บิ๊กดีล! สนั่นธุรกิจกาแฟโลก 'เคอริกฯ' ฮุบ 'เจดีอี พีทส์'

จัดทัพใหม่! เคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ ยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มสหรัฐ ฮุบกิจการเจดีอี พีทส์ บริษัทกาแฟดังแดนกังหันลม รับมือราคากาแฟผันผวน ลดเสี่ยงกำแพงภาษีทรัมป์
ข่าวใหญ่สะเทือนวงการธุรกิจกาแฟระหว่างประเทศล่าสุดเห็นจะไม่พ้นไปจากกรณียักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มของสหรัฐอย่าง 'เคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์' (Keurig Dr Pepper) ทุ่มเงินก้อนโตซื้อกิจการ 'เจดีอี พีทส์' (JDE Peet's) บริษัทกาแฟข้ามชาติชื่อดังจากเนเธอร์แลนด์
ถือเป็นการเทคโอเวอร์ในระดับ 'บิ๊กดีล' ที่ชวนให้หลายคนแปลกใจไม่น้อย เพราะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคากาแฟตลาดโลกยังคงผันผวนรุนแรงจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน และขณะที่ทุกภาคส่วนธุรกิจกาแฟก็กำลังหาวิธีบริหารความเสี่ยงจากกำแพงภาษีสุดโหดของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ปลายสิงหาคมที่ผ่านมา เคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ เจ้าของระบบชงกาแฟแคปซูล K-Cup ควักเงินประมาณ 18,400 ล้านดอลาร์สหรัฐ ประกาศซื้อกิจการเจดีอี พีทส์ เมื่อประเมินจากมูลค่าเงินแล้ว จัดว่าเป็นดีลควบรวมกิจการที่ใหญ่สุดของยุโรปในรอบกว่า 2 ปีทีเดียว
ตามข่าวบอกว่า บริษัทที่เกิดจากการควบรวมกิจการ จะ 'แตกธุรกิจ' ออกเป็น 2 ส่วนแบบสแตน-อะโลน คอมพานี คือ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจกาแฟ กับบริษัทธุรกิจเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์
เคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ ยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มสหรัฐ ทุ่มเงินซื้อกิจการเจดีอี พีทส์ คอฟฟี่ วงเงิน 18,400 ล้านดอลาร์สหรัฐ (ภาพ : facebook.com/keurig)
ในส่วนธุรกิจกาแฟ จะนำแบรนด์กาแฟในสังกัดของเคอริกฯ กับของเจดีอี พีทส์ มาตั้งเป็นบริษัทใหม่ ก่อนนำเข้า 'จดทะเบียน' ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ เช่นเดียวกับบริษัทเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์ใหม่ จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์
ทิม โคเฟอร์ ซีอีโอของเคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ จะรับตำแหน่งซีอีโอของบริษัทเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์แห่งใหม่ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐเท็กซัส ส่วนสุภัญชู พริยะดาร์ศรี ซีเอฟโอของเคอริกฯ ซึ่งเป็นนักธุรกิจเชื้อสายอินเดีย จะไปกินตำแหน่งซีอีโอของบริษัทกาแฟใหม่ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์
ว่ากันว่า ดีลนี้ได้รับไฟเขียวจาก 'เจเอบี โฮลดิ้ง' กลุ่มการค้ายักษ์ใหญ่ของตระกูลไรมันน์จากเยอรมนี ที่ถือหุ้นเกือบ 70% ในเจดีอี พีทส์ และถือหุ้นในคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ อยู่ 4% ขณะที่เมื่อปลายปีที่แล้วมีรายงานข่าวว่า กลุ่มเจเอบี โฮลดิ้ง วางแผนถอนตัวจากธุรกิจเครื่องดื่ม หันไปลงทุนในธุรกิจประกัน
เจดีอี พีทส์ คอฟฟี่ บริษัทกาแฟข้ามชาติชื่อดังจากเนเธอร์แลนด์ มีแบรนด์กาแฟในพอร์ตมากกว่า 50 แบรนด์ รวมไปถึง จาคอปส์, ดาวเออร์ เอ็กเบิร์ตส์, เคนโก้, โอลด์ ทาวน์, ซูเปอร์ และมอคโคน่า (ภาพ : jdepeets.com)
ผู้บริหารระดับสูงฝั่งเคอริกฯ ให้สัมภาษณ์บีบีซีแห่งอังกฤษว่า การซื้อกิจการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างธุรกิจกาแฟที่มีความ 'ยืดหยุ่น' และ 'หลากหลาย' ก่อให้เกิดบริษัทกาแฟระดับแชมป์โลก (global coffee champion) ในห้วงเวลาที่อุตสาหกรรมกาแฟกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาภาษีศุลกากรและราคาเมล็ดกาแฟที่สูงลิ่ว
เป็นที่น่าสังเกตว่าบิ๊กดีลสะเทือนวงการธุรกิจกาแฟโลกครั้งนี้ เกิดขึ้นไม่นานหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่อบราซิลในอัตรา 50% ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าแซมบ้าบราซิลเป็นชาติผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ผู้บริหารของทั้งเคอริกฯและเจดีอี พีทส์ ก็เคยออกโรงเตือนถึงผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของราคากาแฟในตลาดโลก
เคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ กับเจดีอี พีทส์ เป็นสองบริษัทใหญ่ที่มีแบรนด์กาแฟและเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์อยู่ในพอร์ตมากมายทีเดียว ดังนั้น เมื่อมีการรวมกิจการกันแล้วแยกเป็นสองบริษัทอย่างเป็นเอกเทศอย่างนี้ คงส่งแรงกระเพื่อมทางขีดแข่งขันไปถึงบิ๊กเนมของวงการอย่าง 'เนสท์เล่' ไม่มากก็น้อย
ทัลลี่ คอฟฟี่ แบรนด์ร้านกาแฟสัญชาติอเมริกัน เป็นธุรกิจในเครือเคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ (ภาพ : facebook.com/TullysCoffeeJapan)
อย่างเคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ บริหารแบรนด์อยู่ถึง '125 แบรนด์' ด้วยกัน เช่น ผลิตภัณฑ์และเครื่องชงกาแฟ K-Cup ภายใต้แบรนด์เคอริก, โรงคั่วควบร้านกาแฟกรีน เม่าเทน คอฟฟี่ โรสเตอร์ส, เครื่องดื่มบรรจุขวดที่คุ้นชื่อกันอยู่หลายยี่ห้อ อาทิ เช่น ด็อกเตอร์ เปปเปอร์, เซเว่นอัพ, แคนาดา ดราย,สแนปเปิล, เอแอนด์ดับบลิว, มอทส์, เพนนาฟี่ และอื่น ๆ อีกมาก เรียกว่าครอบคลุมเซ็กเมนท์กาแฟ, ชา, น้ำดื่ม, น้ำอัดลม, น้ำผลไม้, เครื่องดื่มเกลือแร่, เครื่องดื่มให้พลังงาน และมิกเซอร์
เคอริกฯ ยังเป็นเจ้าของเชนร้านกาแฟ 'ทัลลีส์ คอฟฟี่' ขณะที่ระบบชงกาแฟแบบซิงเกิ้ลเสิร์ฟ 'K-Cup' ก็มียอดจำหน่ายสูงมากในตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
ส่วนเจดีอี พีทส์ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน เป็นบริษัทกาแฟระดับโลกทีเดียว มีแบรนด์ในพอร์ตระดับ 'ไอคอนิก' ที่รู้จักกันดีราวๆ 50 แบรนด์ เช่น พีทส์ คอฟฟี่, ลอร์,จาคอปส์, ดาวเออร์ เอ็กเบิร์ตส์, เคนโก้, พีลาโอ, โอลด์ ทาวน์, ซูเปอร์, มอคโคน่า,ทาสซิโม และเซนซิโอ ดูจากรายชื่อแล้วถือว่าทำธุรกิจครบวงจรจริง ๆ ทั้งร้านกาแฟ, โรงคั่วกาแฟ, กาแฟคั่วบด, กาแฟสำเร็จรูป, แคปซูลกาแฟ ยันระบบชงกาแฟแบบซิงเกิ้ลเสิร์ฟ
โอลด์ทาวน์ ไวท์ คอฟฟี่ แบรนด์กาแฟดั้งเดิมของมาเลเซีย ถูกเทคโอเวอร์ไปโดยจาคอปส์ ดาวเออร์ เอ็กเบิร์ตส์ โฮลดิ้งส์ เอเชีย ในเครือเจดีอี พีทส์ฯ (ภาพ : Charlie Waradee)
เจดีอี พีทส์ จัดเป็นหนึ่งใน 'เจ้าพ่อ' เทคโวอร์รายใหญ่ในวงการธุรกิจกาแฟโลก เข้าไปซื้อกิจการแบรนด์กาแฟพิเศษสหรัฐ 2 แห่ง คือ สตัมป์ทาวน์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ส กับอินเทลลิเจ้นท์เซีย คอฟฟี่ นอกจากนั้นซื้อกิจการโอลด์ทาวน์ ไวท์ คอฟฟี่ แบรนด์กาแฟดั้งเดิมของมาเลเซีย ผ่านทางจาคอปส์ ดาวเออร์ เอ็กเบิร์ตส์ โฮลดิ้งส์ เอเชีย เมื่อปีค.ศ. 2017
โดยภาพรวมแล้วธุรกิจกาแฟกับธุรกิจเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์ มีอัตราเติบโตต่อเนื่องในทุก ๆ ปี ไม่ใช่เฉพาะสหรัฐอเมริกา แต่รวมไปถึงทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ธุรกิจกาแฟในเมืองลุงแซมดูจะเจอปัญหาใหญ่กว่า ทั้งจากราคากาแฟที่สูงขึ้น และจากนโยายภาษีของท่านผู้นำทรัมป์
ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่า การควบรวมกิจการแล้วแตกเป็นสองบริษัทอิสระ ย่อมลด 'ความเสี่ยง' ทางการเงินให้กับบริษัทแม่และผู้ถือหุ้นไปได้ส่วนหนึ่ง
มอคโคน่า แบรนด์กาแฟสำเร็จรูปในเครือเจดีอี พีทส์ฯ ที่คอกาแฟชาวไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี (ภาพ : jdepeets.com)
ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับราคาเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้น อันเป็นผลกระทบจากภาษีศุลกากร เคอริกฯได้จัดแคมเปญล็อกราคาสินค้าในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เรียกว่า 'Price Lock Event' หวังกระตุ้นให้ลูกค้าสมัครใช้บริการส่งกาแฟอัตโนมัติ ซึ่งมีการล็อกราคาไว้จนถึงสิ้นปีนี้
ขณะเดียวกัน ซีอีโอของเจดีอี พีทส์ เคยให้ความเห็นว่า บริษัทอาจต้องขึ้นราคากาแฟในสหรัฐ เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์ แต่ผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีต่อบริษัท มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะ 'กาแฟบราซิล' มีสัดส่วนการใช้งานของบริษัทไม่ถึง 30%
ผลิตภัณฑ์กาแฟของโรงคั่วควบร้านกาแฟกรีน เม่าเทน คอฟฟี่ โรสเตอร์ส แบรนด์กาแฟดังในตลาดสหรัฐอเมริกา (ภาพ : facebook.com/GreenMountainCoffeeRoasters)
ผู้เขียนอยากจะบอกว่า แม้มีการใช้กาแฟบราซิลในสัดส่วนไม่ถึง 1 ใน 3 แต่ก็ถือว่าเยอะมากแล้ว ดังนั้น วาทะของ ซีอีโอของเจดีอี พีทส์ น่าจะเป็นการพูดในเชิงจิตวิทยา เพื่อลดผลกระทบต่อราคาหุ้นมากกว่า
สองปัจจัยลบกระทบตลาดจากราคากาแฟที่สูงขึ้นและกำแพงภาษีทรัมป์นี่แหละครับ ที่ทำให้มีรายงานข่าวว่า 'โคคา-โคล่า' ยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มน้ำอัดลมแห่งสหรัฐ อยู่ระหว่างเจรจาขายกิจการ 'คอสต้า คอฟฟี่' เชนร้านกาแฟดังของอังกฤษ ในวงเงินเพียง 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเคยทุ่มเงินซื้อมาในราคา 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีค.ศ. 2019 ถือว่าลดราคาให้เกือบครึ่งหนึ่งทีเดียว
แต่ก็อย่างที่ ทิม โคเฟอร์ ซีอีโอของเคอริก ด็อกเตอร์ เปปเปอร์ ได้ให้คำอธิบายบิ๊กดีลล่าสุดนี้เอาไว้อย่างชัดเจนว่า นี่คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม!
.....................................
เขียนโดย : ชาลี วาระดี







