หรือ 'บราซิล' จะเข้าวิน? ส่งออกกาแฟ ใต้กำแพงภาษีทรัมป์

หรือ 'บราซิล' จะเข้าวิน? ส่งออกกาแฟ ใต้กำแพงภาษีทรัมป์

บราซิล ยักษ์ใหญ่วงการกาแฟโลก ส่อแววได้เปรียบเหนือแหล่งปลูกกาแฟคู่แข่งอื่น ๆ เหตุโดนภาษีนำเข้าต่ำ แถมส่งออกป้อนตลาดสหรัฐได้จำนวนมาก ต้นทุนการผลิตก็ถูกอีก

'บราซิล' เป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟมากที่สุดในโลก และส่งออกกาแฟสูงสุดในโลกด้วย อยู่ในจุดที่ได้เปรียบเอามาก ๆ เมื่อเทียบกับประเทศผู้ส่งออกกาแฟรายอื่น ๆ ภายใต้นโยนายตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ตอนนี้กาแฟจากแดนแซมบ้าเนื้อหอมมากขึ้น ตกเป็นเป้ารุมตอมจากบริษัทผู้นำเข้ากาแฟในสหรัฐ เพราะความได้เปรียบด้านอัตราภาษี ประกอบกับมีความพร้อมในหลาย ๆ  ด้าน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณกาแฟและด้านการขนส่ง

สหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาด 'ผู้บริโภคกาแฟ' ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คนอเมริกันควักเงินซื้อกาแฟดื่มเฉลี่ยราว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละวัน รวมแล้วปีหนึ่ง ๆ ก็คิดเป็นเงินกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เพื่อรองรับปริมาณการบริโภคกาแฟมหาศาล สหรัฐต้อง 'นำเข้า' กาแฟประมาณปีละ 1.4 ล้านตัน มีสองประเทศในละตินอเมริกาอย่างบราซิลและโคลอมเบีย เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ จัดส่งกาแฟเข้าสู่แดนพญาอินทรี

ล่าสุด สมาคมกาแฟแห่งสหรัฐ (เอ็นดีเอ) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลการบริโภคกาแฟฉบับล่าสุด ปีค.ศ. 2025 ระบุว่า 'กาแฟ' กลายเป็นเครื่องดื่มที่คนอเมริกันบริโภคมากที่สุดไปแล้ว เหนือกว่าน้ำเปล่าบรรจุขวด, ชา, น้ำผลไม้ และโซดา 

หรือ \'บราซิล\' จะเข้าวิน? ส่งออกกาแฟ ใต้กำแพงภาษีทรัมป์

สหรัฐนำเข้ากาแฟปีละ 1.4 ล้านตัน รองรับการบริโภคจำนวนมหาศาล แต่นโยบายตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าในอัตราสูง ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมา  (ภาพ : pexels by EMRAH İSLAMOĞLU)

ข้อมูลยังบอกอีกว่า ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันประมาณ 66% ดื่มกาแฟทุกวัน เพิ่มขึ้นเกือบ 7% เมื่อเทียบกับปีค.ศ. 2020

ทว่าตัวเลขเหล่านี้ หลายคนมองว่าอาจจะลดลงในอนาคตก็ได้ เพราะภาษีที่ประธานาธิบดีสหรัฐใช้เป็นอาวุธนั้น สุดท้ายแล้วก็จะส่งผลย้อนกลับไป 'ทำร้าย' ผู้บริโภคอเมริกันเอง

ก็เป็นคำถาม 'คาใจ' ของคนอเมริกันในช่วงนี้ว่า ในเมื่อสร้างความเดือดร้อนในผู้ประกอบการและผู้บริโภคในประเทศแล้วไซร้ ไฉนต้องตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูง ๆ กันด้วย เพื่ออะไร?

เมื่อต้นเดือนเมษายน นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐของประธานาธิบดี 'โดนัลด์ ทรัมป์'  ทำเอาตลาดกาแฟทั่วโลกปั่นป่วนไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะธุรกิจกาแฟในสหรัฐเองที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าล้วน ๆ ถึงกับช็อคไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว

สื่อมวลชนอเมริกันทุกแห่งพร้อมใจกันพาดหัวข่าวว่า นโยบายภาษีของทรัมป์จะทำให้คนอเมริกันซื้อกาแฟในราคาแพงขึ้น

หรือ \'บราซิล\' จะเข้าวิน? ส่งออกกาแฟ ใต้กำแพงภาษีทรัมป์

ปี 2024 บราซิลมีตัวเลขส่งออกกาแฟประมาณ 50.4 ล้านกระสอบ  ส่วนใหญ่เป็นกาแฟอาราบิก้าในแบบตลาดคอมเมอร์เชียล  (ภาพ : pexels by Kelly)

เพราะประเทศที่เป็นแหล่งปลูกกาแฟและก็เป็นผู้ส่งออกกาแฟด้วย ต่างก็ตกอยู่ภายใต้กำแพงภาษีนี้เหมือนกันแต่ 'ต่างอัตรา' กัน โดยในเอเชีย ลาวโดนไป 48%, เวียดนาม 46%, เมียนมาร์ 44%, ไทย 36%, อินโดนีเซีย 32%, อินเดีย 26% และมาเลเซีย 24% ส่วนแหล่งปลูกกาแฟในละตินอเมริกาอย่าง บราซิล, โคลอมเบีย, เปรู, คอสตาริกา, ฮอนดูรัส และกัวเตมาลา โดนเก็บในอัตราเพียง 10%

ขณะที่ 'เม็กซิโก' โดนภาษีนำเข้าของทรัมป์ไป 25% แต่สารกาแฟหรือกาแฟดิบได้รับการยกเว้นภาษี ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างแดนจังโก้กับแดนพญาอินทรี

ไม่ชัวร์ว่านี่เป็น 'แต้มต่อ' ของผู้ผลิตกาแฟชาวเม็กซิกันหรือไม่ เนื่องจากยังผลิตกาแฟได้จำนวนน้อย เพียง 4 ล้านกระสอบ(กระสอบละ 60 กิโลกรัม) ไม่ถึงหนึ่งในสิบของบราซิล เจ้าของไร่ล้วนเป็นเกษตรกรรายย่อย เน้นทำกาแฟแบบพิเศษ (specialty coffee) เป็นส่วนใหญ่

แม้เมื่อ 9 เมษายน ผู้นำสหรัฐได้ 'ขีดเส้น' เว้นภาษี 90 วัน ให้กับประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ตอบโต้ โดยจะเก็บภาษีเพียง 10% ในช่วงเวลานี้ แต่ในโลกล้วนไม่มีอะไรแน่นอน ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอัตราภาษีรายประเทศจะออกมาในรูปแบบไหน ใครจะโดนมาก โดนน้อยกว่ากัน

ความไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดเดาได้ในเรื่องราคาวัตถุดิบ เป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกประเภทหวั่นเกรงมาก ตอนนี้ผู้ประกอบการโรงคั่วและร้านกาแฟรายย่อยในสหรัฐ พากันวิตกกังวลว่าคนอเมริกันจะแวะเวียนมาซื้อกาแฟดื่มที่ร้านน้อยลง เพราะราคากาแฟต่อแก้วจะปรับขึ้น ตามต้นทุนนำเข้าสารกาแฟจากต่างประเทศที่ได้ปรับเพิ่มขึ้น 10% ณ เวลานี้

หรือ \'บราซิล\' จะเข้าวิน? ส่งออกกาแฟ ใต้กำแพงภาษีทรัมป์

บราซิล และโคลอมเบีย เป็นซัพพลายเออร์กาแฟอาราบิก้ารายใหญ่ในตลาดสหรัฐ ส่วนเวียดนามส่งออกโรบัสต้าจำนวนมากเข้าสู่สหรัฐ  (ภาพ : pexels by Pavel Danilyuk)

ก่อนหน้านี้ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ราคากาแฟตามร้านรวงก็เพิ่มขึ้นมาตลอดอยู่แล้ว เพราะภัยธรรมชาติทำให้ 'บราซิล' และ 'เวียดนาม' มีผลผลิตกาแฟตกต่ำลง

นโยบายขึ้นภาษีของผู้นำทรัมป์ กำลังส่งผลให้ธุรกิจกาแฟในสหรัฐกำลังปรับเปลี่ยนแหล่งจัดหา 'วัตถุดิบ' เสียใหม่  ขณะที่ผู้ผลิตและผู้ส่งออกกาแฟทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตามองและต้องการข้อมูลที่รอบด้านเพื่อก้าวผ่านภาวะปั่นป่วนนี้ไปให้ได้

นั่นจะเป็นจุด 'พลิกโฉม' การค้ากาแฟครั้งสำคัญของโลก โดยเฉพาะสายพันธุ์ 'โรบัสต้า'

พิจารณาผู้ส่งออกกาแฟกันเป็นรายประเทศที่โดนภาษีไม่เท่าเทียมซึ่งคงไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เท่านั้น แต่ยังอาจอยู่ที่ว่าประเทศคุณเป็น 'มิตร' หรือ 'ศัตรู' กับเราด้วย

ผู้เขียนมองว่า 'บราซิล' ไม่เพียงแต่จะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้ แต่อาจมีรายได้จากการส่งออกกาแฟเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก เพราะมีศักยภาพมากสุดแล้วในการจัดหาสารกาแฟเข้าสู่สหรัฐ ทดแทนประเทศอื่น ๆ ที่เจอภาษีหนักกว่า 

แม้เผชิญปัญหาผลผลิตลดลงจากภัยธรรมชาติ แต่ในปีค.ศ. 2024 บราซิลมีตัวเลขส่งออกกาแฟประมาณ 50.4 ล้านกระสอบ  ส่วนใหญ่เป็นกาแฟพันธุ์อาราบิก้าแบบคอมเมอร์เชียล ประเทศผู้รับซื้อรายใหญ่คือสหรัฐกับสหภาพยุโรป ยิ่งกว่านั้นแล้ว ในบางพื้นที่ของบราซิล เกษตรกรก็หันมาปลูกกาแฟโรบัสต้ากันมากขึ้น เพราะให้ราคาดี เช่น รัฐในตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอย่าง 'เอสปิริโต้ ซานโต้'

หรือ \'บราซิล\' จะเข้าวิน? ส่งออกกาแฟ ใต้กำแพงภาษีทรัมป์

หากล้มเหลวในเส้นตายเจรจา 90 วัน ธุรกิจส่งออกกาแฟเวียดนามต้องเผชิญศึกหนักจากกำแพงภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐ ในอัตรา 46%  (ภาพ : pexels by 1500m Coffee)

ด้วยการผลิตกาแฟที่หลากหลายและปริมาณมากในแบบไร่กาแฟเชิงพาณิชย์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่แข็งแกร่ง และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐตลอดมาในประวัติศาสตร์ บราซิลอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการเป็นซัพพลายเออร์กาแฟ 'โรบัสต้า' ตัวเลือกอันดับต้น ๆ  แทนแหล่งผลิตในเอเชีย

'จุดเด่น' ที่สำคัญอีกประการของแดนแซมบ้าก็คือ ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ แม้ว่าจะโดนภาษีนำเข้าเพิ่ม 10% กาแฟของบราซิลยังมีราคาที่ถูกกว่าของอีกหลายแหล่งผลิต

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ขณะนี้ผู้ส่งออกกาแฟของบราซิลมองว่าการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้ากาแฟทั่วโลก เป็นโอกาสในการส่งเมล็ดกาแฟโรบัสต้ามายังสหรัฐมากขึ้น หลังจากคู่แข่งในระดับนานาชาติถูกเรียกเก็บภาษีที่หนักกว่า หากไม่สามารถเจรจาลดเพดานภาษีลงได้ภายใน 90 วัน

ทั้งนี้ เวียดนาม ผู้ผลิตโรบัสต้าเบอร์หนึ่งของโลก, อินโดนีเซีย ผู้ผลิตเบอร์สาม และอินเดีย ผู้ผลิตเบอร์ห้า โดนภาษีนำเข้าไป 46%, 32% และ 26% ตามลำดับ

เมื่อปีที่แล้ว มีการคาดการณ์ว่า ตัวเลขผลผลิตกาแฟโรบัสต้าของเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 24 ล้านกระสอบ ส่วนตัวเลขของอินโดนีเซียอยู่ในราว 9.5 ล้านกระสอบ และอินเดีย 4.5 ล้านกระสอบ ขณะที่ตัวเลขของบราซิลเพิ่มขึ้นมาอยู่ระหว่าง 18-20 ล้านกระสอบ

หรือ \'บราซิล\' จะเข้าวิน? ส่งออกกาแฟ ใต้กำแพงภาษีทรัมป์

เม็กซิโกโดนภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ไป 25% แต่สารกาแฟได้รับการยกเว้นภาษี ตามข้อตกลงเอฟทีเอ  (ภาพ : wisnu dwi wibowo on Unsplash)

นักเศรษฐศาสตร์จากราโบแบงก์ ธนาคารชั้นนำของเนเธอร์แลนด์ ทำนายว่าบราซิลกำลังกลายเป็นผู้ผลิตโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดของโลก มีการคาดการณ์ว่าประเทศนี้อาจกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลกในอีก 10 ปีข้างหน้านี้

หันมาดูที่ 'เวียดนาม' บ้าง เป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากบราซิลก็จริง แต่ก็เป็นผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุด ที่ผ่านมา ก็ส่งออกกาแฟโรบัสต้าจำนวนมากเข้าสหรัฐ ป้อนตลาดกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟพร้อมดื่มบรรจุขวด/กระป๋อง

แต่หากล้มเหล้วในการเจรจาต่อรองกับผู้นำสหรัฐ กาแฟเวียดนามต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสุดโหดถึง 46% โรงคั่วและร้านกาแฟในสหรัฐไม่น่าจะ 'แบกรับ' ต้นทุนนี้ไหว

กาแฟโรบัสต้าจากอินโดนีเซีย, อินเดีย และมาเลเซีย ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเวียดนาม

ด้วยกำแพงภาษีที่สูงกว่าซึ่งหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายแล้ว ทั้งอินโดนีเซียและอินเดีย ที่ส่งออกกาแฟอาราบิก้าไปยังสหรัฐด้วย เช่นเดียวกับผู้ส่งออกกาแฟของไทยเรา อาจต้อง 'สูญเสีย' ตลาดกาแฟสายพันธุ์นี้ไปให้กับผู้ผลิตกาแฟในละติน อเมริกา และแอฟริกา

หรือ \'บราซิล\' จะเข้าวิน? ส่งออกกาแฟ ใต้กำแพงภาษีทรัมป์

ธุรกิจกาแฟในสหรัฐทั้งโรงคั่วและร้านกาแฟกำลังปรับจูนเพื่อหาซัพพลายเออร์ใหม่ๆ หวังทดแทนแหล่งผลิตกาแฟที่โดนภาษีอัตราสูง ๆ  (ภาพ : pexels by cottonbro studio)

ตอนนี้ สมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ รวมไปถึงผู้ประกอบการน้อยใหญ่ ออกโรงพยายามเรียกร้องให้รัฐบาล 'ยุติ' การตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากาแฟ ด้วยเหตุผลว่าธุรกิจกาแฟช่วยสร้างงานและสร้างเงินมหาศาลให้กับระบบเศรษฐกิจ

แต่ผู้เขียนมองว่าคงเป็นไปได้ยาก หากดึงเอากาแฟออกมาจากกำแพงภาษีเสียแล้ว สินค้าอื่น ๆโดยเฉพาะด้านการเกษตร ก็จะส่งเสียงดัง ๆ เพื่อขอยกเว้นบ้าง เผลอ ๆ  ขอกันทั้งระบบเลยทีเดียว

อย่างที่เรียนให้ทราบ ตอนนี้ บราซิลมีข้อได้เปรียบด้าน 'ภาษี' ที่เหนือกว่าคู่แข่งอื่น ๆ แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ภายใต้นโยบายแบบ 'ลุย ๆ เลิก ๆ ' ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

รอให้เส้นตายเจรจาต่อรอง 90 วันผ่านพ้นไปเสียก่อน ศึกชิงแต้มต่อภาษีทรัปม์ จึงจะให้ภาพชัดเจนมากกว่านี้ครับ

.....................................

เขียนโดย : ชาลี วาระดี