ยักษ์กาแฟบราซิล ไปต่อยังไงดี? ใต้เงาภาษีทรัมป์ 50%!

ยักษ์กาแฟบราซิล ไปต่อยังไงดี? ใต้เงาภาษีทรัมป์ 50%!

อุตสาหกรรมกาแฟบราซิลเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ หลังโดน 'โดนัลด์ ทรัมป์' เก็บภาษีสุดโหด 50% เร่งหาตลาดใหม่ พุ่งเป้าเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง ชดเชยออเดอร์หดหายในสหรัฐ

หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ อีก นับจากวันที่ 7 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป สินค้าหลากหลายประเภทจาก 'บราซิล' ประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก จะถูกจัดเก็บภาษีศุลกากรใหม่ในอัตรา 50% เมื่อนำเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา

แน่นอนว่าเป็นบริษัทนำเข้ากาแฟอเมริกันจะเป็นผู้แบกรับต้นทุนภาษีไปเต็ม ๆ ไม่ใช่ประเทศผู้ส่งออกตามที่อเมริกันชนจำนวนหนึ่งเข้าใจกัน กระนั้นก็ตาม ระดับภาษีที่สูงมากขนาดนี้ กำลังมีผลกระทบ 'รุนแรง' ของอุตสาหกรรมกาแฟแดนแซมบ้าทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กาแฟบราซิล ที่จะมีราคาแพงขึ้น 50% ในสหรัฐในอนาคตอันใกล้นี้ บรรดาโรงคั่วกาแฟทั้งรายใหญ่รายเล็กก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมองหา 'ตลาดใหม่' มารองรับ แต่อย่าลืมว่า บราซิลผลิตกาแฟเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาแล้ว 150 ปี ไม่มีประเทศไหนส่งออกกาแฟอาราบิก้าล็อตใหญ่ ๆ ในเชิงพาณิชย์ให้สหรัฐได้มากขนาดนั้น (ระยะหลังบราซิลก็เริ่มทำกาแฟสเปเชี่ยลตี้มากขึ้น) และราคาก็มีความสม่ำเสมอ รวมไปถึงมีศักยภาพในการขนส่งด้วย

ภายใต้กำแพงภาษีสุดโหด 50% ทำเจ้าของไร่กาแฟบราซิล 'เดือดร้อน' แน่ ในมุมกลับกัน ก็อาจนำไปสู่ปัญหา 'ขาดแคลน' และราคากาแฟที่สูงขึ้นในสหรัฐอเมริกาได้เช่นกัน

ยักษ์กาแฟบราซิล ไปต่อยังไงดี? ใต้เงาภาษีทรัมป์ 50%!

ตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรป อาจเป็นทางออกของบราซิล เพื่อชดเชยออเดอร์ในสหรัฐที่คาดว่าจะหดหายไปเยอะ  (ภาพ : Charlie Waradee)

จะเป็นในเรื่องหักเหลี่ยมเฉือนคมกันหรือด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ราวต้นเดือนสิงหาคม ก่อนหน้าภาษีใหม่บราซิลจะมีผลบังคับใช้ 'จีน' ในฐานะพันธมิตรทางการค้าของบราซิล ประกาศอนุมัติให้บริษัทผู้ผลิตกาแฟเจ้าใหม่แดนแซมบ้า 183 แห่ง ส่งออกสินค้าไปยังตลาดแดนมังกรได้ กำหนดระยะเวลาไว้ 5 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นต้นไป คาดว่าจะเพิ่มการขนส่งกาแฟจากบราซิลไปยังจีนเพิ่มขึ้น

การเคลื่อนไหวของรัฐจีน ทำให้สำนักข่าวรอยเตอร์นำไปพาดหัวข่าวออนไลน์ว่า จีน 'เปิดประตู' อ้าแขนรับกาแฟบราซิล ขณะที่สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งกำแพงภาษีกาแฟบราซิล 50%

ถามว่าจีนช่วยแก้ปัญหาให้กับบราซิลในสถานการณ์นี้ได้ไหม?

ก็ช่วยได้นะครับ แต่ไม่ทั้งหมด  และในระยะยาว ดูมีนัยยะสำคัญทีเดียว มาดูตัวเลขกัน...

ในปี 2024 จีนนำเข้ากาแฟมูลค่าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ แยกเป็นสัดส่วนของกาแฟบราซิลในราว 300 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้บราซิลเป็นแหล่งนำเข้ากาแฟอันดับหนึ่งของจีนไปโดยปริยาย โดยเฉพาะหลังจาก 'ลัคอิน คอฟฟี่' เชนร้านกาแฟรายใหญ่สุดในแดนมังกร ไปทำข้อตกลงสำคัญกับ 'เอเป็กซ์บราซิล' ซึ่งเป็นสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนของบราซิล เพื่อซื้อกาแฟบราซิล 240,000 ตัน ภายใน 5 ปีข้างหน้านี้

ยักษ์กาแฟบราซิล ไปต่อยังไงดี? ใต้เงาภาษีทรัมป์ 50%!

ภาษีสุดโหด 50% ทำไร่กาแฟบราซิลเดือดร้อน ในมุมกลับกัน ก็นำไปสู่ปัญหาราคากาแฟสูงขึ้นในสหรัฐอเมริกาได้เช่นกัน  (ภาพ :  arifarca from Pixabay)

กลางปี 2024 รัฐบาลบราซิลนำคณะเดินทางไปจีนเพื่อเปิดตลาดสินค้าบราซิลในตลาดแดนมังกร นำโดยรองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงการค้า ครั้งนั้นมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) เพื่อ 'โปรโมท' กาแฟบราซิลที่ขายในร้านกาแฟลัคอิน คอฟฟี่ รวมไปถึงเปิดศูนย์นวัตกรรมบราซิลในนครเซี่ยงไฮ้ด้วย

ตัวเลขการส่งออกกาแฟของบราซิลไปยังจีนพุ่งสูงขึ้นกว่า 250% ในปี 2023 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของแบรนด์ร้านกาแฟจีน เช่น ลัคอิน คอฟฟี่ นั่นเอง

ในปี 2024 เช่นเดียวกัน สหรัฐนำเข้ากาแฟจากบราซิลเป็นมูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่ายอดที่จีนนำเข้าจากบราซิลมากทีเดียว

แต่การเปิดประตูต้อนรับกาแฟบราซิลของจีนจะเป็น 'ประโยชน์' แก่ทั้งสองประเทศในระยะยาว เพราะตัวเลขการบริโภคกาแฟในแดนมังกรเพิ่มขึ้นสูงในทุก ๆ ปี 

ยักษ์กาแฟบราซิล ไปต่อยังไงดี? ใต้เงาภาษีทรัมป์ 50%!

กาแฟบราซิลในตลาดสหรัฐนั้น มีทั้งแบบเบลนด์และแบบกาแฟพิเศษ หากมีการนำเข้ากาแฟจากแหล่งอื่น ๆ มาทดแทน ก็คงต้องมีการปรับราคาและปรับสูตรกาแฟกันใหม่  (ภาพ :  Ian Baldwin on Unsplash)

ขณะที่สหรัฐสร้างกำแพงทางการค้า จีนคว้าโอกาสนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่บราซิลประเทศเดียว  แต่จีนยังตกลงยกเว้นภาษีนำเข้าให้กับประเทศในทวีป 'แอฟริกา' ถ้ามองกันในมุมเศรษฐกิจกาแฟ เอธิโอเปีย, เคนยา, ยูกันดา, แทนซาเนีย และรวันดา ก็เป็นแหล่งผลิตกาแฟสำคัญ ๆ ทั้งสิ้น

อย่างที่ทราบกันดีครับว่า สหรัฐเป็นประเทศ 'คู่ค้า' กาแฟรายใหญ่ที่สุดของบราซิล ปีที่แล้วนำเข้ากาแฟจากบราซิลมูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของกาแฟที่นำเข้าทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา เมื่อต้นทุนนำเข้ากาแฟพุ่งขึ้นมาก ย่อมส่งผลให้ราคากาแฟปรับตัวขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟที่ขายกันตามร้านรวง เมล็ดกาแฟคั่วและกาแฟสำเร็จรูปตามซูเปอร์มาร์เก็ต

นอกจากบราซิลที่โดนไปแล้วในอัตรา 50% ประเทศผู้ส่งออกกาแฟรายอื่น ๆ ก็โดนจัดเก็บภาษีเหมือนกัน อย่างเวียดนามที่เป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับ 2 ของโลก โดนภาษีไป 20%, อินโดนีเซีย 19% เท่ากับไทย

ขณะที่อินเดียส่งออกกาแฟไปตลาดสหรัฐเช่นกัน ล่าสุดโดนประธานาธิบดีทรัมป์ทิ้งบอมบ์ภาษีศุลกากร ขู่จะเพิ่มการจัดเก็บจาก 25% เป็นอัตรา 50% อ้างว่าอินเดียซื้อ 'น้ำมันดิบ' จากรัสเซีย

ยักษ์กาแฟบราซิล ไปต่อยังไงดี? ใต้เงาภาษีทรัมป์ 50%!

ลัคอิน คอฟฟี่ เชนร้านกาแฟรายใหญ่สุดของจีน ทำข้อตกลงกับสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนของบราซิล เพื่อซื้อกาแฟบราซิล 240,000 ตัน ภายใน 5 ปี  (ภาพ : investor.lkcoffee)

บราซิลผลิตกาแฟ ป้อนตลาดโลกเฉลี่ยปีละ 3.5 ล้านต้น ส่งออกไปทั่วโลก ตลาดใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกาและยุโรป รวม ๆ แล้วก็ 'กินรวบ' ส่วนแบ่งตลาดไปถึง 30% ของยอดส่งออกกาแฟทั้งโลก แล้วก็เป็นสายพันธุ์อาราบิก้ามากกว่าโรบัสต้าในสัดส่วน 80% ต่อ 20% ต่างไปจากเวียดนามมีผลิตโรบัสต้ามากกว่าอาราบิก้า

เว็บไซต์ข้อมูลกาแฟระหว่างประเทศอย่างเวิลด์คอฟฟี่พอร์ทัล รายงานอ้างความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่า กรณีสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้ากาแฟบราซิล 50% จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกาแฟบราซิลในเวทีโลก อาจทำให้ผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลกรายนี้ สูญเสียส่วนแบ่งทางการค้าโลกให้กับ 'เวียดนาม' และ 'โคลอมเบีย'

ตอนนี้ 'โรงคั่วกาแฟ' ในสหรัฐที่นำเข้ากาแฟบราซิลเป็นหลักเริ่มออกมาโวยวายกันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถ้าจะต้องควักเงินซื้อสารกาแฟเพิ่มขึ้นถึงครึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อคั่วเสร็จแล้วนำออกขาย ใครที่ไหนจะมาซื้อกันล่ะ

ก่อนหน้าอัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภาษีนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 'ครั้งใหญ่' ในการค้ากาแฟทั่วโลก ขณะที่ซัพพลายเออร์นำเข้ากาแฟในสหรัฐเริ่มมองหาแหล่งจัดหาวัตถุดิบใหม่แทนที่บราซิล ทำให้บราซิลเองต้องมองหาตลาดส่งออกกาแฟเพื่อทดแทนออเดอร์จากสหรัฐที่คาดว่าจะลดลงอย่างมาก 

ยักษ์กาแฟบราซิล ไปต่อยังไงดี? ใต้เงาภาษีทรัมป์ 50%!

กลางปี 2024 รัฐบาลบราซิลนำคณะเดินทางไปจีน นำโดยรองประธานาธิบดี มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ โปรโมทกาแฟบราซิลที่ขายในร้านกาแฟลัคอิน คอฟฟี่ (ภาพ : gov.br/secom)

อย่างเจ้าของโรงคั่วกาแฟ 'เบเลซ่า คอฟฟี่' ในรัฐโคโลราโด ทางโซนตะวันตกของสหรัฐ บอกว่า เมล็ดกาแฟบราซิลคิดเป็น 60% ของยอดขายกาแฟคั่วบดของร้าน แต่ภาษีศุลกากรทำให้ลูกค้าหยุดซื้อเมล็ดกาแฟบราซิล หลังจากนั้นร้านจึงเปลี่ยนไปใช้กาแฟกัวเตมาลาแทน ซึ่งก็ถูกเก็บภาษีเช่นกันในระดับ 10% แต่ไม่ถึง 50%

ธุรกิจกาแฟในรัฐนิวเม็กซิโก ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐยกเว้นการเก็บภาษีสินค้ากาแฟ เพราะจะกระทบต่อร้านกาแฟและร้านอาหารประมาณ 10,000 แห่งในรัฐ รวมไปถึงการจ้างงานและเศรษฐกิจของรัฐด้วย

กาแฟบราซิลในตลาดสหรัฐนั้น มีทั้งแบบนำไปเบลนด์กับกาแฟอื่น ๆ และแบบกาแฟพิเศษ หากมีการนำเข้ากาแฟจากแหล่งอื่น ๆ มาทดแทน ก็คงจะต้องปรับปรุง 'สูตรกาแฟ' กันใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจทำให้ราคาสูงขึ้น จากการผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคปลายทาง เพื่อรักษาอัตรากำไรเอาไว้ 

'ทางเลือก' หนึ่งของธุรกิจกาแฟในสหรัฐ คือ หันไปใช้เมล็ดกาแฟจากแหล่งที่ถูกกว่าและคุณภาพต่ำกว่า หรือเพิ่มสัดส่วนการใช้กาแฟโรบัสต้าเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้

ยักษ์กาแฟบราซิล ไปต่อยังไงดี? ใต้เงาภาษีทรัมป์ 50%!

เรด ร็อค โรสเตอร์ส โรงคั่วกาแฟในรัฐนิวเม็กซิโก ร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐยกเว้นการเก็บภาษีกาแฟ หวั่นกระทบต่อร้านกาแฟและร้านอาหารราวหมื่นแห่งภายในรัฐ  (ภาพ : facebook.com/redrockroasters)

ขณะที่อัตราภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ไปแล้วนั้น รอยเตอร์รายงานล่าสุดว่า กลุ่มบริษัท 'ซัพพลายเออร์'กาแฟในสหรัฐ ต้องการให้ฝ่ายผู้ส่งออกบราซิลชะลอการส่งมอบกาแฟออกไปก่อน ซึ่งเป็นกาแฟล็อตที่ต้องเสียภาษีอัตรา 50% โดยขอรอฟังผลการเจรจาการค้าระหว่างผู้นำสหรัฐกับผู้นำบราซิลเสียก่อนว่าระดับภาษีจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ จะเก็บเท่าเดิม หรือลดลง หรือไม่เก็บเลย

เพราะก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐเคยให้สัมภาษณ์ซีเอ็นบีซีว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อม 'ยกเว้นภาษี' ให้กับสินค้าเกษตรที่สหรัฐปลูกเองไม่ได้ รวมไปถึงกาแฟด้วย

ตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรป อาจเป็นทางออกของบราซิล เพื่อชดเชยออเดอร์ในสหรัฐที่คาดว่าจะหดหายไปเยอะทีเดียว นี่ก็เป็นแผนหนึ่งของ 'เอ็กซ์โปคาเซอร์' สหกรณ์ผู้ผลิตกาแฟบราซิลในรัฐมีนัชเจไรช์ ซึ่งเป็นรัฐที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตกาแฟ

แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และต้องปรับตัวหลาย ๆ ด้านเพื่อรองรับ เช่น โลจิสติกส์, โครงสร้างพื้นฐานเชิงพาณิชย์, ความต้องการที่ต่างกันของแต่ละตลาด และอื่น ๆ โดยเฉพาะประเด็นการบริหารความเสี่ยงผ่านทางการกระจายสินค้า ไม่ให้ผูกติดกับประเทศหนึ่งประเทศใดมากเกินไป

..............................................

เขียนโดย : ชาลี วาระดี