จากล็อกล็อก ฉ่าก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ฮกเกี้ยน ถึงเดอะไชน่าเฮ้าส สีสันยามค่ำที่จอร์จทาวน์ ‘ปีนัง’หลากรส

อร่อยริมทางสไตล์ปีนังไปกับล็อกล็อก - ลูกชิ้นยืนกิน ฉ่าก๋วยเตี๋ยว - ก๋วยเตี๋ยวผัดกระทะร้อน ๆ บะหมี่ฮักก้าน้ำซุปกลมกล่อม ต่อด้วย ‘เดอะ ไชน่าเฮ้าส์’ แหล่งรวมคาเฟ่ เบเกอรี่ แกลเลอรี่ และดนตรีครบรส
พักร้อนจากกรุงเทพฯ ไปพบกับอากาศร้อนร้อนชื้นสลับฝนเบาๆ ที่ จอร์จทาวน์ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เก็บกระเป๋าเข้าที่พักในย่านมรดกโลกที่ด้านหน้ามีเทวสถานฮินดู ด้านหลังเป็นที่ตั้งของมัสยิด
เดินไปอีกนิดยังไม่ทันเหนื่อยจะพบกับศาลเจ้าจีน เดินต่อไปอีกหน่อยเป็นวัดศรีมหามาเรียมมันในย่านลิตเติ้ลอินเดีย ข้อดี คือ เดินชมเมืองได้สบาย ๆ โดยไม่ต้องอาศัยรถยนต์
บ่ายแก่ ๆ เดินจากที่พักไปตามถนนอาร์เมเนี่ยน แวะชมร้านขายของที่ระลึก ร้านให้เช่าจักรยาน คาเฟ่ สตรีทอาร์ตสองข้างทางไปเรื่อย ๆ สุดทางจะเป็นบริเวณหมู่บ้านชาวประมงที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปชมบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตก และชมบ้านเรือนของผู้คนที่อาศัยกันอยู่ริมน้ำ
ระหว่างทางเจอของอร่อยริมทางที่เรียกว่า Lok Lok หรือ ลูกชิ้นยืนกินที่มีทั้งของทอดและของลวก ให้เราเลือกจุ่มตามอัธยาศัยว่าจะชอบอะไร ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง ลูกชิ้นไก่ เต้าหู้ ปูอัด ไส้กรอก เห็ดเข็มทอง หรือ ดอกกะหล่ำ จัดเสียบไม้เรียงไว้ให้เลือกจุ่มในหม้อน้ำเดือด หรือ ทอดในน้ำมัน สุกแล้วเลือกน้ำจิ้มกันได้ตามอัธยาศัย มีทั้งน้ำจิ้มสะเต๊ะ น้ำจิ้มหวาน และน้ำจิ้มซีฟู้ดรสนุ่มนวลกว่าบ้านเรา ราคาย่อมเยาประมาณไม้ละ 10 บาท บางไม้ถูกกว่าแพงกว่าเล็กน้อยขึ้นอยู่กับราคาวัตถุดิบ
อิ่มท้องเบา ๆ ก็เดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวที่พากันไปถ่ายรูปในหมู่บ้านชาวประมงที่ตั้งอยู่บริเวณท่าเทียบเรือ ตั้งชื่อตามตระกูลที่อาศัยอยู่ที่นี่ มีด้วยกัน ได้แก่ Chew Jetty, Tan Jetty, Lim Jetty,Yeoh Jetty, Mixed Jetty และ Lee Jetty (เราไปแค่ 2 แห่ง คือ Chew Jetty กับ Tan Jetty)
ท่าเรือ Chew เป็นสถานที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมค่อนข้างมาก เนื่องจากมีทางเข้าและทางเดินที่ค่อนข้างกว้าง บ้านเรือนสองข้างทางเปิดหน้าบ้านขายของที่ระลึก ขายเครื่องดื่มจากสมุนไพรที่เชิญชวนให้ลองชิมอย่างใจดี
ที่สำคัญมีภาพวาดบนผนังอาคารให้หยุดถ่ายรูปได้ตลอด ปลายทางมีที่นั่งให้ถ่ายรูปท่ามกลางวิวท้องฟ้ากับน้ำโดยมีลมเย็นๆพักคลายร้อน
ในขณะที่ท่าเรือตระกูล Tan ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก แม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่ไม้กระดานทางเดินแคบๆ ที่ยื่นไปในทะเลเป็นทางยาว กลับเป็นอีกเสน่ห์ที่ดึงดูดใจไม่แพ้กัน เราอยู่ที่นั่นเพื่อรอชมแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่ใกล้หนึ่งทุ่มแล้วฟ้ายังแจ้งอยู่เลย
ตะวันลับฟ้าก็ได้เวลาหาอาหารรับประทาน ฉ่าก๋วยเตี๋ยว กับ หมี่ฮกเกี้ยน ร้านริมทางแถวนี้เป็นไง สมาชิกพร้อมลุยสั่งก๋วยเตี๋ยวฮกเกี้ยนที่คุณลุงกำลังโชว์ลีลาการลวกเส้นอย่างเชี่ยวชาญ
หมี่ฮกเกี้ยนเสิร์ฟมาเป็นเส้นบะหมี่ผสมกับเส้นหมี่ มีซอสพริกสีแดงข้นๆ ตักวางใส่ช้อนวางมาให้ ผสมลงไปได้เลย รสเผ็ดไม่จัดจ้าน อยากเติมน้ำปลา น้ำส้มสายชู ที่นี่ไม่มีพวงเครื่องปรุงให้นะคะ ชิมกันรสแบบที่พ่อค้าปรุงมามีความกลมกล่อมแบบไม่จัดจ้าน
สั่ง ฉ่าก๋วยเตี๋ยว เป็นก๋วยเตี๋ยวผัดแห้งคล้ายผัดซีอิ๊วที่หอมกลิ่นกระทะ เพราะผัดด้วยไฟแรง ๆ มีกุ้ง ไข่ ถั่วงอก บางร้านที่เครื่องเยอะหน่อยจะมีลูกชิ้นปลา กุนเชียง หอยแครงลงไปด้วย ก๋วยเตี๋ยวสองชามมื้อค่ำทำให้อิ่มได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
ออกเดินชมเมืองยามราตรีไปเรื่อย ๆ เห็นซอยไหนมีไฟสวย ๆ ทำให้อาคารเก่าแก่น่ามอง เราก็ไม่รอช้า เลี้ยวเข้าไปจนได้ยินเสียงดนตรีลอดออกมาจาก เดอะ แคนทีน เข้าไปนั่งพักฟังเพลงคลายร้อนกันสักหน่อยน่าจะดี
เหล่านักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงป็อบชวนฟัง จะสั่งเครื่องดื่มมีทั้งชนิดที่มีแอลกอฮอล์และไร้แอลกอฮอล์ แอบมองพิซซ่า เบอร์เกอร์ ของโต๊ะข้างๆ หน้าตาชวนชิมมาก ๆ แต่ยังอิ่มอยู่เลยสั่งแค่มันฝรั่งทอด มากินเคล้าเสียงเพลงไปพลางๆ
ไม่นานผู้คนเริ่มหนาตา แต่ละคนเดินทางจากหลังร้านในมือมีจานใส่เค้กชิ้นโต ๆ มาเรื่อย ๆ ทีแรกคิดว่ามีคนมาเลี้ยงฉลองวันเกิดกันแน่ ๆ ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะมีการร้องเพลงอวยพรกันจากบนเวที มีการเป่าเค้กยินดีกันไป
แต่ๆๆ ทำไมผู้คนที่เดินมาจากหลังร้านจึงถือจานใส่เค้กเข้ามาไม่ขาด
ว่าแล้วเราก็ขอเดินไปหลังร้านเพื่อค้นหาคำตอบสักหน่อย ผ่านห้องครัว ห้องน้ำ คราวนี้เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในสวนลับกลางบ้านที่มีสระน้ำตรงกลางที่แผ่นน้ำกำลังสะท้อนโคมสีแดงท่ามกลางความมืดได้อย่างจับตา ขณะที่ทางเดินยังทอดยาวไปสู่อาคารที่อยู่ลึกเข้าไปอีก
เราพบห้องสมุดที่มีหนังสือเรียงรายอยู่ในตู้ไม้วินเทจ มีทั้งหนังสือศิลปะ การออกแบบ ปรัชญา การตลาด ให้เลือกนั่งอ่านในมุมที่จัดเตรียมไว้ แวดล้อมไปด้วยงานศิลปะที่ประดับเรียงรายบนผนัง ถัดออกมาอีกเป็นห้องอาหาร BTB , 14 CHAIRS และ ห้องไวน์ ที่แบ่งพื้นที่ได้อย่างเป็นสัดส่วนให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวดีทีเดียว
เดินผ่าน 3 ส่วนนี้ไปแล้วเราจึงได้พบกับตู้จำหน่ายเค้กขนาดใหญ่ ส่วนสุดท้ายเป็น KOPI C คาเฟ่สไตล์ออสเตรเลียนที่ให้บริการอาหารเช้าตลอดทั้งวัน จะมาบรั้นช์ หรือ ดินเนอร์ยามค่ำก็ได้ เมนูเด็ด คือพายไก่กับเห็ด มิลค์เชค และเมนูกาแฟที่คัดสรรเมล็ดมาอย่างดี ส่งตรงมาจากโรงคั่ว Nylon สิงคโปร์ทุกสัปดาห์
คาเฟ่แห่งนี้นับเป็นสุดทางหากเราเดินมาจาก เดอะ แคนทีน ในขณะเดียวกันก็เป็นด้านหน้าของสถานที่รวมคาเฟ่ เบเกอรี่ ร้านอาหาร แกลเลอรี่ ห้องสมุด และบาร์ ที่เรียกว่า เดอะ ไชน่าเฮ้าส์ ด้านติดถนนบีช ซึ่งมีความยาวไปจนถึงถนนวิคตอเรียอันเป็นทางเข้าของ เดอะ แคนทีน นั่นเอง
กลับมาที่ขนมเค้กกันต่อค่ะ ทางร้านบอกว่าเค้กที่นี่ขายกันทุกวันตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน และคืนวันเสาร์จะเป็นคืนที่เค้กขายได้ดีที่สุด สถิติที่เคยทำไว้คือ 456 ชิ้นในคืนเดียว ส่วนยอดขายเค้กเฉลี่ยเดือนละ 7,000 ชิ้น ทำได้ยังไง !
เมนูเค้กที่ถูกปากถูกใจลูกค้า 5 อันดับสูงสุด ได้แก่ Tiramisu, Salted Caramel Cheesecake, Red Velvet, Chocolate Decadence, Carrot Walnut Cake (ราคาชิ้นละประมาณ 180 บาทขึ้นไป) เห็นทีต้องหาเวลามาใหม่แล้วล่ะค่ะ
รีบจดไว้เลยกลัวลืมว่ามาแฮงค์เอ้าท์ที่ เดอะไชน่า เฮ้าส์ ได้ตั้งแต่เช้าจนดึก หรือ อยากหลบอากาศร้อนเมื่อไหร่ก็แวะมาได้ที่นี่แอร์เย็นฉ่ำเลยทีเดียว แล้วจะกลับมาให้นะ







