากความสำเร็จที่สร้างขึ้นด้วยหยาดเหงื่อและความพยายาม

บริหาร WARRIX สไตล์ ‘ฮิม-วิศัลย์’ ผู้นำที่ปลุกแบรนด์กีฬาไทยด้วยกลยุทธ์ ‘License Marketing’

แม้จะพกความเด็ดขาดในการบริหาร แต่เขากลับยึดถือหลัก "สุภาพบุรุษในการทำธุรกิจ" ที่ให้เกียรติคู่แข่ง ไม่โต้ตอบด้วยวิธีสกปรกแม้ถูกใส่ร้าย และพร้อมจะ "หิ้วกระเช้า" ไปสวัสดีปีใหม่คู่แข่งด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน

เมื่อ WARRIX ก่อตั้งมาแล้ว 13 ปี กำลังเติบโตเป็น "วัยรุ่น" ที่พร้อมจะก้าวสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเป้าหมายยอดขาย 2,700 ล้านบาทในอีก 23 เดือนข้างหน้า และหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการเติบโตของแบรนด์กีฬาสัญชาติไทยรายนี้คือการทำการตลาดแบบ License Marketing หรือการซื้อไลเซนซ์แบรนด์ต่างๆ มาใช้บนเสื้อกีฬาจนทำให้มีคนรู้จักแบรนด์ในวงกว้าง

"คอลัมน์ The Thought Leaders ผู้นำทางความคิด" ชวนพูดคุยกับผู้บริหารผู้นี้เพื่อเข้าใจวิธีคิด การบริหารงาน การรับมือกับความล้มเหลว และสูตรแห่งความสำเร็จที่อาจขัดกับกระแสหลักในปัจจุบัน

กิจวัตรประจำวันของคุณตั้งแต่เช้าจนเย็นเป็นอย่างไรบ้าง

ผมเป็นคนมีวินัยสูง และรู้สึกผิดหากวันไหนนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ แม้จะนั่งอยู่ริมทะเลก็ตาม (หัวเราะ) วันไหนที่ไม่ productive จะรู้สึกเหมือนทำผิด ด้วยความรับผิดชอบที่มีมาก บางครั้งก็มีความเครียดจนนอนไม่หลับ

เรื่องที่ผมมีวินัยมากที่สุดคือการออกกำลังกาย โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 3 วัน แม้วันที่ยุ่งมาก ผมก็จะใช้เวลา 10 นาทีก่อนออกจากบ้านเล่นบอดี้เวท หรือใช้เวลาช่วงพักเที่ยงที่ออฟฟิศ การออกกำลังกายของผมไม่ยึดติดกับอุปกรณ์ แม้ไปต่างประเทศก็สามารถเล่นบอดี้เวทได้ หากมีเวลา ผมจะเทรนด้วยตัวเองเพราะมีใบรับรองเทรนเนอร์ โดยใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเล่นหนักเท่ากับที่ให้เทรนเนอร์เทรนหนึ่งชั่วโมง

การออกกำลังกายทำให้สุขภาพโดยรวมดีและร่างกายพร้อมทำงาน สำหรับผม การออกกำลังกายคือเพื่อคุณภาพชีวิต ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จเฉพาะด้านเหมือนการวิ่งมาราธอน ซึ่งถ้าร่างกายไม่พร้อมก็เหมือนภารกิจฆ่าตัวตาย

แล้วเรื่องเวลานอนและตื่นล่ะครับ

โดยเฉลี่ยผมนอนเวลาเที่ยงคืน ตื่นประมาณ 7 โมงเช้า แต่หากมีภารกิจเช้าก็จำเป็นต้องนอนน้อยลง พอตื่นมาสิ่งแรกที่ทำคือดื่มน้ำและอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลเพราะผมเป็นคริสต์ จากนั้นดื่มกาแฟและใช้เวลาอธิษฐานเกือบทุกวัน เป็นการทำความสะอาดจิตใจก่อนเริ่มวัน ถ้ามีเวลาก็จะออกกำลังกาย

หลังจากนั้นก็เริ่มงาน ทั้งโทรศัพท์ ประชุม เดินทางพบลูกค้า บางวันมี business dinner ซึ่งมักจะดึก ผมต้องมีวินัยเรื่องสุขภาพ เพราะทำงานหนักแต่สุขภาพไม่ดีก็ไม่มีประโยชน์

เรื่องอาหาร ผมทำ intermittent fasting เป็นประจำ โดยไม่กินมื้อเช้า แม้ปกติควรกินก็ตาม แต่เพราะธุรกิจต้องกินมื้อค่ำ ผมจึงดื่มแต่กาแฟแทนจนชิน และไปเริ่มกินตอนบ่ายและเย็น วิธีนี้ทำให้สมองปลอดโปร่งและสุขภาพดี เป็นวินัยในชีวิตที่ผมยึดถือ

บริหาร WARRIX สไตล์ ‘ฮิม-วิศัลย์’ ผู้นำที่ปลุกแบรนด์กีฬาไทยด้วยกลยุทธ์ ‘License Marketing’

ทำไมการทำความสะอาดความคิดตอนเช้าจึงสำคัญกว่าอาหาร

วันไหนที่สมองไม่พร้อมทำงาน ผมรู้สึกว่าชีวิตสูญเปล่า และยังส่งผลกระทบถึงคนอื่นด้วย โดยเฉพาะวันที่อารมณ์ไม่ดี ลูกน้องก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะคนรอบข้างได้รับผลจากชีวิตเราค่อนข้างมาก ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือทำให้สมองเราพร้อม

WARRIX ก่อตั้งมาแล้ว 13 ปี ถ้ามองเป็นคน ตอนนี้เขาคือใคร

WARRIX เหมือนวัยรุ่นอายุ 13 ปี ช่วงปีแรกๆ เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ทุก 2-3 ปีก็จะเจอปัญหา เมื่อเจอปัญหาก็เรียนรู้ที่จะแก้และป้องกัน เป็นกระบวนการเรียนรู้ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่ช่วยให้เราเติบโตคือการมองทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ ทีมงานก็สำคัญ ถ้าเขาเก่ง เราก็จะทำงานชิ้นใหญ่ขึ้นได้

13 ปีของ WARRIX เป็นเหมือนเด็กที่โตเร็ว เพราะได้รับความเอ็นดูและโอกาสจากผู้ใหญ่ ทั้งลูกค้า ซัพพลายเออร์ และคู่ค้ามากมาย สิ่งที่ได้โอกาสมาจากการที่เราทำให้คนที่ค้าขายด้วยเชื่อมั่น เวลาเกิดวิกฤต ผู้ใหญ่ก็มาการันตีว่าเรายังเป็นคนสุจริต พวกเขากล้าช่วยเราทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

ตัวอย่างเช่น ตอนประมูลทีมชาติ ยอดขายตอนนั้น 180 ล้านต่อปี แต่เราหวังจะได้ยอดขาย 770 กว่าล้าน เติบโต 4 เท่า ซึ่งต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนมาก แต่ธนาคารไม่ให้กู้เลย แม้แต่การการันตีวงเงินประมูล นี่คือความยากลำบากของธุรกิจ SME ที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน

แต่เราใช้ความรู้และประสบการณ์ไปขอเครดิตเพิ่มจากซัพพลายเออร์ เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ และขอลูกค้าให้จ่ายเงินสดเฉพาะทีมชาติไทย ทำให้คู่ค้าทุกคนช่วยเหลือ ทุกคนที่ช่วยผม ผมถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ เคยมีลูกน้องถามว่าบุญคุณใช้คืนเท่าไหร่หมด ผมบอกว่าใช้ไม่มีวันหมด เราจะจำไปจนกว่าจะจำไม่ได้

ผมเคยใช้แคมเปญว่า "Mission of Honor" เพราะการทำธุรกิจเป็นภารกิจที่มีเกียรติ แต่คนจำนวนมากเลือกเงินมาก่อน ไม่สนใจเกียรติ เลือกความไม่สุจริต เอาความโลภเป็นที่ตั้ง จนมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคนที่ผมยังไม่อยากยกมือไหว้ คนรวยไม่ใช่คนที่ควรเคารพเสมอไป เราควรเคารพคนด้วยเกียรติที่เขาสร้าง ไม่ใช่เกียรติที่เขายกยอตัวเอง

ตั้งแต่เปิดบริษัท ผมให้เกียรติคู่แข่ง ก่อนจะไปแข่งขันทางธุรกิจ ยังหิ้วกระเช้าไปสวัสดีปีใหม่ แม้เราถูกใส่ร้ายด้วยวิธีสกปรก เราก็ไม่โต้ตอบด้วยวิธีเดียวกัน สังคมและคู่ค้าก็จะรู้เอง นี่คือวิถีสุภาพบุรุษในการทำธุรกิจ

ปรัชญาในการใช้ชีวิตของผมใช้กับการทำธุรกิจด้วย มาจากหลักในพระคัมภีร์ที่ว่า "คนที่หิวเงินจะไม่มีวันอิ่มเงิน" ซึ่งขัดกับหลักการที่เรียนในคณะบริหารธุรกิจที่สอนให้แสวงหากำไรสูงสุด สำหรับผม นั่นคือการสอนที่ผิด เพราะจะทำให้ตัดสินใจด้วยความโลภ นำไปสู่หายนะ แม้ผมก็เคยโลภ แต่เมื่อมีสติก็ต้องเลือกระหว่างความยั่งยืนกับความโลภ บางอย่างได้เงินเยอะแต่ไม่ยั่งยืน ผมก็ไม่เอา

พ่อผมเคยสอนว่า "ต่อให้อดตายก็ห้ามทำเรื่องผิดจริยธรรม" ผมจำมาตลอดว่าการทำธุรกิจต้องมีจริยธรรม แม้จะไม่เคยเรียนวิชาจริยธรรมทางธุรกิจ แต่ได้เรียนรู้เองจากโลกความเป็นจริง

หลักการหิ้วกระเช้าไปไหว้เจ้าตลาดก่อนเข้าไปแข่งขัน สะท้อนถึงอะไร และสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างไร

ความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้สำคัญทั้งกับการใช้ชีวิตและสะท้อนไปถึงธุรกิจด้วย ผมได้รับการปลูกฝังเรื่องนี้ตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนในเรื่องภาวะผู้นำ ว่าผู้นำที่ดีไม่ใช่การยกตนข่มท่าน แต่เป็นเหมือนต้นไผ่ที่ลู่ลม

ตอนที่ไปทำงานที่ปูนซิเมนต์ไทย ผมพบวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ที่นั่นสอนว่าไม่มีใครเก่งกว่าใคร เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนที่เก่งวันนี้พรุ่งนี้อาจพลาดได้ ระบบการปกครองไม่มีความหยิ่งผยอง เมื่อเราอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ วันที่เราพลาด ผู้ใหญ่ก็พร้อมให้โอกาส

คุณมองเรื่องโอกาสของชีวิตอย่างไร

ผมหิวกระหายโอกาสตั้งแต่อายุ 14 ปี เมื่อที่บ้านเผชิญความท้าทาย โอกาสแรกคือเรื่องเงินเรียนต่อ แม้สอบได้ที่หนึ่ง แต่ไม่มีเงินเรียน แม้แต่เงินซื้อข้าว นั่นคือโอกาสที่เราต้องการ เราไม่สามารถรอโอกาส ต้องสร้างโอกาสเอง แต่เมื่อผู้ใหญ่ให้โอกาส เช่น โรงเรียนให้ทุน หรือสอบได้ นั่นคือโอกาสที่เราได้รับ

ปัจจุบัน ทั้งโอกาสทางธุรกิจ การทำงาน การสร้างชื่อเสียงและผลงาน ผมเชื่อว่าต้องทำในส่วนของเราให้เต็มที่ก่อน การที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสถือเป็นโบนัส ผมไม่รอโอกาสจากฟ้าฝน แต่สร้างโอกาสเอง

นี่คือหลักการนิรันดร์ของความสำเร็จ คนขยันมีโอกาสสำเร็จมากกว่าคนฉลาด และคนขยันมีโอกาสสำเร็จไม่แพ้คนที่มีความพร้อมมาก่อน

บริหาร WARRIX สไตล์ ‘ฮิม-วิศัลย์’ ผู้นำที่ปลุกแบรนด์กีฬาไทยด้วยกลยุทธ์ ‘License Marketing’

มีคำพูดที่ว่าควรทำงานให้เหมือนเป็นเจ้าของบริษัท แต่พนักงานออฟฟิศทั่วไปอาจไม่เห็นด้วย เพราะรับเงินเดือนและทำงานตาม job description ก็พอแล้ว คุณมองเรื่องนี้อย่างไร

พ่อผมสอนตั้งแต่เด็กว่า เมื่อเรียนจบไปทำงาน ให้ทำเสมือนเป็นเจ้าของ แม้แต่ตอนทำกิจกรรมที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ก็ให้ดูแลทรัพย์สินเสมือนเป็นเจ้าของ

เมื่อเริ่มทำงานที่ปูนซิเมนต์ไทย แม้เป็นพนักงานตัวเล็กๆ ในบริษัทใหญ่ ผมก็ทำงานเสมือนเป็นเจ้าของ ในขณะที่คนอื่นเลิกงานตรงเวลา ผมทำงานถึง 3 ทุ่ม บางครั้งเข้ามาทำงานวันเสาร์ แม้เงินเดือนขึ้นไม่ต่างจากเพื่อนเท่าไหร่ แค่ 100-200 บาท ผมเชื่อว่านี่เป็นหลักการหนึ่งของคนที่จะประสบความสำเร็จ

สำหรับเรื่อง work-life balance ผมเชื่อว่าไม่มีอยู่จริง หากสบายตอนเด็ก ก็จะลำบากตอนแก่ ผมเชื่อว่าคนที่ทำงานหนัก จะมีความสามารถและกำลังในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ด้วย เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ชีวิต

แม้ผมไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ แต่เป็นพนักงานมืออาชีพ ผมก็ยังเชื่อว่าการทำงานเสมือนเป็นเจ้าของมีโอกาสประสบความสำเร็จไม่แพ้การเป็นเจ้าของธุรกิจ ส่วนการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ไม่ผิด แต่โอกาสประสบความสำเร็จน้อยกว่า

สำหรับคนที่ต้องการมีชีวิตด้านอื่น มีครอบครัว ไม่ผิดเลย หลายคนให้เวลาวันหยุดกับครอบครัว แต่การเติบโตก็จะได้เท่าที่ทำ ผมเชื่อว่าคนทำมากควรได้ผลตอบแทนสูงกว่าคนทำน้อย บางคนมีความสามารถสูง ใช้เวลาน้อยแต่งานสำเร็จมาก ก็ควรได้รับผลตอบแทนตามผลงาน และมีเวลาใช้ชีวิตมาก แต่ก่อนจะมีความสามารถระดับสูง ต้องผ่านประสบการณ์และความทุ่มเท จะเรียนจบมาแล้วทำงานสบายๆ ได้เงินเดือนสูงเลยนั้นแทบไม่มี อาจมีแค่คนอัจฉริยะอย่างสตีฟ จ็อบส์ไม่กี่คนในโลก ส่วนผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น อาจโง่กว่าคน 90% ในประเทศ แต่ขยันกว่าคนอีก 90% เท่านั้นเอง

Work-life balance ที่บริษัท WARRIX เป็นอย่างไร

ช่วงสัมภาษณ์งาน ผู้สมัครมักพูดถึงเรื่องนี้ แต่สุดท้ายคนที่อยู่กับผมได้จะปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรแบบที่ผมเป็น คือเป็นมนุษย์ที่เสพติดความสำเร็จ ต้องได้และต้องดีกว่าเมื่อวานเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมได้มาจากปูนซิเมนต์ไทย

ผมเป็นเหมือนหมากัดไม่ปล่อย เมื่อต้องการอะไร จะต้องทำให้ได้ ดังนั้นคนที่จะมาทำงานด้วยต้องอึดมากกว่าผม ไม่จำเป็นต้องเก่งกว่า เพราะคนเก่งกว่าผมมีเยอะ แต่คนที่อึดกว่าหายาก ผมเชื่อในหลักการของคนที่ขยัน อดทน และกัดไม่ปล่อย นี่คือวัฒนธรรมองค์กร

เรื่องเวลาทำงาน สุดท้ายจะมีทั้งคนที่จากไปและคนที่อยู่ คนที่อยู่ต้องมีความสุขกับงานที่ทำ หรือเรียกว่าตื่นเช้ามาทำงานที่รัก ถ้าตื่นเช้ามาแล้วไม่อยากทำงาน สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ ส่วนผมมีพลังเกินร้อยทุกเช้าที่มาทำงาน ยันสามทุ่มสั่งงานลูกน้องก็ยังมีพลังเหลือเฟือ จนลูกน้องถามว่าเอาพลังมาจากไหน

ผมเชื่อว่าการเสพติดความสำเร็จและวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้ ทำให้เราประสบความสำเร็จมากกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าผมขี้เกียจก็จะสำเร็จแค่ระดับหนึ่ง หลายคนมีวุฒิหรู เก่งทุกอย่าง แต่เจอปัญหานิดเดียวก็ท้อ ที่นี่เราไม่สร้างวัฒนธรรมของคนขี้แพ้ เราสู้จนนาทีสุดท้าย สู้จนชนะ เหมือนเกมฟุตบอลที่ทุกนาทีเป็นสิ่งสวยงาม

อะไรที่ทำให้คุณเป็นคนเสพติดความสำเร็จ

ผมเชื่อเรื่องการเกิดมาชาติเดียว ไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นเราต้องใช้ชีวิตให้เต็มที่ สำหรับผม การใช้ชีวิตเต็มที่คือการทำงานหนักและต้องประสบความสำเร็จ ความสำเร็จเป็นเหมือนอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มีคุณค่า

แต่ความสำเร็จทุกอย่างต้องเป็นความสำเร็จที่มีเกียรติ ไม่ใช่ความสำเร็จที่สกปรก เราสร้างวิถีของสุภาพบุรุษในการทำธุรกิจ มีการถกเถียงกันมากเรื่องความแตกต่างระหว่างลูกผู้ชายกับสุภาพบุรุษในการทำธุรกิจ แต่เราเชื่อว่าการเดินในวิถีของเรา การทำธุรกิจแบบสุภาพบุรุษนั้นยั่งยืน

ปัจจุบันองค์กรโตขึ้น มีความพร้อมมากขึ้น ผมต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นคนที่นำประสบการณ์ไปให้พวกเขามากกว่า แต่ก่อนเราใช้คำว่า "คำสั่ง ไม่ใช่คำถาม" เคยมีการประชุมรับเป้ายอดขายประจำปี เมื่อเห็นผู้บริหารที่รับผิดชอบยอดขายไม่มั่นใจ ผมบอกว่าถ้าไม่มั่นใจให้ไปหยิบใบลาออก ไม่ต้องเสียเวลาชีวิตทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามั่นใจ ให้มาคุยกันว่าจะทำอย่างไรให้สำเร็จ

งานยากที่สุดของผู้บริหารคือการสร้างให้ทีมงานพร้อมที่จะทำงานที่ต้องเอื้อมนิดหนึ่ง วันนั้นมีคนลาออกไปครึ่งหนึ่ง เป็นเรื่องปกติที่จะมีการผลัดเปลี่ยนยุคของคน แต่คนที่อยู่กับผมมาตลอดจะผ่านการคัดกรองมาระดับหนึ่ง และองค์กรก็จะเป็นไปตามนิสัย ค่านิยม และบุคลิกของผู้นำองค์กร

บริหาร WARRIX สไตล์ ‘ฮิม-วิศัลย์’ ผู้นำที่ปลุกแบรนด์กีฬาไทยด้วยกลยุทธ์ ‘License Marketing’

วิธีการทำงานเป็นทีมของคุณเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อคุณมีแรงผลักดันสูง แต่ทีม (อาจ) เหนื่อย

ในการเอ็มพาวเวอร์ทีม ผมตระหนักว่าคนมีความถนัดและความชอบไม่เหมือนกัน ถ้าทีมรู้สึกว่างานหนักเกินไป ผมจะจัดการโดย

1. เอาท์ซอร์สงานบางส่วน

2. ให้ทีมอื่นทำ

3. ลงไปทำงานและสอนด้วยตัวเอง

สำหรับวิธีการสอนและมอบหมายงาน ผมมีขั้นตอนคือ

1. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

2. นั่งทำด้วยกันเพื่อให้เข้าใจกระบวนการ

3. นั่งดูเขาทำ เมื่อประเมินแล้วว่าผ่าน จึงมอบหมายงานให้

การมอบหมายงานผมจะเปรียบเหมือนส่งแม่ทัพไปรบ ต้องประเมินก่อนว่าถ้าส่งไปแล้วต้องชนะ และถ้าแพ้ผมต้องกล้ารับผิดชอบ

เมื่อคุณเสพติดความสำเร็จมาก เวลาที่ไม่สำเร็จ คุณคุยกับตัวเองอย่างไรให้กลับมาสู้อีกครั้ง

ผมเจอความไม่สำเร็จทุกวัน คนมักถามแต่เรื่องที่สำเร็จ แต่จริงๆ คนที่ทำงานมาก โอกาสพลาดหรือไม่สำเร็จก็ยิ่งมาก ต่างจากคนที่ "เซฟตัวเอง" อย่างข้าราชการบางคนที่หวังจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กร พวกเขาไม่ทำงาน ก็เลยไม่มีโอกาสพลาด

ผมเรียนรู้ตั้งแต่เด็กจากคำสอนในโบสถ์ว่าต้องเรียนรู้ที่จะ "หิ้วคอเสื้อตัวเองขึ้น" ไม่มีใครมาหิ้วเราหรอก วันที่ท้อไม่ใช่แค่ดื่มน้ำแล้วจะหาย วันที่ล้มเหลวไม่ใช่แค่เสียบปลั๊กแล้วจะดีขึ้น

ทุกเช้าผมจะรีเซ็ตความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างมากก็แค่ทำให้นอนดึกขึ้น 1-2 วัน แต่ตื่นเช้ามาต้องลืมเรื่องเมื่อวาน พร้อมลุยงานวันนี้ พอสิ้นวันค่อยมาเคลียร์ปัญหา ต้องรู้จักปั๊มกำลังใจตัวเอง ไม่มีใครทำให้ได้นอกจากใจเรา

หลายคนทุกข์กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ผมก็เคยเป็น มนุษย์เป็นกันทุกคน แต่สิ่งที่ทำได้คือใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ บางอย่างก็เจ็บใจ เช่น ถูกโกง หรือพลาดพลั้ง แต่พอใช้เหตุผล รีเซ็ตใหม่ ก็พร้อมเริ่มสนามรบใหม่ ถ้าเอาความแพ้เมื่อวานมาคิด โอกาสสำเร็จจะน้อย แต่ถ้าพักเรื่องเมื่อวานไว้ก่อน แล้วเริ่มทำวันนี้ให้ดี โอกาสสำเร็จจะสูงมาก

การพลาดบ่อยๆ ที่บอกว่าล้มเหลวทุกวัน ทำให้ความมั่นใจหายไปหรือไม่

ผมเป็นมนุษย์ที่มีความมั่นใจสูง บางทีเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ต้องเข้าใจว่าไม่มีใครไม่เคยพลาด และไม่มีใครสมบูรณ์แบบ สิ่งสำคัญคือเราแก้ไขได้หรือไม่ หลายคนพลาดแล้วยอมแพ้ บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตาย บางคนหันหลังให้ปัญหา แต่สำหรับผม นั่นคือชีวิตที่ไม่มีคุณค่า เป็นผู้แพ้โดยแท้

สุภาพบุรุษจะไม่เป็นเช่นนั้น เราจะเผชิญหน้ากับปัญหา วิธีเดียวที่จะชนะคือการเผชิญหน้า บางทีปัญหาเดิม เมื่อวานแพ้ วันนี้สู้แพ้ใหม่ พรุ่งนี้สู้ใหม่ จะสู้จนกว่าชนะ การพลาดเป็นการจ่ายค่าเล่าเรียน อาจจ่ายเป็นเวลา ความสัมพันธ์ หรือเงิน แต่จะสู้จนกว่าจะชนะ

ถ้าพิจารณาตัวเองในฐานะผู้บริหาร คุณมองว่าเป็นผู้บริหารแบบไหน

ผมเป็นผู้บริหารแบบเผด็จการทหาร องค์กรที่ดี ถ้าได้ผู้นำที่ดีก็จะดี ผู้นำกำหนดความสำเร็จขององค์กรทั้งด้านความคิด การกระทำ และคำพูด หลายครั้งการกระทำเสียงดังกว่าคำพูด เป็นเรื่องของการนำองค์กรแบบที่เราเป็น จะเห็นได้จากวัฒนธรรมของคนในองค์กร คนที่เราไว้ใจมักมีพื้นฐานความคิดเหมือนเรา

มีโรลโมเดลในการเป็นผู้นำหรือไม่

ผมไม่มีโรลโมเดลที่เป็นคนทำธุรกิจ แต่โรลโมเดลของผมคือนโปเลียน และได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของเขา เขาคือคนที่มาจากการไม่มีอะไรเลย แต่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับประเทศ เริ่มต้นจากความคิด แม้ความสามารถและพื้นฐานครอบครัวด้อยกว่าหลายคน การที่เขาประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ตัวเขา แต่ทั้งประเทศและทวีปของเขาเกิดจากความคิดของคนคนเดียว

คนกล้ากับคนบ้าคือคนเดียวกัน ถ้าคุณแพ้คุณก็เป็นคนบ้า ถ้าคุณชนะคุณก็เป็นคนกล้า ผู้นำที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มต้นจากความคิด ความคิดจะออกมาที่คำพูดและการกระทำ ซ่อนไม่ได้ ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ ผู้นำที่หิวกระหายความสำเร็จจะมีพลังในการนำองค์กร เหมือนแม่ทัพที่หิวกระหายชัยชนะ แม้ทรัพยากรน้อยกว่าก็มีโอกาสชนะ

คุณพูดอะไรกับตัวเองทุกเช้าเพื่อให้แววตามีพลัง

ผมไม่ได้พูดกับตัวเอง แต่อธิษฐานทุกเช้า อ่านไบเบิลอย่างที่เล่าไป และมีวินัยที่เป็นกรอบความคิดที่ไม่ได้สร้างในวันเดียว สร้างมาตั้งแต่เรียน เช่น ทำไมเราเรียนแล้วสอบได้ที่หนึ่งประเทศไทย ทำไมสอนลูกสาวให้สอบได้คะแนนดี เช่น การทำข้อสอบย้อนหลัง 15 ปี สัก 5 รอบ มันต้องใช้เวลา มีวินัย ทุ่มเท ไม่ใช่แค่คนฉลาด แต่เป็นเรื่องของคนขยันและมีวินัย

อะไรคือแรงจูงใจในการใช้ชีวิตของคุณในปัจจุบัน เพราะตอนที่บ้านคุณหมดตัวตอนเด็ก คุณเคยบอกว่าตอนออกจากบ้านต้องการมีทรัพย์สินเท่าที่พ่อมีตอนนั้น ซึ่งตอนนี้น่าจะเกินแล้ว

แรงจูงใจของผมคือความสนุกในการใช้ชีวิต ที่ผ่านมาหลายสิบปี จำเป็นต้องแลกเพราะแบกภาระครอบครัว ต้องเลี้ยงพ่อแม่ ดูแลน้อง หลาน และครอบครัวลูก เป็นเรื่องของภาระและหน้าที่ที่มาคู่กัน วันนี้ผมเกินจุดที่พอมานานแล้ว

แรงจูงใจปัจจุบันคือความสำเร็จ ผมประกาศไว้ว่าวันที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะทำยอดขาย 2,700 ล้านใน 4 ปี นั่นหมายความว่าอีก 23 เดือนต้องทำให้ได้ สิ่งที่รับปากไว้ต้องสำเร็จ ไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ

ไม่ใช่แค่ยอดขายอย่างเดียว ผมอยากให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องสร้างความยั่งยืนควบคู่กันไป แรงจูงใจคือการทำให้ธุรกิจที่สร้างมากับมือเป็นตำนานที่ยั่งยืน WARRIX เปรียบเสมือนลูก ต้องเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน ผมต้องมีความสุข พนักงานก็ต้องมีความสุข

ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เสาค้ำยันของความสุขทุกคนคือความมั่นคง ถ้าบริษัทมั่นคง ปากท้องของพนักงานและครอบครัวก็มั่นคง เมื่อบริษัทมั่นคง พวกเขามั่นใจได้ว่าทำงาน 5-10 ปี มีโอกาสก้าวหน้าทั้งรายได้ สังคม และตำแหน่ง เราต้องทำให้เขาอยากอยู่กับองค์กร

แสดงว่าคุณยังมองว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จ?

สำหรับผม ผมเป็นคนมีเป้าหมาย เป็นผู้นำที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Result-oriented) ต้องมีเป้าหมายไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว ไม่เช่นนั้นตื่นเช้ามาจะเป็นชีวิตที่ไร้สาระ เหมือนวิ่งที่ไม่มีเส้นชัย

ผมจะแบ่งเส้นชัยใหญ่ออกเป็นเส้นชัยเล็กๆ เป้าหมาย 4 ปีจะซอยเป็นว่าหนึ่งปีต้องทำอะไร หนึ่งเดือนต้องทำอะไร หนึ่งสัปดาห์และหนึ่งวันต้องทำอะไร สิ่งเหล่านี้ไม่ง่าย และไม่มีทางสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจพลาด 50-90% แต่เรามีหน้าที่เก็บสิ่งที่พลาดมาทำให้สำเร็จในวันรุ่งขึ้น

ในกลยุทธ์แบรนด์ขององค์กร ผมใช้คำว่า "Try me everyday" เราต้องได้รางวัลเล็กๆ ทุกวัน เหมือนการเติมน้ำมันหรือพลังแห่งชีวิต ไม่ต้องให้ใครมาชม เมื่อสำเร็จในเป้าหมายเล็กๆ เราจะมีความสุขและมีพลังไปต่อ แม้แต่วันที่พลาดก็เป็นรางวัล เป็นบทเรียนให้เรียนรู้ เหมือนนักกีฬาที่ไม่ได้ชนะทุกสนาม แต่ต้องเอาบทเรียนมาซ้อมเพื่อชนะในสนามถัดไป นี่คือปรัชญาชีวิตและธุรกิจที่เดินคู่กัน

บริหาร WARRIX สไตล์ ‘ฮิม-วิศัลย์’ ผู้นำที่ปลุกแบรนด์กีฬาไทยด้วยกลยุทธ์ ‘License Marketing’

สุดท้าย ถ้าให้มีพลังวิเศษย้อนเวลาไปช่วงไหนก็ได้ในชีวิต คุณอยากย้อนไปช่วงไหน และจะไปบอกอะไรกับตัวเองตอนนั้น

ถ้าย้อนเวลาได้ ผมอยากย้อนกลับไปหาเด็กชายวิศัลย์ตอนอายุ 14 ปี และจะบอกเขาว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตวันนั้น คือสุดยอดวิชาที่หล่อหลอมให้มีพลังชีวิตมากกว่าคนอื่น การที่ธุรกิจที่บ้านล้ม ต้องดิ้นรน ความยากลำบาก ไม่มีอันจะกิน นั่นคือสุดยอดโอกาสและวิชาที่ไม่มีใครจะถูกหล่อหลอมแบบนั้นได้ทุกคน ใจที่ต้องสู้ถูกหล่อหลอมจากสถานการณ์วิกฤตแบบนั้น

ตอนนั้นผมคิดว่า "ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมไม่เป็นคนอื่น" แต่เมื่อโตขึ้นจึงเข้าใจว่า ถ้าไม่ได้เผชิญอุปสรรคแบบนั้น วันนี้เมื่อเจอปัญหาหนักๆ คงไม่มีภูมิต้านทานหรือวัคซีนแห่งชีวิตแบบที่มี วันที่มีความทุกข์ เราลุกขึ้นได้เร็วกว่าคนอื่นเพราะเคยเจอมาแล้ว ไม่มีอะไรหนักไปกว่านั้น วันนี้เราจึงเรียนรู้ที่จะสร้างโอกาสให้ตัวเองและคนอื่นด้วย (ยิ้ม)