โลกกาแฟ 'แฮงค์หนัก' หัวจะปวด! สงครามภาษี 'สหรัฐ-จีน'

ระบบการค้ากาแฟโลกป่วนครั้งใหญ่ ทำซัพพลายเออร์ปวดหัวตึบ หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศเก็บภาษียักษ์กาแฟบราซิล 50% ส่วนจีนยกเลิกภาษีศุลกากร 53 ประเทศในแอฟริกา
ข่าวใหญ่ที่ทำให้บรรดาซัพพลายเออร์ 'พ่อค้ากาแฟ' รายใหญ่ ๆ โดยเฉพาะอย่างในตลาดสหรัฐอเมริกา ต้องกับปวดหัวมึนตึบ เห็นทีคงไม่พ้นไปจากกรณีรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำแดนพญาอินทรี ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากบราซิลใหม่ในอัตรา 50% จากเดิม 10% มีผล 1 สิงหาคมนี้ ด้วยข้อหาที่ไม่คาดคิดว่าจะนึกขึ้นมาได้นั่นคือ 'ล่าแม่มด'
โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จัดหนักประเทศผู้ส่งออกกาแฟเบอร์หนึ่งของโลกอย่างบราซิลรอบนี้ ด้วยเหตุผลหลายข้อด้วยกัน
แต่ข้อหนึ่งที่ใคร ๆได้ยินต้องส่ายหัวนั่นก็คือ เพราะรัฐบาลแซมบ้าดันไปดำเนินคดีต่อนายฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีฝ่ายขวาจัด เจ้าของสมญา 'ทรัมป์แห่งดินแดนเขตร้อน' ซึ่งก็เป็นเพื่อนของทรัมป์ด้วย ในข้อหาพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งนั้น ถือเป็นเรื่องน่าอับอาย เข้าข่ายการล่าแม่มด
ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีสุดโหดต่อหลาย ๆ ประเทศ แต่ในทางกลับกัน คู่ศึกของสหรัฐในมหาสงครามเศรษฐกิจโลกอย่าง 'ประเทศจีน' กลับเดินหน้าขยายการยกเว้นภาษีศุลกากรแบบ 100% ให้กับ 53 ประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน อันจะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าเมล็ดกาแฟจากแอฟริกาเข้าสู่จีนได้มากทีเดียว
รัฐบาลจีนประกาศยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้า 53 ชาติจากทวีปแอฟริกา ซึ่งหลายประเทศในทวีปนี้ถือเป็นผู้ผลิตกาแฟแถวหน้าของโลกเลยทีเดียว (ภาพ : Charlie Waradee)
การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของจีนครั้งนี้ ในแง่ของธุรกิจค้ากาแฟข้ามชาติแล้วถือว่าสำคัญมาก เพราะ 'แอฟริกา' นั้นถือเป็นแหล่งผลิตกาแฟแถวหน้าของโลกเลยทีเดียว จะทำให้จีนกลายเป็นตลาดส่งออกที่น่าดึงดูดใจยิ่งขึ้นสำหรับประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ของทวีปนี้
เดิมทีจีนจัดเก็บภาษีนำเข้าสารกาแฟจากแอฟริกาในอัตรา 8% แต่ภายใต้ระบบภาษีใหม่ ช่วยให้ผู้นำเข้าเซฟค่าภาษีนำเข้าได้ประมาณ 320 ดอลลาร์สหรัฐ และเซฟภาษีมูลค่าเพิ่มได้อีก 41 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อสารกาแฟหนึ่งตันที่ราคา 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ
พูดถึง 'ตลาดกาแฟจีน' นั้น มีอัตราการเติบโตสูงในทุก ๆ ปี อย่างในปีที่แล้ว ทั้งอุตสาหกรรมกาแฟขยายตัวในอัตรา 18% มีมูลค่ารวม 43,600 ล้านดอลลาร์รัฐ ขณะที่ปริมาณการดื่มกาแฟเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 22.2 แก้วต่อปี ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับยุโรป, สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในเอเชียซึ่งรวมถึงไทยด้วยที่มีอัตราเฉลี่ย 300 แก้วต่อปี
แต่อย่าลืมว่าจีนเพิ่งเริ่ม 'เปลี่ยนถ่าย' จากวัฒนธรรมดื่มชามาดื่มกาแฟสักราวเมื่อ 10 ปีมานี้เอง แล้วประชากรจีนก็มหาศาล ประมาณ 1.40 พ้นล้านคน โอกาสการเติบโตของตลาดกาแฟแดนมังกรยังมีอีกมากมายนัก
เนื่องจากสหรัฐนำเข้ากาแฟจากบราซิลในสัดส่วนราว 32% ดังนั้น การเก็บภาษีบราซิล 50% จะกระทบต่อต้นทุนของธุรกิจกาแฟอเมริกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ภาพ : kelsen Fernandes on Unsplash)
ในระยะ 2-3 ปีให้หลัง บริษัทกาแฟแดนมังกรขึ้นชื่อลือชามากเรื่องการประมูลกาแฟดัง ๆ จากทั่วโลกมาป้อนตลาดกาแฟพิเศษในประเทศแบบแทบไม่เกี่ยงราคาเลย จึงไม่แปลกใจถ้าจะมีการผูกปิ่นโตกาแฟคุณภาพสูงของแอฟริกาซึ่งโด่งดังในด้านกลิ่นหอมและรสชาติที่ซับซ้อนของดอกไม้&ผลไม้อย่างกาแฟ 'เยอกาเชฟ' และ 'ซิดาโม' ของเอธิโอเปีย รวมไปถึงกาแฟเกรดีจากเคนยา, รวันดา, บุรุนดี และแทนซาเนีย
เปรียบเทียบด้านภาษีกันแล้ว ใครได้เปรียบเสียเปรียบคงต้องมองกันยาว ๆ และต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย แต่ข้อเท็จจริงในวันนี้ คือ จีนเก็บ 0% ภาษีสินค้าจากแอฟริกา ส่วนสหรัฐจัดเก็บส่วนใหญ่ในอัตรา 10%
ข่าวยักษ์กาแฟบราซิลโดนรีดภาษีใหม่ในอัตรา 50% ผสมข่าวจีนไม่เก็บภาษีประเทศในแอฟริกา ทำเอาบริษัทค้ากาแฟระดับบิ๊กเนมในเมืองลุงแซมปั่นป่วนและตื่นตระหนกกันยกใหญ่ เรียกว่า 'แฮงค์หนัก' ก็ได้ เพราะผลกระทบที่จะติดตามมา อาจหมายถึงผู้นำเข้ากาแฟสหรัฐต้องจัดหากาแฟจากแหล่งอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า ส่วนผู้ผลิตกาแฟบราซิลอาจเปลี่ยนเป้าหมายไปสู่ตลาดยุโรปและเอเชีย
เป็นใครก็ต้องซีเรียสมาก ๆ แหละครับ เพราะปัจจุบันสหรัฐนำเข้ากาแฟจากแดนแซมบ้าถึง 32% ของปริมาณการนำเข้ากาแฟทั้งหมดทีเดียว ตามด้วยโคลอมเบีย 20% และเวียดนาม 10% อยู่ ๆ ดีต้นทุนการนำเข้ากาแฟก็จะเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่เล็กน้อย แต่ขึ้นเยอะมาก แถมทางเลือกในการจัดซื้อกาแฟก็ลดน้อยลงไปอีก หันไปทางไหนก็มีคนจับจองกันไว้ก่อนแล้ว
ราคากาแฟต่อแก้วในตลาดสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นมาหลายรอบแล้ว คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นแบบเสิร์ฟในร้านกาแฟหรือชงในครัวก็ตาม (ภาพ : stokpic from Pixabay)
คำถามที่ติดตามมาก็คือระดับภาษีที่สูงขนาดนั้น ซัพพลายเออร์ผู้นำเข้ากาแฟจะ 'แบกรับ' ไหวไหม แล้วจะทำให้การส่งกาแฟจากบราซิลไปยังสหรัฐหยุดชะงักลงหรือไม่ อีกสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ราคากาแฟในตลาดสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้นในเร็ววันนี้ ไม่ว่าจะเป็นแบบเสิร์ฟในร้านกาแฟหรือชงในครัวก็ตาม
กิลเยร์เม โมร์ย่า นักวิเคราะห์ตลาดกาแฟของราโบแบงก์ในบราซิล ให้ความเห็นว่า หากการเก็บภาษี 50% ต่อบราซิล มีผลบังคับใช้ เราจะได้เห็นการ 'เปลี่ยนแปลง' ของกระแสการค้ากาแฟทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบราซิลไปยังภูมิภาคอื่น ๆ
ย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนเมษายน อันเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดฉากตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าแบบโหดจัดกับหลายประเทศที่รวมไปถึงผู้ส่งออกกาแฟด้วย อย่างเวียดนามโดนไป 46%, อินโดนีเซีย 32%, อินเดีย 26% และเม็กซิโก 25% ตอนนั้นบริษัทค้ากาแฟก็ 'วางแผน' จะเพิ่มสัดส่วนการนำเข้ากาแฟทั้งอาราบิก้าและโรบัสต้าจากบราซิลมาทดแทน เพื่อควบคุมต้นทุน เพราะบราซิลนั้นโดนเก็บภาษีในอัตรา 10% เท่านั้น
แต่ตอนนี้ต้องอัพเดทอัตราภาษีของแต่ละประเทศกันใหม่แล้วล่ะครับ และอาจจะต้องอัพเดทกันบ่อย ๆ เพราะอย่างที่ทราบกันดี ภาษีของทรัมป์นั้นเอาแน่นอนอะไรไม่ได้
แต่หลังจากเจรจาต่อรองกันแล้ว กำแพงภาษีของหลาย ๆ ประเทศผู้ผลิตกาแฟก็ลดลง เรียกว่าปิดดีลกันไปได้ เช่น เวียดนามเหลือ 20% และอินโดนีเซียเหลือ 19% ส่วนอินเดียมีข่าวว่าอาจจะลดลงต่ำกว่า 20% ขณะที่ประเทศไทยก็ยังเท่าเดิม 36%
บริษัทกาแฟจีนขึ้นชื่อลือชามากเรื่องการประมูลกาแฟดัง ๆ จากทั่วโลก มาป้อนตลาดกาแฟพิเศษในประเทศแบบแทบไม่เกี่ยงราคา (ภาพ : pexels.com/Jvalenciazz Jhon)
ในประเทศผู้ผลิตกาแฟชั้นนำของทวีปแอฟริกา จะมีก็แต่ 'มาดากัสการ์' ที่เจอภาษีแรง ๆ ไป 47% ส่วนเอธิโอเปีย, ยูกันดา, แทนซาเนีย, คองโก, เคนยา และรวันดา ถูกเรียกเก็บภาษี 10% เป็นอัตราเดียวกับผู้ผลิตกาแฟส่วนใหญ่ในละตินอเมริกา ยกเว้น 'บราซิล' ที่เพิ่งโดนไปหมาด ๆ 50%
ผู้เขียนไปเจอ 'คำถาม' หนึ่งที่น่าสนใจในเพจกาแฟของไทยเรานี่แหละครับ ลูกเพจโพสต์ตั้งข้อสงสัยว่า เจ้าพ่อกาแฟโลกบราซิลถูกเรียกภาษี 50% แล้วอย่างนี้จะนำเข้ากาแฟเวียดนามมาชดเชยกันได้ไหม เพราะตอนนี้ภาษีเวียดนามต่ำกว่าบราซิลแล้ว
ก็ทดแทนกันได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมด อย่าลืมว่า กาแฟที่บราซิลผลิตได้ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ 'อาราบิก้า' มีส่วนน้อยที่เป็นสายพันธุ์ 'โรบัสต้า' ส่วนเวียดนามตรงกันข้ามเลย ประเทศเพื่อนบ้านไทยรายนี้ผลิตโรบัสต้ามาเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่อาราบิก้าปลูกไม่เยอะ ขณะที่สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้บริโภคกาแฟสูงสุดของโลก นำเข้ากาแฟอาราบิก้าเป็นส่วนใหญ่
ตรงนี้เวียดนาม 'ตอบโจทย์' เรื่องปริมาณได้น้อยครับ นอกจากนั้นกาแฟทั้งสองสายพันธุ์ก็มีรสชาติต่างกันด้วย
อีกข้อหนึ่งที่พึงพิจารณาคงไม่พ้นไปจากเรื่องต้นทุนค่าขนส่ง เพราะยิ่งระยะทางไกล ต้นทุนยิ่งสูงขึ้น
ลัคอิน คอฟฟี่ ลงนามซื้อเมล็ดกาแฟจากบราซิล 240,000 ตัน ตอกย้ำสถานะของบราซิลในฐานะซัพพลายเออร์ผู้จัดหากาแฟระดับพรีเมียมรายใหญ่ในตลาดจีน (ภาพ : investor.luckincoffee.com)
จะใช้คำว่า 'บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย' ก็คงไม่ผิดนัก การเก็บภาษีบราซิล 50% ส่งผลให้บรรดาโรงคั่วและร้านกาแฟสหรัฐมีต้นทุนเมล็ดกาแฟเพิ่มขึ้นชัดเจน ซึ่งสุดท้ายผู้บริโภคปลายทางจะต้องจ่ายเงินค่ากาแฟมากขึ้น ส่วนผู้ส่งออกกาแฟบราซิลก็คงต้องเริ่มมองหาตลาดใหม่ ๆ ปัญหาตามมาคือ การจ้างงานในอุตสาหกรรมกาแฟบราซิล
ประเด็นนี้ผู้เขียนลองนึกหาทางออกให้ธุรกิจกาแฟอเมริกันดู คิดได้ไอเดียหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะโอเคกันไหม คือ ปรับพฤติกรรมการบริโภคจากกาแฟอาราบิก้า มาเป็น 'กาแฟเบลนด์' ระหว่างอาราบิก้ากับโรบัสต้า เพื่อกำหนดราคากาแฟต่อแก้วไม่ให้สูงเกินไป ในกรณีที่ต้นทุนนำเข้าอาราบิก้ามันดันพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว
ที่ผ่านมา บริษัทอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ของสหรัฐที่มีแบรนด์กาแฟอยู่ในพอร์ตอย่าง 'เจ.เอ็ม. สมัคเกอร์' (JM Smucker) และ 'คราฟท์ ไฮนซ์' (Kraft Heinz) รวมไปถึง 'สตาร์บัคส์' (Starbucks) และ 'ดัช บรอส' (Dutch Bros) ล้วนปรับราคาขึ้นไปแล้วเพื่อรับมือกับต้นทุนกาแฟในตลาดล่วงหน้าที่พุ่งสูงขึ้น มั่นใจได้เลยว่าคนอเมริกันอาจเผชิญกับการปรับขึ้นราคากาแฟอีกรอบ ผลจากบราซิลโดนเก็บภาษี 50% นี่แหละครับ
เจ.เอ็ม. สมัคเกอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟ 'ดังกิ้น' สั่งซื้อสารกาแฟหรือกรีนบีนประมาณ 227 ล้านกิโลกรัมในแต่ละปี ส่วนใหญ่มาจากบราซิลกับเวียดนาม อ้อ..เจ.เอ็ม. สมัคเกอร์ ยังเป็นเจ้าของแบรนด์กาแฟอื่น ๆ เช่น 'โฟลเกอร์ส' (Folgers) และ 'คาเฟ่ บุสเตโล' (Café Bustelo)
ขณะที่ความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างบราซิลกับสหรัฐเริ่มจะตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เทียบกับจีนที่ค่อนข้างไปได้สวยทีเดียวในระยะหลัง
การตั้งกำแพงภาษีสูง ๆ กับชาติผู้ผลิตกาแฟ ท้ายที่สุดอาจทำให้บริษัทพ่อค้ากาแฟสหรัฐ ต้องปรับกลยุทธ์จัดหาแหล่งซื้อเมล็ดกาแฟใหม่ เพื่อควบคุมต้นทุน (ภาพ : pexels.com/cottonbro studio)
ตัวอย่างสำคัญของความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นนี้ คือความเคลื่อนไหวล่าสุดของ 'ลัคอิน คอฟฟี่' (Luckin Coffee) เชนร้านกาแฟสัญชาติจีน คู่แข่งตัวฉกาจของสตาร์บัคส์ ได้ลงนามซื้อเมล็ดกาแฟจากบราซิลจำนวน 240,000 ตัน เป็นเวลา 5 ปีด้วยกัน พร้อมประกาศว่า เมล็ดกาแฟที่เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ เบลนด์ จะใช้ของบราซิลเท่านั้น
ความร่วมมือนี้ซึ่งประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ตอกย้ำสถานะของบราซิลในฐานะซัพพลายเออร์ผู้จัดหากาแฟระดับพรีเมียมรายใหญ่ในตลาดจีน ปัจจุบัน ลัคอิน ครองส่วนแบ่งตลาดเมล็ดกาแฟนำเข้าเกือบ 50% ในจีน และในจำนวนนี้กว่า 60% นำเข้าจากบราซิล
ท่ามกลางกระแสข่าวบราซิลกำลังโต้ตอบทางการค้าต่อสหรัฐอยู่นั้น สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ขณะนี้พ่อค้ากาแฟรายใหญ่บางรายกำลังเปลี่ยนเส้นทาง'เรือขนส่ง' จากบราซิลมายังสหรัฐ โดยยกเลิกการแวะจอดที่ท่าเรือต่าง ๆ เพื่อเร่งให้ตู้คอนเทนเนอร์กาแฟเดินทางเข้าเทียบท่าเรือสหรัฐก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม ส่วนพ่อค้ารายอื่น ๆ กำลังลำเลียงกาแฟบราซิลในสต็อกจากแคนาดาและเม็กซิโก เข้าสู่ตลาดสหรัฐ หวังไม่ต้องเสียภาษี 50%
อย่างไรก็ดี เนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่อยู่กับร่องกับรอย มีพฤติกรรมที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ดังนั้น เพื่อความเข้าใจตรงกัน ผู้เขียนมั่นใจว่าไม่ช้าก็เร็วคงได้มาอัพเดทข่าวสารในวงการค้ากาแฟระหว่างประเทศกันอีกสักรอบสองรอบเป็นแน่แท้
......................................................
เขียนโดย ชาลี วาระดี







