เด็กไทยกับความเปราะบางภายใน และเรื่องหัวใจที่ต้องลงทุน

เด็กไทยกับความเปราะบางภายใน ซึ่งเกิดจาก “ความรุนแรง” อาจไม่ได้มีความหมายแค่การถูกกระทำทางร่างกายเพียงอย่างเดียว หากแต่ความรุนแรงทางด้านจิตใจ อาจเป็นอีกความรุนแรงที่ส่งผลยิ่งยวด เผลอๆ อาจเจ็บปวดฝังลึกยาวนานกว่าความเจ็บปวดทางกายด้วยซ้ำ
สังคมไทยวันนี้เรากำลังมีเด็กตกเป็น เหยื่อความรุนแรง มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะความรุนแรงจากครอบครัวหรือในบ้านของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการ “ถูกทอดทิ้ง” หรือการไม่ได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่ ซึ่งอาจยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายฝ่ายไม่ควรมองข้าม
แม้วันเด็กได้ผ่านพ้นไปกว่าสองสัปดาห์แล้ว แต่ยังมีหลายคำถามติดอยู่ในใจผู้ใหญ่หลายคน เก็บตกจากงานเสวนา “ความรุนแรงในครอบครัวกับอนาคตเด็กไทย...ที่ขาดแคลนการลงทุน” ที่จัดโดย กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมด้วยมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
“แล้วทำไมเราถึงให้ได้แค่คำขวัญวันเด็ก?” หรือ “เราควรทำอะไรเพื่อเด็กได้มากกว่านี้หรือไม่?” เกิดประโยคคำถามสะท้อนออกมา ว่านอกเหนือจากคำขวัญเพียงหนึ่งประโยคที่เด็กไทยได้รับเป็นประจำสม่ำเสมอในทุกปี เราควรมีนโยบายดีๆ ที่ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของลูกหลานเรามีความสุขมากขึ้นหรือไม่
“รุนแรง” เรื่องของ “เขา” หรือ “เรา-ทุกคน”
ความรุนแรง อาจไม่ได้มาในรูปการทำร้ายร่างกาย หากแต่ความเมินเฉยไม่ใส่ใจ ทอดทิ้งก็อาจไม่ต่างอะไรกับการถูกกระทำด้วยความรุนแรงทางจิตใจ หนึ่งในผู้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางใจ ภานุเดช สืบเพ็ง อดีตเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงโดยคนที่รักในครอบครัว
“ตอนเด็กพ่อแม่แยกทางกัน ผมอยู่กับพ่อและน้อง 3 คน พอพ่อเมา เขาก็ตีผมกับน้องเป็นประจำจนพวกเราทนไม่ไหวเลยหนีออกมาเร่ร่อน” ภานุเดช ย้อนภาพวันวาน เสียงเขายังสั่นเครือเล็กน้อยเมื่อต้องนึกถึงอดีตที่ไม่อยากจดจำ
เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านตั้งแต่วัยเด็ก อาศัยนอนวัด ที่สาธารณะ อดมื้อกินมื้อ บ้างขอข้าววัดกินประทังชีวิต “มองไม่เห็นอนาคตเลยตอนนั้น ก็ไม่ได้คิดอะไรใช้ชีวิตไปวันๆ” แต่โชคยังเข้าข้าง มีพลเมืองดีพบเห็นจึงแจ้งตำรวจ ทำให้เขาและน้องถูกส่งไปอยู่ที่มูลนิธิต่างๆ โดยทุกคนเติบโต ใช้ชีวิต และได้รับการศึกษาตามความเหมาะสม “แรกๆ พ่อทราบข่าวก็มาเยี่ยมบ้าง แต่สุดท้ายก็หายไปเลย”
อย่างไรก็ดี ผลพวงจากการได้รับ ความรุนแรง ในวัยเด็ก และการเป็นเด็กที่ไม่มีครอบครัวพร้อมเพรียงเช่นคนอื่น ยังคงเป็นบาดแผลในใจเขา และยังคงทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดในส่วนลึก ส่งผลให้เขาต้องการการเติมเต็มตลอดมา
ช่องว่างระหว่าง “เรา”
“ความรุนแรง” ไม่ได้ส่งผลเฉพาะตัวเด็กผู้ถูกกระทำ หากผลกระทบนั้นยังส่งแรงกระเพื่อมขยายไปสู่ครอบครัว และอาจกลายเป็นปัญหาสังคมอีกด้วย เช่นเดียวกับชีวิตของ “เอ” เยาวชนชายวัย 16 ปี ที่ได้รับความรุนแรงจากการถูกเพิกเฉยจากครอบครัว ที่ได้ผลักไสให้เขาเกือบเดินสู่เส้นทางที่ผิด
เอเล่าว่า พ่อแม่แยกทางกัน ตั้งแต่ตัวเองลืมตาดูโลกได้เพียง 3 วัน โดยแม่เลือกที่จะเดินจากไป เขาถูกทิ้งให้อยู่กับพ่อ ด้วยเหตุจำเป็นหลายอย่างทำให้พ่อซึ่งในเวลานั้นเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่งไม่สามารถเลี้ยงดูเขาด้วยตัวเอง เขาจึงถูกส่งไปอยู่กับย่าและญาติ ที่เลือกวิธีการหยิบยื่นเงินทองให้ แต่ไม่เคยพูดคุย อบรม สั่งสอน เลี้ยงดูด้วยความรัก
“ผมตื่นมาก็ไม่เจอใครแล้ว เขาออกไปทำงานกันหมด มีแต่เงินวางไว้ให้ กลับมาจากโรงเรียนก็ไม่เจอใคร เหมือนอยู่คนเดียวตลอด” การไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์สำหรับเอ ถือเป็นความรุนแรง เขาถูกเพิกเฉย การที่ภายในครอบครัวไม่ได้พูดไม่ได้เห็นว่าเขามีตัวตนในบ้าน
สิทธิดีๆ ที่ควรให้เด็ก
เรื่องใหญ่ที่สุดคือ “สิทธิของเด็ก” และในความเป็นจริง เด็กทุกคนมีสิทธิในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะสิทธิที่ไม่ต้องเผชิญกับ “ความรุนแรง”
อภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน พม. กล่าวว่า จากข้อมูลศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการเร่งรัด จัดการ ติดตามการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพประชาชน และกลุ่มเป้าหมายผู้ประสบปัญหาทางสังคม ผ่าน Hotline 1300 พบว่า ในปี 2567 มีผู้ขอรับความช่วยเหลือเป็นจำนวน 188,000 ราย ซึ่ง 12.4% เป็นเรื่องปัญหาเด็กและเยาวชน โดยมีประมาณ 26,000 ราย
“ที่น่าสนใจคือ ปัญหาเรื่องความรุนแรงเป็น 1 ใน 5 ของปัญหาที่ขอรับความช่วยเหลือมากที่สุด ซึ่งในวันเด็กแห่งชาติปี 2568 เราอยากให้เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหายุติความรุนแรงในครอบครัว”
ดังนั้น การจัดกิจกรรมวันเด็กในปีนี้ พม. โดย กรมกิจการเด็กและเยาวชนได้จัดกิจกรรมวันเด็ก ภายใต้แนวคิด “Wonderful kids Wonderful days ให้ทุกวันเป็นวันของเด็ก และได้ร่วมกับ มูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และ สสส. หนุนเสริมการจัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ผ่านบ้านพักเด็กและครอบครัวทุกจังหวัด ซึ่งมีความพิเศษคือ การเสริมความรู้ประเด็นสิทธิเด็ก ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก 4 ประการ คือ สิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองและสิทธิที่จะมีส่วนร่วม ประเด็นความรุนแรงในครอบครัว รวมไปถึงประเด็นการปกป้องคุ้มครองเด็กจากอบายมุขทุกรูปแบบ ตลอดจนการทำใดๆ ที่จะทำให้เด็กเสี่ยงที่จะกระทำผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ทั้งหลายควรตระหนักรู้
บาดแผลที่ต้องได้รับการเยียวยา
แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก "เลี้ยงลูกนอกบ้าน" เอ่ยถึงกรณีของเอ และภานุเดชว่า เด็กถูกสร้างบาดแผล ไม่ว่าจะเป็นการละเลย การทอดทิ้ง หรือการใช้ความรุนแรงในครอบครัว การทําให้รู้สึกว่าเขาไม่มีคุณค่า ซึ่งมันมีผลมากๆ กับการเติบโตอย่างมั่นคงของตัวเอง
“นอกเหนือจากครอบครัว สังคมเองก็ควรเข้าใจว่าการให้โอกาสซึ่งกันและกัน เวลาใครสักคนผิดพลาด เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังชีวิตของเขา มันอาจจะเต็มไปด้วยอะไรที่เรามองไม่เห็น หากเราสามารถให้อภัยและเข้าใจที่มาของคนแต่ละคน รวมถึงให้โอกาสที่จะเติบโต ถือเป็นสิ่งสําคัญมาก ในการที่เราจะโอบอุ้มลูกหลานของเรา”
นอกจากนี้ การจะเปลี่ยนแปลงเด็กหนึ่งคนอาจจำเป็นต้องทุ่มเทใช้พละกำลังมหาศาล โดยเฉพาะการเปลี่ยน Mindset อาจไม่ได้เปลี่ยนโดยข่าวหนึ่งข่าวหรือหนังหนึ่งเรื่อง ต้องผลิตซ้ำๆ ภายใต้ตัวอย่างที่หลากหลาย
“เขาบอกว่าถ้าเราอยากเปลี่ยนให้เร็วได้ดั่งใจให้เปลี่ยนพฤติกรรม แต่ถ้าอยากเปลี่ยนให้ยั่งยืนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ซึ่งการเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ทำให้ได้วิธีคิด แต่หากเราเปลี่ยนวิธีคิดได้เราจะได้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ดังนั้นเราคำนวณเวลาที่เรียบร้อยแล้วว่า การสร้างหรือเปลี่ยน Mindset ที่คงทนถาวร ต้องหนึ่งปีครึ่งขึ้นไป และเป็นเหตุผลที่ต้องอยู่หนึ่งถึงสองปีขึ้นไป” ป้ามล ทิชา ณ นคร กล่าว
ลงทุนกับเด็ก
ป้ามล ทิชา ณ นคร วิเคราะห์ว่า ส่วนหนึ่งที่อาจทำให้เราไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการประนีประนอม แต่บางครั้งก็เสมือนการเพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งอาจเท่ากับเรากำลังเพิกเฉยความทุกข์เด็กๆ เหล่านี้
“เด็กๆ ที่อยู่ในความทุกข์แบบนี้เขาต้องการความเกื้อกูลช่วยเหลือ ขณะเดียวกันเด็กที่ยังไม่ได้รับความทุกข์ขนาดนี้ก็ต้องการระบบสนับสนุนที่ทำให้เขาไม่ต้องมาจมอยู่กับปัญหาเหล่านี้เช่นกัน”
แต่การแก้ปัญหาเหล่านี้ ป้ามล เอ่ยว่า จะมองเด็กเป็นปัจเจกอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องมองระดับแมส ซึ่งเราหมายถึงเด็กจำนวนมหาศาล ซึ่งต้องการการลงทุน การเอ็มพาวเวอร์จากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาครัฐ แต่ด้วยข้อจำกัดของภาครัฐมีระบบอำนาจเป็นแนวดิ่ง และการมี fix mindset ซึ่งทำให้รัฐอาจมองไม่เห็นความสำคัญของเรื่องการมีอำนาจร่วม ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือครอบครัว แม้แต่เด็กก็ควรมีส่วนในการตัดสินใจร่วม
หมอโอ๋ ช่วยเสริมโดยเอ่ยว่า เห็นด้วยกับการลงทุนเรื่องเด็กอย่างมาก เพราะการลงทุนกับเด็กเป็นเรื่องที่คุ้มค่าที่สุด ไม่ใช่การสร้างขนส่งถนนหนทาง สร้างสะพาน เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มหาศาลสำหรับการพัฒนาประเทศชาติอย่างมาก อาจจะเริ่มตั้งแต่การลงทุนกับคุณภาพชีวิตของเขา แต่ปัจจุบันเด็กบ้านเรา 43% ยังเติบโตมากับบ้านที่ไม่มีนิทานมาแม้แต่เล่มเดียว หรือชุมชนบางแห่งไม่มีแม้กระทั่งสนามเด็กเล่น ซึ่งเป็นพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็ก