ทำไมเมื่อถึง “เทศกาลคริสต์มาส” ต้องกิน “ฟรุตเค้ก”
![ทำไมเมื่อถึง “เทศกาลคริสต์มาส” ต้องกิน “ฟรุตเค้ก”](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2022/12/BijtZDYag1NFxx1VbHRf.webp?x-image-process=style/LG)
เมื่อถึง “เทศกาลคริสต์มาส” นอกจากอาหารประจำเทศกาลแล้วก็ต้องมี “ฟรุตเค้ก” ของหวานวันคริสต์มาส ที่ชาวคริสต์กินมาตั้งแต่ยุคโรมัน
ทำไม คริสต์มาส ต้องกิน ฟรุตเค้ก เค้กผลไม้เนื้อฉ่ำหวาน เต็มไปด้วยผลไม้อบแห้ง ผลไม้เชื่อม และถั่วชนิดต่าง ๆ รสหวานหอมกลิ่นเหล้า จะกินหลัง อาหารคริสต์มาส หรือจับคู่กับชายามบ่าย หรือกาแฟเข้มขมสักแก้ว ก็เข้ากัน...
ที่มาของฟรุตเค้ก (fruit cake)
เกี่ยวเนื่องกับ เทศกาลคริสต์มาส เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยกลาง (ค.ศ.476-1453) ยุคโรมันโบราณแล้วส่งต่อชาวคริสต์ในอังกฤษ ยุคแรกใส่เมล็ดสน ผสมกับแป้งข้าวบาร์เล่ย์ ใส่เมล็ดทับทิม ลูกเกด และน้ำผลไม้หมักกับยีสต์ ฮอพ และฮันนี่ไวน์ (แอลกอฮอล์ทำจากน้ำผึ้งหมักกับน้ำ ผลไม้และเครื่องเทศ) ในยุคนั้นหน้าตาไม่ใช่เค้กหากมีเนื้อแน่นเหมือนขนมปัง เรียกว่า Satura (ขนมอบใส่ผลไม้แห้ง) กินอิ่มจนทหารโรมันพกติดตัวไปกินเป็นของว่างในสนามรบ
(Cr.freepik.com)
ต่อมาขนมปังใส่ผลไม้แห้ง กลายเป็นเค้กเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส เรียกว่า Twelfth cake และนิยมกินกันในวันที่ 5 หรือ 6 มกราคม อันเป็นวันที่ 12 หลังจากวันคริสต์มาส เพื่อรำลึกถึง 3 Kings โหราจารย์ (หรือปราชญ์, นักบุญ) ที่เดินทางตามดวงดาวไปเฝ้าพระกุมาร (พระเยซู) ถึงเมืองเบธเลเฮม
วันกินเค้กชนิดนี้แสดงถึงวันหยุดสุดท้ายของเทศกาลคริสต์มาส (วันที่ 12 นับจากวันคริสต์มาส) และถือเป็นวันสิ้นสุดฤดูใบไม้ร่วง ต่อจากนี้คือหนาวจริง ในบางท้องที่เรียกว่า 3 Kings Day, Twelfth Day และกิน Twelfth cake, Twelfth night cake เป็นขนมประจำเทศกาลคริสต์มาส
Twelfth cake, King cake คือ เค้กใส่ผลไม้แห้งหมักกับเหล้ารัม บรั่นดี หรือเบอร์เบิ้น อันเป็นการถนอมอาหาร ในยุคแรกเค้กผลไม้มีผิวนอกเหมือนแป้งพัฟ ใส่ผลไม้แห้งเช่น เคอร์แรนท์ ลูกเกด องุ่น อัลมอนด์ เมล็ดสน ถั่วชนิดต่าง ๆ มักทำเป็นรูปทรงกลมแล้ววางมงกุฎกระดาษไว้ด้านบน บางพื้นที่มีประเพณีหาถั่วหรือเหรียญเงินที่ซ่อนอยู่ในเค้ก ใครพบก่อนเชื่อว่าจะโชคดีตลอดปี
ฟรุตเค้กฉลองคริสต์มาส
กว่าเค้กผลไม้จะนิยมแพร่หลายก็ย่างสู่ศตวรรษที่ 19 ยุคแรก ๆ นั้นชาวคริสต์ในอังกฤษทำฟรุตเค้กก่อน แล้วเมื่อผู้อพยพไปอยู่อเมริกาก็เริ่มทำฟรุตเค้กที่นิวอิงแลนด์ โดยใช้น้ำตาลที่ผลิตจากโรงงานทาสในแคริบเบี้ยน
ฟรุตเค้กยุคแรกในอเมริกาโรยน้ำตาลไอซิ่งหนามาก ยุคนั้นยังไม่มีตู้เย็น น้ำตาลจึงเป็นหัวใจสำคัญของการถนอมอาหาร ซึ่งคือผลไม้ชนิดต่าง ๆ หั่นเป็นชิ้นเล็กต้มในไซรัป หมักกับเหล้ารัม และต้องเตรียมหมักผลไม้ไว้ก่อน 3 เดือน เก็บในที่เย็นและมืด เมื่อทำเค้กจึงมีเนื้อหนักและหวานมาก
ฟรุตเค้ก ขนมยอดนิยมประจำเทศกาล
แม้ชาวอังกฤษเริ่มทำฟรุตเค้กก่อนใคร แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก และตรงกับสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม คนงานในเมืองต้องกลับไปทำงานแล้ว งานฉลองกินเค้กวันที่ 12 จึงไม่ถือว่าสำคัญนัก
อย่างไรก็ดี คนอังกฤษบอกว่า ได้ฟรุตเค้กสักชิ้นกับอาฟเตอร์นูนทีก็ดีไม่น้อย ฟรุตเค้กจึงค่อย ๆ ได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นกลางและพวกราชวงศ์ในอังกฤษ และเฟื่องฟูมากขึ้นในยุควิคทอเรียน อย่างที่เล่าว่าฟรุตเค้กยุคโน้นนิยมโรยน้ำตาลไอซิ่งหนา ๆ คนในเมืองจึงเรียกว่า Royal icing
ยุคศตวรรษที่ 16 น้ำตาลถูกลง ฟรุตเค้กเก็บได้นานขึ้น คำว่า fruit cake สันนิษฐานว่าเกิดในยุคนี้ อย่างไรก็ดี ฟรุตเค้กในอังกฤษและอเมริกา มีเนื้อสัมผัสต่างจากฟรุตเค้กของชาวยุโรป และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ผลไม้แห้งหรือผลไม้เชื่อมก็เป็นผลไม้ที่มีในแต่ละภูมิภาค ใส่ถั่วและธัญพืชแน่น ๆ และต้องหมักเหล้า ทำให้มีกลิ่นของแอลกอฮอล์ มากบ้างน้อยบ้าง และเก็บได้นานขึ้น
ปี 1896 ในอเมริกาเริ่มส่ง ฟรุตเค้ก เป็นของขวัญเทศกาลคริสต์มาส และส่งไกลข้ามรัฐกันเมื่อปี 1913 ในรัฐจอร์เจียและเท็กซัส แต่ใครจะส่งฟรุตเค้กข้ามเมืองเป็นของขวัญวันคริสต์มาสก็ต้องมีฐานะหน่อย แล้วเมื่อการขนส่งสะดวกขึ้น ใคร ๆ ก็อยากกินฟรุตเค้ก จนหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times เรียกฟรุตเค้กว่า holiday must
ปี 1989 บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด ออกผลสำรวจสอบถามความเห็นของประชาชนอเมริกัน หลายคนลงคะแนนว่า ฟรุตเค้ก เป็นขนมอบประจำเทศกาล นิยมส่งเป็นของขวัญให้ญาติมิตร 75% แต่ละปี คนส่งฟรุตเค้กกว่า 2 ล้านชิ้น เป็นของขวัญปีใหม่
ฟรุตเค้ก ขนมคริสต์มาสนานาชาติ
เมื่อถึงคริสต์มาสต้องกิน ฟรุตเค้ก เนื่องจากเทศกาลอื่น ๆ เช่น วันปีใหม่ วันเกิด วันแต่งงาน ฯลฯ ก็ไม่มีใครให้ฟรุตเค้กกันหรอก และเนื่องจากเป็นขนมอบสื่อถึงศาสนา ชาวคริสต์ทั่วโลกต่างมี สูตรฟรุตเค้ก สูตรที่เราคนไทยคุ้นเคยคือฟรุตเค้กสไตล์อังกฤษหรืออเมริกัน ซึ่งมีเนื้อเค้กนุ่มฉ่ำ หวานจัด มีกลิ่นเหล้าชัด อัดด้วยผลไม้เชื่อม ลูกเกด และถั่ว
แต่ถ้าเป็นฟรุตเค้กแนวยุโรปเนื้อดูเป็นขนมปัง บางพื้นที่ก็ใส่ผลไม้เชื่อมไม่มาก มีเพียงลูกเกดและถั่ว
เช่น Stollen cake ในเยอรมนี นิยมเรียกว่า Stollen bread มากกว่าเพราะมีเนื้อเหมือนขนมปัง เหมือนกับชาวเนเธอร์แลนด์ เรียกว่า Kerststol บางสูตรใส่เนื้ออัลมอนด์บดข้น ๆ ลงไปด้วย
ฟรุตเค้กสไตล์อิตาเลียน Panettone จากอิตาลี มักใส่ในกล่องรูปสามเหลี่ยม
Roscon de Reyes ฟรุตเค้กของสเปน นิยมทำรูปทรงกลมมีรูตรงกลางเหมือนโดนัท คล้ายของชาวคาตาลันที่เรียกว่า Tortell
ชาวฝรั่งเศสก็มีของหวานประจำคริสต์มาส เรียกว่า Buche de Noel, Yule log หรือ “เค้กขอนไม้” เป็นเค้กช็อกโกแลตรูปทรงขอนไม้
ในญี่ปุ่นก็มีฟรุตเค้กเนื้อสัมผัสนุ่มเนียนแบบสปอนจ์เค้ก โปะหน้าครีมสดและสตรอว์เบอร์รี่ เป็นขนมอบประจำเทศกาลคริสต์มาส
อ้างอิง: redbook.mag.com, whychristmas.com, pbs.org