เพราะสุขใดเล่า จะยั่งยืนเท่า 'สุขมาราธอน'

เพราะสุขใดเล่า จะยั่งยืนเท่า 'สุขมาราธอน'

การมีสุขภาวะที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของ "การรักษาโรค" แต่ยังรวมไปถึงการกินดีอยู่ดี สิ่งแวดล้อม และการจัดการสุขภาพที่ดี นำมาสู่การรวมพลังผลักดัน เพื่อยกระดับให้คนในประเทศเดินไปสู่ทิศทางการมีความสุขที่ยั่งยืน

ในโลกทุกวันนี้ เป็นโลกที่พวกเราทุกคนกำลังเผชิญโรคภัยยุคใหม่ที่อาจไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้กับโรคติดเชื้อเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป เพราะจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นปัจจัยส่งผลให้ "ความสุข" และ "สุขภาพ" ของเราต่างก็ถดถอยลง และยังทำให้เราต้องเผชิญโรคที่เกิดจากพฤติกรรม "การกินไม่ดี อยู่ไม่ดี" มากขึ้น 

เรียกได้ว่ายิ่งเศรษฐกิจเจริญ ยิ่งเกิดการพัฒนา เราก็พาลเสี่ยงต่อปัญหาด้านสุขภาพมากขึ้น ที่สำคัญ เราทุกคนมีโอกาสที่จะเสี่ยง โดยไม่แยกว่าจะเป็นพื้นที่เมืองหรือพื้นที่ห่างไกลอีกต่อไป แต่เกิดขึ้นได้ในทุก "ชุมชน" และเมื่อปัจจัยที่กําหนดสุขภาวะที่ดีไม่ใช่เรื่องของ "การรักษาโรค" อย่างเดียว หากแต่หมายรวมไปถึงเรื่องของการกินดีอยู่ดี เรื่องสิ่งแวดล้อม และมีการจัดการสุขภาพที่ดี ที่จะนำไปสู่การมี "ความสุขยั่งยืน" ที่ต้องเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ในพื้นที่หรือชุมชน ซึ่งอยู่ใกล้ตัวมากที่สุด

จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า หากอยากจะยกระดับให้คนทุกคนในประเทศไทยเดินไปสู่ทิศทางการมีสุขภาพที่ดียืนยาว ถึงเวลาที่เราอาจต้องย้อนกลับไปปลุกกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตั้งแต่ใน "ระดับชุมชน"

เพราะสุขใดเล่า จะยั่งยืนเท่า \'สุขมาราธอน\'

ภายใต้ความเชื่อที่ว่าดังกล่าวนี้เอง จึงได้ก่อเกิดการร่วมกันผลักดัน อีกหนึ่งโครงการดี ๆ "โครงการพัฒนาระบบสุขภาพองค์รวมสู่ชุมชนเข้มแข็ง ด้วยโรงพยาบาลชุมชนและศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง ในการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องที่และท้องถิ่น"

อีกหนึ่งโครงการที่ขับเคลื่อนโดยสถาบันพัฒนาระบบบริการสุขภาพองค์รวม (สพบ.) ภายใต้มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ได้รับทุนสนับสนุนจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อดําเนินโครงการฯ ร่วมกับโรงพยาบาลชุมชนและศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมือง จํานวน 30 แห่งทั่วประเทศ ที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสในการพัฒนาสุขภาพในระดับโครงสร้างที่ยั่งยืน 

"สุข" เริ่มต้นที่ชุมชน

นพ.สันติ ลาภเบญจกุล เลขาธิการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) บอกเล่าถึงที่มาว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่มีโจทย์หลัก ๆ สำคัญสองประเด็น คือ การส่งเสริมให้ชุมชนมีสุขภาพดีและระบบเครือข่ายทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นความต้องการที่จะสนับสนุนให้พื้นที่ต่าง ๆ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการที่จะเริ่มต้น ทั้งจากพื้นที่ที่เป็นโรงพยาบาลชุมชนได้มีโอกาสทํางานร่วมกับท้องถิ่น ทํางานร่วมกับชุมชนในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหา ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในทุก ๆ กลุ่มวัย ในชุมชน

"รูปธรรมของโครงการ คือการทําความร่วมมือกับหลายภาคส่วน โดยมีโรงพยาบาลประจําอําเภอ หรือโรงพยาบาลชุมชนในโครงการนําร่องเป็นจุดสําคัญในการที่จะเชื่อมโยง แล้วก็ชวนภาคส่วนต่าง ๆ ของภายในชุมชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่น ท้องที่ โรงเรียนศูนย์เด็กเล็ก อาสาสมัครต่าง ๆ ที่มาร่วมมือกันมาออกแบบกระบวนการทํางานร่วมกันในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชนทุกกลุ่มวัย" นพ.สันติ กล่าว

เพราะสุขใดเล่า จะยั่งยืนเท่า \'สุขมาราธอน\'

ทุกช่วงวัยต้องมีสุข

การออกแบบโครงการ ยังคำนึงถึงความสุขทุกข์ของคนทุกกลุ่มในสังคม จึงดำเนินการขับเคลื่อนไปพร้อมการตั้งเป้าหมายว่า คนต่างช่วงวัย ต่างกลุ่มอายุควรที่จะได้รับการบริการหรือว่าการดูแลเกี่ยวกับเรื่องของการส่งเสริมป้องกันสุขภาพเท่าเทียม ซึ่งโครงการนี้ยังได้รับความช่วยเหลือจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคมที่มาเป็นพลังหนุนเพื่อส่งเสริมให้การดำเนินงานมีความราบรื่นยิ่งขึ้น

"โครงการนี้เรามุ่งเน้นที่จะพัฒนาประชากรทุกกลุ่มวัยในระดับชุมชน ตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็ก เช่น ทําอย่างไรให้ศูนย์เด็กเล็กเป็นศูนย์เด็กเล็กคุณภาพสําหรับเด็ก เพื่อจะได้มีพัฒนาการทางด้านสมอง ร่างกาย จิตใจ แล้วก็ความสัมพันธ์ที่ดี มีการพัฒนากลุ่มเยาวชนให้มีพลังชีวิตในกลุ่มเยาวชนที่เปราะบาง อาทิ โครงการครูนางฟ้าที่จะคอยประคับประคองเยียวยาเยาวชนกลุ่มเปราะบาง หรือในกลุ่มวัยผู้สูงอายุจะทําให้สามารถลุกขึ้นมามีพฤติกรรมที่ดีในการที่จะป้องกันแล้วก็ดูแลร่างกายตัวเอง จนถึงระยะสุดท้าย หรือว่าผู้สูงอายุที่ติดเตียงชุมชนก็จะมีคนดูแล รวมไปถึงกรณีกลุ่มคนเปราะบาง เช่น คนพิการ เราพยายามจะสนับสนุนให้คนพิการมีอาชีพ ภายใต้ความร่วมมือของบริษัทภาคเอกชน แล้วก็ทางธุรกิจเพื่อสังคมภายในโรงพยาบาล เรามีการจ้างงานผู้พิการภายใต้โครงการนี้ได้ประมาณ 300 คน กระจายไปในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งคนพิการเหล่านี้เป็นกําลังสําคัญในการที่จะช่วยเหลือแพทย์และบุคลากรในโรงพยาบาลในการดูแลคนไข้"

เพราะสุขใดเล่า จะยั่งยืนเท่า \'สุขมาราธอน\'

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวเสริมว่า เนื่องจากที่ผ่านมา โรงพยาบาลชุมชน อาจทํางานในเชิงการให้การรักษาพยาบาลเป็นหลัก แต่ว่าถ้าเกิดสามารถที่จะอาศัยการที่เข้าใจปัญหาของชุมชน ปัญหาโรคต่าง ๆ ก็สามารถทํางานร่วมกับภาคท้องถิ่นและภาคประชาชนได้ ซึ่งจะทําให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง และสร้างเสริมสุขภาวะคนในชุมชนทุกช่วงวัย คือกลุ่มของเด็กปฐมวัย กลุ่มเด็กวัยรุ่นวัยมัธยม กลุ่มวัยทํางาน กลุ่มผู้พิการ และก็กลุ่มผู้สูงอายุ โดยการพยายามพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าเครื่องมือ

"โครงการนี้เป็นโครงการที่สําคัญ เพราะเป็นความต้องการที่จะสนับสนุนให้พื้นที่ต่าง ๆ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการที่จะเริ่มต้น ทั้งจากพื้นที่ที่เป็นโรงพยาบาลชุมชนได้มีโอกาสทํางานร่วมกับท้องถิ่น ทํางานร่วมกับชุมชนในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหา"

นพ.พงษ์เทพ ขยายความต่อว่า การดูแลนั้นไม่ใช่การดูแลในลักษณะที่เป็นรูปแบบเดิมคือการให้บริการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการส่งเสริมให้ชุมชนพื้นที่หรือท้องถิ่นต้องลุกขึ้นมาจัดการกับปัญหาสุขภาพของตนเอง และสามารถที่จะไปพัฒนาเครื่องมือในการทําให้ชุมชนจัดการสุขภาพตัวเองได้แบบมีส่วนร่วม

"เพราะเราไม่สามารถต่อสู้กับโรคในลักษณะเดิมในสมัยก่อน เช่น โรคติดเชื้อที่แค่ฉีดวัคซีนให้ยาก็ทําให้หายเลยภายในเดือนเดียว ภายในวันเดียว แต่ความสุขจากการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ความสุขจากสุขภาพจิตดีเป็นเรื่องที่ต้องทําระยะยาวให้ฝังอยู่ในจิตใจให้กลายเป็นนิสัย แต่เราต้องเริ่มด้วยสร้าง สร้างวินัยจนในที่สุดแล้วกลายเป็นนิสัย ซึ่งเราจะทําโดยที่รู้สึกมีความสุขด้วยครับ ซึ่งตรงนี้เป็นมิติใหม่ ในการทําให้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น และนำไปสู่การมีสุขภาวะ เป็นความสุขที่ต้องค่อย ๆ ทําทีละน้อย เราเร่งไม่ได้ครับ แล้วก็เป็นงานคุณภาพที่จะต้องเกิดในระยะยาวให้ทุกคนมีส่วนร่วม"

เพราะสุขใดเล่า จะยั่งยืนเท่า \'สุขมาราธอน\'

ตั้งรับบริการสุขภาพด้วย Mindset 

นพ.ปวิตร วณิชชานนท์ ประธานชมรมผู้อํานวยการโรงพยาบาลชุมชนกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 700 กว่าแห่งทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นจะเป็นพื้นที่ซึ่งสามารถทํางานกับชุมชนกับเครือข่าย  

"ตรงนี้เป็นสิ่งที่โรงพยาบาลชุมชนที่ทํางานในระดับปฐมภูมิจะต้องทํา เพื่อที่จะดูแลประชาชนในพื้นที่เรา ซึ่งนอกจากเรื่องรักษาส่งเสริมป้องกันฟื้นฟูแล้ว ยังต้องมองแบบภาพรวม ยังเป็นเรื่องของการบริการที่เป็นแบบสุขภาพองค์รวมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจิตสังคม จิตวิทยา ขณะเดียวกัน ยังมีความเข้มแข็งของชุมชน เพราะฉะนั้นเราต้องหาที่เครือข่ายกลุ่มมาร่วมทํางาน ซึ่งตรงนี้โรงพยาบาลชุมชนจะมีเครือข่ายมาช่วย อย่างเรื่องครูนางฟ้าก็มีเครือข่าย  หรือเรื่องของการพัฒนาเด็กเล็ก เราก็มีเรื่องของคุณครู หรือมี อปท มาเกี่ยวข้อง ซึ่งเรามองว่าผลสุดท้ายประโยชน์เกิดกับชุมชน"

นพ.ปวิตร เผยว่า ที่จริงการทำงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกหรือเชิงป้องกัน เป็นไมนด์เซ็ตที่โรงพยาบาลชุมชนได้ดำเนินการอยู่แล้วระดับหนึ่ง แต่การร่วมมือผ่านโครงการนี้ยังทำให้เกิดพลังการขับเคลื่อนที่มากขึ้น ทั้งในด้านการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเพื่อต่อยอดและสรรหาทรัพยากร 

"เมื่อก่อนเป็นการต่างคนต่างทํา แต่เมื่อเรามีแนวร่วมระหว่างกันกับเครือข่ายก็จะเป็นสิ่งที่มาช่วยกันเพื่อทําให้เกิดเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และมีการขยับขยายมากขึ้น"

เพราะสุขใดเล่า จะยั่งยืนเท่า \'สุขมาราธอน\'

เดินหน้า "สุขมาราธอน"

จากการดำเนินการมาได้กว่า 2 ปี ปรากฏว่าโครงการสร้างผลิตผลความสำเร็จเชิงบวกในหลายมิติ จากการดำเนินการใน 30 อำเภอ 25 จังหวัดทั่วประเทศ ผลลัพธ์จากโครงการนำร่องใน 6 พื้นที่ต้นแบบ ได้แก่ ลดภาวะน้ำหนักตัวเด็กแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ได้ 12% ลดอัตราผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้จาก 35% เหลือ 22% เพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการสุขภาพปฐมภูมิในพื้นที่ชนบทมากขึ้น 40% ความสำเร็จของโครงการสะท้อนว่าการพัฒนาสุขภาพต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นหัวใจสำคัญ 

จนโครงการสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตความสุขของ 30 พื้นที่นำร่องที่ ได้ถูกนำมาเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านจัดงานมหกรรมวิชาการ "สุข Marathon" Happiness is Blooming ให้กับเพื่อน ๆ เครือข่ายโรงพยาบาลชุมชนอื่น ๆ ต่อไปภายใต้แนวคิด "เพราะสุขภาพคือพลังสำคัญที่เราสร้างได้ร่วมกัน" รวมพลังสร้างสุขภาวะชุมชนอย่างยั่งยืน พร้อมเป้าหมายในอนาคตจะขยายโครงการไปยัง 60-120 พื้นที่ทั่วประเทศ  

นิยามสุขมาราธอน

"นิยามของสุขมาราธอน ก็คือสุขระยะยาว" ผู้จัดการกองทุน สสส. อธิบายถึงแนวคิดการจัดงาน พร้อมกับเผยต่อไปว่า การที่ทุกคนอยากจะสุขต้องสุขแบบมาราธอนต้องวิ่งมาราธอนวิ่งทีละน้อย วิ่งช้า ๆ  วิ่งแบบไม่เหนื่อย เพราะชีวิตมันเป็นเรื่องระยะยาว ถ้าเราดูแลสุขภาพที่ดีตั้งแต่วัยเด็กจนวัยทํางาน จนถึงวัยสูงอายุได้ ความสุขนั้นก็อยู่กับเราไปตลอดชีวิต

สร้างสังคมใหม่ สังคมสุขภาวะ

นพ.พงศ์เทพ กล่าวทิ้งท้ายว่า การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่เราต้องทำซ้ำ ๆ ต้องออกกําลังกาย ต้องกินอาหารที่ดี ต้องควบคุมจิตใจตัวเอง ต้องระวังเรื่องของสิ่งแวดล้อม ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เราต้องทำเป็นประจําและทําแบบชุมชนมีส่วนร่วม เพราะชุมชนเองก็จะเป็นพลังใจ การให้กําลังใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น เราต้องสร้างความเข้มแข็งสร้างภูมิต้านทานให้เราสามารถชนะกิเลส ชนะใจของเราเองได้ด้วย