“ไวน์ออร์แกนิค” กำลังดัง มีข้อกำหนดอะไรบ้าง

ปัจจุบัน “ไวน์ออร์แกนิค” ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกปี และเริ่มเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยมากขึ้น แต่กว่าจะผลิตได้นั้นมีกระบวนการมากมาย เริ่มตั้งแต่ปลูกองุ่น การดูแลดิน น้ำ จนถึงขั้นตอนการปรุงไวน์
ไวน์ออร์แกนิค (Organic Wine) กำลังมาแรง คนทั่วโลกพูดถึงและมีความต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่กว่าจะทำไวน์ออร์แกนิคได้นั้น มีกระบวนการหลายขั้นตอน และข้อกำหนดอีกหลายอย่าง จากแนวคิดของออร์แกนิคไวน์คือ ทำไวน์จากองุ่นที่ปราศจากสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงต่าง ๆ ไม่ใช้สารกำจัดเชื้อรา ซึ่งสารเคมีเหล่านี้นอกจากจะสร้างความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่มด้วย
ไวน์ออร์แกนิค ปรากฏสู่ตลาดครั้งแรกประมาณปี ค.ศ.1980 โดยผู้ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์ภายใต้ชื่อ “Delica-Natura” หลังจากนั้นความต้องการก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ประมาณกลางทศวรรษ 1980 จึงเริ่มกำหนดกฎเกณฑ์แห่งชาติขึ้น
ตั้งแต่ปี 1991 ประชาคมร่วมยุโรปหรือ EU ได้ออกบทบัญญัติสำหรับไวน์ออร์แกนิคขึ้นมา มีผลบังคับใช้อย่างทั่วถึงกันในกลุ่มประเทศสมาชิก ผู้ผลิตไวน์ออร์แกนิคที่ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่แล้ว จะได้รับหมายเลขทะเบียนตรวจสอบ สามารถนำไปพิมพ์ในฉลากข้างขวดได้
ในงาน Vinexpo 2017 ที่เมืองบอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส งานแสดงไวน์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เป็นครั้งแรกที่มีการเปิดพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบให้กับไวน์ออร์แกนิค (Organic Wine) และไบโอไดนามิก (Biodynamic) ภายใต้ชื่อ WOW ซึ่งย่อมาจาก World of Organic Wines
ไวน์ทำจากองุ่นออร์แกนิคระบุไว้ที่ฉลาก
คอนเซปต์หรือแนวคิดของออร์แกนิคไวน์คือ การทำไวน์จากองุ่นที่ปราศจากสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงต่าง ๆ ซึ่งสารเคมีเหล่านี้นอกจากจะสร้างความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่มด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดในการทำสวนองุ่นปลอดสารพิษคือ เกษตรกรจะไม่ใช้สารเคมี สารสังเคราะห์ใด ๆ แต่มักจะปลูกพืชอื่นแทรกไว้ในพื้นที่ทำการเพาะปลูกด้วย พืชเหล่านั้นจะช่วยในการควบคุมดิน และช่วยล่อแมลงต่าง ๆ อันเป็นการทดแทนการใช้สารเคมีต่าง ๆ
ไวน์ที่ไม่ใช้ซัลเฟอร์
นอกจากนี้ นักดื่มสายธรรมชาติระบุว่า ไวน์ออร์แกนิคมีรสชาติอร่อยเพราะไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมาก ปราศจากสารเคมี จึงทำให้ได้รสชาติและกลิ่นแท้ ๆ ขององุ่น และสภาพดินฟ้าอากาศของแหล่งที่ปลูกองุ่นด้วย ที่สำคัญคือดื่มแล้วรู้สึกสุขภาพดี และคนที่แพ้ซัลเฟอร์ดื่มได้
ผู้ผลิตออร์แกนิคไวน์ จะให้ความสำคัญกับปัจจัย 3 ประการคือ การใช้ยีสต์ การกรอง และการใช้กรดกำมะถัน (ซัลเฟอร์ไดออกไซด์) โดยการลดปริมาณการใช้กรดกำมะถัน ซึ่งเป็นสารที่ยับยั้งการรวมตัวของออกซิเจน อันจะส่งผลให้ไวน์เน่าเสียเร็วขึ้น
ในยุโรปตามข้อกำหนดของ EU ไวน์ที่จะโปรโมทว่าเป็นออร์แกนิค จะต้องระบุในฉลากข้างขวดว่า “made from organically grown grapes” ไม่ใช่ “organic wine” แต่ก็ขึ้นอยู่กับบางประเทศ เช่น อิตาลี ใส่ซัลเฟอร์ฯ ก็สามารถเป็นออร์แกนิคได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอย่างนี้มีข้อแตกต่างกันบ้างคือ Organic Wine จะรวมไปถึงขั้นตอนหมักบ่มไวน์ด้วย ว่าต้องไม่มีพวกสารสังเคราะห์หรือเทคนิคสังเคราะห์ต่าง ๆ (เช่น oak chip, reverse osmosis, etc.)
ส่วน wine made from organic grape จะเกี่ยวกับการปลูกองุ่นด้วย เช่น ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของแต่ละประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จะได้ชื่อว่าเป็นออร์แกนิคไวน์ก็ต่อเมื่อไม่ใช้ซัลเฟอร์
ในสหรัฐอเมริกามีการปลูกองุ่นผลิตออร์แกนิคไวน์มากขึ้น และผู้ผลิตไวน์หลายรายกำลังมีการกำจัด “ซัลเฟอร์” ออกไปจากกระบวนการผลิตไวน์
ตามข้อกำหนดของ USDA ซึ่งเป็นโครงการของ National Organic Program กำหนดว่า “ออร์แกนิคไวน์ หมายถึงไวน์ที่ผลิตจากองุ่นที่ปลูกโดยปราศจากสารเคมีใด ๆ และไม่มีการใส่สารซัลเฟอร์” (A wine made from organically grown grapes and without any added sulfites)
ในสหรัฐอเมริกา แบ่งออร์แกนิคไวน์ เป็น 3 ประเภทคือ
1 ไวน์ออร์แกนิค 100 % (100 % Organic) หมายถึงไวน์ที่ผลิตจากองุ่นที่ปลูกแบบออร์แกนนิค 100 % และไม่เติมซัลเฟอร์ฯ
2 ไวน์ออร์แกนิค หมายถึงไวน์ที่ผลิตจากองุ่นที่ระบุแหล่งผลิตที่ได้รับการรับรองว่าเป็นออร์แกนิคอย่างน้อย 95% อาจจะเติมซัลเฟอร์ฯ ได้ในปริมาณที่กำหนด (100 ppm.)
3 ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นออร์แกนิค (Made with Organic Grapes) หมายถึงไวน์ที่ผลิตจากองุ่นจากแหล่งที่ปลูกแบบออร์แกนิค อย่างน้อย 70% และสามารถเติมซัลเฟอร์ฯ ได้
ที่สำคัญต้องมีเครื่องหมายรับรอง ไม่ใช่พูดกันลอย ๆ...







