หยิกเล็บเจ็บเนื้อ...กำแพงภาษีทรัมป์ ทำธุรกิจกาแฟสหรัฐ 'กระอัก'

หวั่นกำแพงภาษีนำเข้าสุดโหดของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำธุรกิจกาแฟสหรัฐกระอักแบบครบวงจร ตั้งแต่ผู้นำเข้า โรงคั่ว ร้านกาแฟ ยันผู้บริโภคที่ต้องจ่ายเงินซื้อกาแฟแพงขึ้น
คอกาแฟในสหรัฐเตรียมรับมือกับราคากาแฟที่สูงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมาตรการใหม่จากโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่มการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ๆของโลก...นี่เป็นโปรยข่าวของเดลี่ เอ็กซ์เพรส สื่อจากประเทศอังกฤษ
ส่วนซีเอ็นบีซี สื่ออเมริกันเองพาดหัวข่าวว่า ธุรกิจในสหรัฐอเมริกากำลัง 'โกรธ' และกังวลเรื่องความอยู่รอด เพราะการรักษาราคาสินค้าให้ต่ำนั้น เป็นไปได้ 'ยากมาก'
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ...ผู้เขียนนึกถึงสำนวนไทยคำนี้ขึ้นมาเลย
การตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าเอากับประเทศทั่วโลกชนิดลุกเป็นไฟของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ประธานาธิบดีสมัย 2 ของสหรัฐ ทำเอาธุรกิจกาแฟภาคเอกชนในสหรัฐทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างโอดครวญไปตาม ๆ กัน เพราะต้องเป็นผู้แบกรับภาระต้นทุนเมล็ดกาแฟที่พุ่งขึ้นแบบโหดร้าย สุดท้ายถ้าทนรับไม่ไหว ก็ต้องถ่ายโอนไปให้ปลายน้ำอย่างผู้บริโภคที่ต้องควักเงินซื้อกาแฟในราคที่แพงขึ้น
นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลกระทบต่อธุรกิจกาแฟในประเทศทั้งรายเล็กและรายใหญ่ (ภาพ : Charlie Waradee)
เอาเข้าจริง ๆ มาตรการภาษีแบบเหมาเข่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่แน่นอน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำเอาปั่นป่วนกันทั่วหน้าในทุกวงการ
2 เม.ย. ผู้นำสหรัฐเปิดฉาก 'สงครามการค้า' อย่างดุเดือดเลือดพล่าน ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าในสหรัฐชนิดสูงลิ่ว เช่น เวียดนามโดนไป 46%, ไทย 36% และจีน 34% กระทั่งชาติพันธมิตรก็ไม่ละเว้น เล่นเอาหลายคนทำนายว่านี่คือสงครามการค้าที่กำลังทำลายเศรษฐกิจโลก
ล่าสุด 9 เม.ย. ทรัมป์ประกาศเว้นภาษี 90 วัน ให้กับประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ตอบโต้ โดยจะเก็บภาษีเพียง 10% ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ปรับขึ้นภาษีจีนเพิ่มเป็น 125% เป็นการลงโทษในข้อหาสู้กลับ ด้วยการขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐ
บางคนมองว่า นั่นไง... ทรัมป์กลับลำ แสดงว่า 'ถอยแล้ว' หลังเจอการประท้วงในประเทศและการตอบโต้จากต่างประเทศ แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีใครกล้ายืนยันว่า ผู้นำสหรัฐที่คิดว่าถือไพ่เหนือกว่าและไม่แคร์ใคร จะเปลี่ยนแปลงอะไรอีกหรือเปล่า จะยกระดับรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ ไม่มีใครกล้าฟันธง เดาทางกันไม่ออกจริง ๆ
คอกาแฟในสหรัฐเตรียมรับมือกับราคากาแฟที่สูงขึ้นกว่าเดิม สื่ออังกฤษประชดประชันว่าต้องขอขอบคุณประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (ภาพ : Pexels by Towfiqu barbhuiya)
ถ้าเป็นไปตามที่ทรัมป์แถลงล่าสุด รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะมีเวลาเจรจาต้าอวยกับสหรัฐอีก 3 เดือน ส่วนคนอเมริกันที่เดือดร้อนจากนโยบายภาษีก็มีเวลาหายใจหายคอมากขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกคนจะได้ประโยชน์นะครับ เสี่ยงเสียหายก็มี อย่าง 'ธุรกิจกาแฟ' ทั้งระบบ เช่น ผู้นำเข้าสารกาแฟ, โรงคั่วกาแฟ, ร้านกาแฟ และคนดื่มกาแฟ รับผลกระทบไปเต็ม ๆ
ในสหรัฐอเมริกา ต้องยอมรับว่าคนชังโดนัลด์ ทรัมป์ ก็มาก แต่คนชอบเยอะกว่า ไม่งั้นคงไม่ได้ย้อนกลับมาเป็นเพรสซิเดนท์สมัย 2 หรอก จริงไหมครับ
หลายธุรกิจที่ยืนอยู่ฝั่งทรัมป์ก็อยู่เป็น หยิบเอาภาพผู้นำประเทศ ไปทำการตลาดขายสินค้าก็ไม่น้อย อย่างโรงคั่วกาแฟในรัฐฟลอริด้าชื่อ 'ริพับลิกัน คอฟฟี่' (Republican Coffee) ทำเมล็ดกาแฟคั่วซีรีส์ทรัมป์หลายตัวทีเดียว ที่ผู้เขียนเห็นแล้วสะดุดใจก็เห็นจะเป็นซีรีส์ 'Leftist Tears' หรือน้ำตาฝ่ายซ้าย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะชอบหรือชัง ถ้าอยู่ในกลุ่มชาวอเมริกันที่บริโภคกาแฟวันละ 400 ล้านแก้ว ในอนาคตจะต้องจ่ายค่ากาแฟรายวันเพิ่มขึ้นแน่นอน หากโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่เปลี่ยนแปลงเพดานภาษีรอบ 2 เม.ย. ตามที่ประกาศไว้ว่าเป็นวันแห่งอิสรภาพ
ต้นทุนนำเข้าสารกาแฟที่จะเพิ่มขึ้น สุดท้ายถ้าร้านและโรงคั่วกาแฟรับไม่ไหว ก็จะส่งต่อไปให้ปลายน้ำอย่างผู้บริโภคที่ต้องควักเงินซื้อกาแฟแพงขึ้น (ภาพ : Nick Hillier on Unsplash)
นอกจากเป็นประเทศผู้บริโภคกาแฟมากที่สุดในโลกแล้ว สหรัฐก็ยังเป็นผู้นำเข้ากาแฟมากที่สุดในโลกด้วย โดยมีปริมาณการนำเข้าในปี 2023 มีจำนวน 1.4 ล้านตัน คิดเป็นเงินกว่า 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าในประเทศเองก็มีการปลูกกันที่รัฐฮาวายและบางส่วนของพื้นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ผลผลิตมีน้อยมาก มีเพียง 0.2% ของการบริโภคในประเทศเท่านั้น
ดังนั้น สหรัฐจึงต้องพึ่งพาการนำเข้า 'สารกาแฟ' (green bean) มาจากต่างประเทศแบบ 100% พอประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศสาดกำแพงภาษีสูง ๆ กับประเทศที่เป็นแหล่งผลิตกาแฟ ก็เดือดร้อนซิครับ อยู่ดี ๆ ก็มีต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย ไหนจะต้องเจอกับสถานการณ์ราคากาแฟตลาดโลกในระดับสูงที่ทำให้ปวดหัวอยู่ก่อนแล้ว
ธุรกิจรายใหญ่ ๆ มีสายป่านการเงินสูง แม้โดนกระทบแต่ก็พอไปต่อได้ แต่ธุรกิจอิสระรายเล็ก ๆ พวกโรงคั่วและร้านกาแฟ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มตลาด 'กาแฟพิเศษ' (specialty coffee) ก็น่าวิตกครับว่าจะเอาอยู่ไหมกับระเบิดลูกใหม่ที่ตั้งเวลาขึ้นโดยผู้นำประเทศตนเอง
คาเฟ่ เดอ เลชเช่ ร้านกาแฟอิสระในลอสแอนเจลิส เป็นอีกธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาต้นทุนนำเข้าสารกาแฟที่เพิ่มขึ้น (ภาพ : facebook.com/cafedeleche)
ก่อนหน้านี้ วิลเลียม เมอร์เรย์ นายกสมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ เคยออกคำแถลง เรียกร้องต่อรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ ขอให้กาแฟได้รับการยกเว้นหากมีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าอัตราใหม่
แถลงการณ์ระบุว่า กาแฟทุกดอลลาร์ที่นำเข้ามา ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสหรัฐ 43 ดอลลาร์ กาแฟยังช่วย 'สร้างงาน' ให้สหรัฐได้ถึง 2.2 ล้านตำแหน่ง ทั้งยังเป็นเครื่องดื่มที่ชาวอเมริกันชื่นชอบอีกด้วย และเนื่องจากสหรัฐไม่สามารถปลูกกาแฟเองได้ในปริมาณมาก ๆ นโยบายการค้าจึงควรคำนึงถึงบทบาทสำคัญของเครื่องดื่มกาแฟในชีวิตประจำวันของชาวอเมริกันและต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าชาวอเมริกันจะไม่ต้องเผชิญกับราคากาแฟที่สูงขึ้น ท่ามกลางวิกฤตค่าครองชีพในปัจจุบัน
ประเทศที่เป็นแหล่งผลิตและส่งออกกาแฟที่โดนประธานาธิบดีสหรัฐตั้งกำแพงภาษีสูง ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย เช่น ลาว 48%, เวียดนาม 46%, เมียนมาร์ 44%, ไทย 36%, อินโดนีเซีย 32%, อินเดีย 26% และมาเลเซีย 24% ส่วนแหล่งปลูกกาแฟในละตินอเมริกาอย่าง บราซิล, โคลอมเบีย, เปรู, คอสตาริกา, ฮอนดูรัส และกัวเตมาลา โดนเก็บในอัตรา 10% ขณะที่เม็กซิโกโดนไป 25% ในช่วงก่อนหน้าแล้ว
ใช่ครับ สหรัฐก็นำเข้ากาแฟจากประเทศไทยเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นสารกาแฟที่ภาษาราชการเรียกว่ากาแฟดิบ มีมูลค่าต่อปีประมาณ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ นี่เป็นตัวเลขจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้น ชาวสวนชาวไร่กาแฟบ้านเราก็ได้รับผลกระทบเหมือนภาคส่งออกอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ปี 2024 โซนละติน อเมริกา ส่งออกสารกาแฟเข้าสู่ตลาดสหรัฐประมาณ 80% ส่วนใหญ่เป็น 'อาราบิก้า' มีบราซิล และโคลอมเบีย เป็น 2 รายใหญ่ที่กินส่วนแบ่งไปราว 60% ส่วนเวียดนามส่งออกกาแฟมากเป็นอันดับ 3 ในตลาดสหรัฐ แทบทั้งหมดเป็น 'โรบัสต้า' ที่นำไปใช้ทำกาแฟเบลนด์, กาแฟผงสำเร็จรูป และกาแฟพร้อมดื่ม RTD ส่วนอินโดนีเซียส่งทั้งอาราบิก้าและโรบัสต้า
สำนักข่าวรอยเตอร์ให้ข้อมูลว่า ถ้าเวียดนามโดนเก็บภาษีนำข้าในอัตรา 46% จริง บริษัทนำเข้ากาแฟในสหรัฐจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น 2,500 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับกาแฟในแต่ละตัน
ปี 2024 สหรัฐนำเข้าสารกาแฟจากละติน อเมริกา ประมาณ 80% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด มีบราซิลกับโคลอมเบีย เป็นสองเจ้าใหญ่ (ภาพ : kelsen Fernandes on Unsplash)
ครั้นจะปรับเป้าหมายใหม่ หันไปซื้อจากบราซิลแทนเวียดนาม แต่แดนแซมบ้าก็ผลิตโรบัสต้าน้อย มีอาราบิก้าเสียเยอะ คิดแล้วชวนปวดใจแทนจริง ๆ เพราะไหนจะต้องแย่งชิงกับสต็อกเมล็ดกาแฟกับโรงคั่วทางฝั่งยุโรปและจีนอีก
โรบัสต้าใน 'แอฟริกา' อาจเป็นอีกทางเลือก ยูกันดา,กาน่า และแทนซาเนีย ล้วนเป็นแหล่งปลูกโรบัสต้าคุณภาพดี แต่ก็อยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐในอัตราใหม่ 10% และก็ไม่แน่ใจว่าผลผลิตจะมากพอต่อความต้องการหรือไม่
สื่อเว็บไซต์สหรัฐหลายรายต่างลงข่าวในทำนองเดียวกันว่า เจ้าของร้านกาแฟและโรงคั่วกาแฟอเมริกันเตรียมขายกาแฟในราคาที่สูงขึ้น หากเพดานภาษีใหม่ของรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์มีผลบังคับใช้ เพราะจะทำให้ 'ต้นทุน' การนำเข้าเมล็ดกาแฟจากเอเชีย และละติน อเมริกา เพิ่มขึ้นด้วย โดยราคากาแฟต่อแก้วอาจมีการปรับขึ้นระหว่าง 1-2 ดอลลาร์สหรัฐ
หันมาดูผลกระทบต่อบริษัทบิ๊กเนมในธุรกิจกาแฟกันบ้าง อย่าง 'เนสท์เล่' (Nestlé) ซึ่งถือเป็นรายใหญ่ในตลาดกาแฟอินสแตนท์และกาแฟแคปซูลในตลาดสหรัฐ พอสวิตเซอร์แลนด์โดนภาษีใหม่ในอัตรา 32% เนสท์เล่ ก็คงต้องคิดหนักแล้วว่าจะปรับกลยุทธ์รับมืออย่างไรดี เพราะว่าเมล็ดกาแฟคั่วและกาแฟพอดแบรนด์เนสเพรสโซ่ มีการผลิตในสวิสก่อนชิปปิ้งเข้าไปยังสหรัฐ
โรงคั่วกาแฟในรัฐฟลอริด้า ชื่อ 'ริพับลิกัน คอฟฟี่' เอาใจกองเชียร์ผู้นำฝ่ายขวา ทำเมล็ดกาแฟคั่วบรรจุถุงซีรีส์โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาหลายตัวทีเดียว (ภาพ : instagram.com/republicancoffeeco)
นอกจากสารกาแฟแล้ว สหรัฐยังนำเข้าแพคเกจจิ้งและอุปกรณ์การชงกาแฟจากต่างประเทศด้วย เจ้าใหญ่ ๆ ก็เช่น สหภาพยุโรป, จีน และเม็กซิโก
ซีเอ็นเอ็นไปสัมภาษณ์ แมทธิว โชดอร์ฟ เจ้าของร้านกาแฟอิสระในลอสแอนเจลิสชื่อ 'คาเฟ่ เดอ เลชเช่' (Café de Leche) ขอให้แสดงความคิดเห็นต่อนโยบายกำแพงภาษีสินค้านำเข้าครั้งนี้
แมทธิว โชดอร์ฟ บอกว่า เรา(สหรัฐ) จะขึ้นราคาสินค้านำเข้า เพื่อพยายามชักจูงให้คนอเมริกันหันไปซื้อของที่ผลิตในประเทศใช่ไหม? แต่คุณไม่สามารถทำอย่างนั้นกับสินค้าประเภท 'กาแฟ' ได้
"ผมไม่รู้จะใช้คำพูดให้ดูสุภาพยังไงดี" เจ้าของร้านกาแฟอิสระกล่าว แล้วก็เสริมต่อ "เอาเป็นว่าเราก็แค่โดนหลอกเท่านั้นเอง"
................................
เขียนโดย : ชาลี วาระดี