อย่าปล่อยให้ไตวาย! ถึงเวลาคนไทย รัก 'ไต' ให้ถูกทาง

อย่าปล่อยให้ไตวาย! ถึงเวลาคนไทย รัก 'ไต' ให้ถูกทาง

"กินเค็มมากระวังไตวาย" วลีนี้มักได้ยินผ่านหูกันอยู่บ่อย ๆ ในมุมหนึ่งก็สะท้อนถึงปัญหาเกี่ยวกับภาวะโรคไต แต่การลดเค็มอย่างเดียวอาจไม่ช่วยให้เราห่างไกลจากโรคไตได้ เพราะยังมีหลายพฤติกรรมที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรังหรือไตวายมากกว่าที่คิด

ไตวาย อีกหนึ่งความท้าทายของสังคมไทย เพราะไตเป็นอีกอวัยวะที่มีหนึ่งเดียวทดแทนไม่ได้ หรือหากทดแทนได้ก็ไม่สามารถเติมเต็มสุขภาพและชีวิตเราให้กลับมาสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราควรเรียนรู้เรื่องไต

เนื่องในโอกาส "วันไตโลก" โดยองค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคมของทุกปี จึงเป็นหนึ่งวันของปีที่เราจะมาร่วมสร้างความตระหนักในเรื่องไตมากขึ้น เพื่อเข้าใจที่มาของสาเหตุโรคไตวายในอีกหลายมุมที่ไม่รู้ ก่อนที่จะสายเกินไป

ในปีนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ร่วมกับ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันจัด "World Kidney Day ถ้ารักไต อย่าให้ไตวาย" หนึ่งในกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการการสื่อสารเรื่องการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยง โรคไต เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ยาและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ยาที่ถูกต้อง

อย่าปล่อยให้ไตวาย! ถึงเวลาคนไทย รัก 'ไต' ให้ถูกทาง

เริ่มด้วยข้อมูลสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามถึงสถานการณ์ภาพรวม ผู้ป่วยโรคไต ในปัจจุบันที่ชวนกังวลไม่น้อย จากข้อมูลพบว่า ปัจจุบันคนทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะเป็น โรคไต ประมาณ 10% แต่สถานการณ์โรคไตเรื้อรังในไทยหนักกว่านั้น เพราะประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงสุดในโลก ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญว่าสังคมไทยควรหันมาให้ความสนใจ และดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันอย่างจริงจัง

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากรายงานภาวะสังคมไตรมาสที่ 3/2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า คนไทยป่วยเป็น โรคไตเรื้อรัง เพิ่มขึ้นจาก 9.8 แสนคน ในปี 2565 เป็น 1.13 ล้านคน ในปี 2567 และสถานการณ์โรคไตเรื้อรังปี 2534 - 2564 มีการสูญเสียปีสุขภาวะหรือความสูญเสียด้านสุขภาพเร็วขึ้น 3.14 เท่า รองลงมาคือมะเร็ง 2 เท่า หลอดเลือดหัวใจ 1.8 เท่า สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องโดยเฉพาะอาหารรสเค็ม และการบริโภคยาที่ไม่ถูกต้องและเกินความจำเป็น การเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และการสูบบุหรี่ ขณะที่ข้อมูลการสำรวจความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในบุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชน ใน 13 เขตสุขภาพ ปี 2567 ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประชาชนมีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล 64.9% 

หากมองในภาพรวมหรือในแง่เศรษฐกิจ ปัจจุบันประเทศไทยต้องใช้เม็ดเงินผ่านกองทุนไตวายเรื้อรังเป็นงบประมาณสำหรับผู้ป่วยเกี่ยวข้องกับโลกไตสูงขึ้นทุกปี ซึ่งล่าสุดมีตัวเลขน่าตกใจนั่นคือค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาเรื่องไตกำลังทะลุเกินหลักหมื่นล้านบาทแล้ว ทั้งยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง

อย่าปล่อยให้ไตวาย! ถึงเวลาคนไทย รัก 'ไต' ให้ถูกทาง

รักไต (จริง) อย่าให้ไตวาย 

ในร่างกายเรา ไต มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก จากการทำหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ หนึ่ง กรองน้ำและกำจัดของเสีย รวมทั้งสารพิษออกจากร่างกาย สอง ควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ตลอดจนความเป็นกรดด่างในเลือด และสาม สร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดงและวิตามินดี

นพ.ไพโรจน์ เผยว่า ไตเป็นเครื่องกรองของร่างกาย อวัยวะไตประกอบด้วยเส้นเลือดเล็กๆ จำนวนมากที่เรียงกันถี่  ๆ ทำหน้าที่กรองของเสีย ซึ่งหากหลอดเลือดมีปัญหาย่อมสะท้อนไปที่ไต และแน่นอนว่าโรคที่ทำให้เส้นเลือดมีปัญหา เช่น เบาหวาน ความดัน เป็นโรคที่ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อมในอนาคต

อย่าปล่อยให้ไตวาย! ถึงเวลาคนไทย รัก 'ไต' ให้ถูกทาง

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและ พัฒนาระบบยา (กพย.) ให้ข้อมูลเสริมว่า โอกาสที่เราจะเข้าสู่ภาวะไตเสื่อมหน้าที่ลงช้า ๆ หรือไตถูกทำลายบางส่วนมีสาเหตุหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจากโรคกลุ่มไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การติดเชื้อในปัสสาวะเรื้อรัง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม รวมถึงการได้รับยาที่เป็นพิษต่อไต เหล่านี้คือการเพิ่มโอกาส เสี่ยงต่อการเป็น CKD Chronic Kidney Diseases หรือไตเสื่อมเรื้อรังหรือไตวายเรื้อรัง

นอกจากนี้ ยังมีภาวะ AKI Acute Kidney Injury หรือไตบาดเจ็บเฉียบพลันหรือไตวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะที่ไตขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งมีต้นเหตุจากการอักเสบของไตหรือเลือดไม่มาเลี้ยงไต ซึ่งการเสียเลือดรุนแรง โดยพบมากกับผู้ป่วยที่รับประทานยาสมุนไพร ยาบำรุง และกลุ่มยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน 

"สังเกตเบื้องต้นง่ายๆ ดูจากสีปัสสาวะ หากสีเข้มแปลว่าควรระวัง หากปัสสาวะไม่ออกนั่นคือโอกาสเสี่ยง"

เฝ้าระวังยา กินแบบไหน ไม่ดีต่อ (ไต)

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา ให้ข้อมูลเสริมในเรื่องการใช้ยาว่า นอกจากยาชุด ยาต้านอักเสบ และยา NSAIDs ที่อันตราย "ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารเสริม" กำลังเป็นอีกภัยใกล้ตัวที่คุกคามไตเรา โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ซึ่งปัจจุบันเราจะพบว่าในช่องทางสื่อ อาหารเสริมเหล่านี้มีการโฆษณาหนักมาก ดังนั้นควรเพิ่มความรู้ความเข้าใจ

"ปีนี้เรามีกิจกรรมหลายอย่างเกี่ยวกับการรณรงค์โรคไต หนึ่ง เราจะเชิญชวนคณะเภสัชศาสตร์เข้ามาให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น สอง การทำในพื้นที่ต่างจังหวัด โรงเรียน มหาวิทยาลัย อาทิ คณะเภสัช ม.เชียงใหม่ ม.อุบล หรือ ม.สยาม รวมถึงการพัฒนาระบบภายในร่วมกับโรงพยาบาล ร้านยา ขยายสู่ระดับพื้นที่มากขึ้น"

อยากป้องกัน "ไต" ทำอย่างไรดี

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ควรเฝ้าระวังเรื่องการบริโภคยา เพราะแนวโน้มยามีอันตรายต่อไตมากกว่าอาหาร เพราะว่ายาเป็นสารเคมี เพราะฉะนั้นการสุ่มเสี่ยงมากกว่า

"สิ่งที่น่ากลัวคือ เรามักจะละเลยเรื่องอาหารการกิน คือนอกจากลดการกินเค็มเพื่อลดโซเดียมแล้ว ต้องไม่ลืมว่า โซเดียมมันไม่ได้มีแค่เกลือ ผงชูรสก็โซเดียม รวมถึงซอสปรุงรสต่าง ๆ และอีกกลุ่มหนึ่งคืออาหารเสริมกับสมุนไพร อาหารเสริมเป็นการสกัดจากพืชบ้างจากสารเคมีบางอย่างบ้าง และเราไม่รู้ชัดว่าในนั้นมีอะไรบ้าง และปัญหาคือมักโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงอยู่เสมอ ส่วนสมุนไพรนี่ สารบางอย่างในสมุนไพร สามารถจะดูดซึมแล้วผ่านไปแล้วก็มีผลกระทบต่อสุขภาพในหลายส่วนโดยที่หลายคนไม่รู้ตัว โดยเฉพาะคนที่กินต่อเนื่องกินนาน ๆ เรื้อรัง มีโอกาสส่งผลกระทบตามมา"

อย่าปล่อยให้ไตวาย! ถึงเวลาคนไทย รัก 'ไต' ให้ถูกทาง

รู้ค่าไต ลดเสี่ยงไตวาย

คำแนะนำต่อมาที่ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา มองว่าเป็นประเด็นสำคัญนั่นคือ การสร้างความตระหนักและรับว่าให้ประชาชนคนไทยทุกคน หันใส่ใจรู้ค่าไตตัวเอง

"อันดับแรกเราควรรู้สภาวะไตของตนเอง นั่นคือควรตรวจไตปีละครั้ง และแจ้งแพทย์เภสัชกรทกุครั้งถึงสภาวะไต รวมถึงการไม่ประพฤติปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต รู้จักยาที่ใช้ประจำตัวอย่างระมัดระวัง รวมถึงการใช้ยาสมุนไพรต่าง ๆ"

ปักหมุดสื่อสารคนไทยรู้เรื่องไต

อีกหนึ่งภาคส่วนที่จะเข้ามามีบทบาทสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนดังกล่าวได้ นั่นคือการใช้กลไกด้านการสื่อสารกับภาคประชาชนในเรื่องของความรู้การแพทย์ ซึ่งผลการวิจัยพฤติกรรม ทัศนคติ และการเปิดรับสื่อเกี่ยวกับการบริโภคยากลุ่ม NSAIDs สมุนไพร และอาหารเสริมของกลุ่มพนักงานออฟฟิศ และผู้ใช้แรงงาน มีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. รุ่นอายุ 44-59 ปี หรือ Gen X กลุ่มผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และใช้ยาตามแพทย์สั่งเป็นประจำ มักซื้อยาจากร้านขายยาเองเพื่อประหยัดเวลารวมถึงการใช้สมุนไพรเสริม มีพฤติกรรมการใช้ยาชุดตั้งแต่วัยรุ่น แม้จะตระหนักถึงความเสี่ยง กลุ่มพนักงานออฟฟิศมีโรคประจำตัวคล้ายกับกลุ่มแรงงาน แต่ไปพบแพทย์และใช้ยาตามแพทย์สั่งมากกว่า ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากกว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงาน และไม่ใช้ยาชุดเนื่องจากเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพมากกว่า ส่วนการเปิดรับสื่อทั้งสองกลุ่มเน้นรับข้อมูลผ่านสื่อบุคคล เช่น ครอบครัวหรือเพื่อนใกล้ชิด 
  2. รุ่นอายุ 28-43 ปี หรือ Gen Y กลุ่มผู้ใช้แรงงานเริ่มมีโรคประจำตัว เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ ทำให้ใช้ยากลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ และใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสมุนไพรตามคำแนะนำจากคนใกล้ชิด กลุ่มพนักงานออฟฟิศมีการดูแลสุขภาพมากขึ้น ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยการปรึกษาแพทย์ ด้านทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ ทั้งสองกลุ่มมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้ยาและสมุนไพรที่มีผลต่อไต แต่ยังใช้ยาและอาหารเสริมตามคำแนะนำจากแพทย์หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ส่วนการเปิดรับสื่อกลุ่มนี้นิยมสื่อออนไลน์ เช่น TikTok Facebook โดยเฉพาะวิดีโอสั้นจากบุคลากรทางการแพทย์ หรืออินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพ 
  3. รุ่นอายุ 19-27 ปี หรือ Gen Z กลุ่มผู้ใช้แรงงานยังไม่ค่อยมีโรคประจำตัว เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวกับผิวพรรณและรูปร่าง โดยได้รับข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรือคำแนะนำจากเพื่อน กลุ่มพนักงานออฟฟิศคล้ายกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ในเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่จะไปพบแพทย์เมื่อมีอาการหนักขึ้น ด้านทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ ครอบครัวและคนใกล้ชิดมีผลต่อการตัดสินใจ โดยกลุ่มนี้มีความระมัดระวังในการใช้ยากลุ่ม NSAIDs ส่วนการเปิดรับสื่อจะเน้นการรับสื่อออนไลน์ เช่น TikTok โดยเชื่อถือข้อมูลจากแพทย์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่มีความน่าเชื่อถือในการให้ข้อมูลด้านสุขภาพ